Tuesday, December 29, 2009

ทดสอบการใช้งาน form ใน Blog ใช้ได้แฮะ ..

ใช้การได้อยู่น่ะครับกับการใช้งาน Google Docs เพื่อการสร้างแบบ form ที่หน้า Blog ครับ

Thursday, December 03, 2009

มีใครอยากจะได้ Garmin C330 แผนที่ New Zealand

ใครอยากจะได้ New Zealand Garmin C330 เหมือนใหม่ใช้แล้วหนึ่งครั้งที่ประเทศนิวซีแลนด์ครับ กดซื้อได้จากที่นี่เลย่นะครับผม

Tuesday, December 01, 2009

Monday, November 30, 2009

เที่ยวเมืองกาญฯ : พักที่ภูไอยรารีสอร์ท

IMAGE_437 IMAGE_435 IMAGE_436
เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาผมไปเที่ยวกับที่บ้านเข้าใจว่าเป็นการเที่ยวรอบพิเศษเพราะไม่ได้มีเหตุผลว่าเป็นการเที่ยวปีใหม่หรือว่าไม่ได้เป็นการเที่ยวเทศกาลอะไรครับ คนที่ไปด้วยก็จะมีแค่คนที่บ้านเท่านั้นเอง (ป่าป๊าหม่าม้าแล้วก็น้องสาวครับ) โดยรวมแล้วการเดินทางถึอว่าสะดวกสบายเอามากๆเพราะว่าไม่ต้องแย่งไม่ต้องแก่งแข่งอะไรกับใคร ที่กินที่เที่ยวก็ดูสบายๆ แค่ว่าผิดคาดไปนิดหน่อยเพราะว่าคาดว่าอยากจะให้มันหนาวกว่านี้แต่ก็ไม่ได้หนาวอะไรมากมายครับ (กลางคืนก็ไม่ได้หนาวครับต้องเปิดแอร์นอน) ที่เที่ยวก็เป็นที่เที่ยวที่คนไม่ค่อยจะได้ไปครับ เช่น เหมืองปิล็อก ที่หาข้อมูลในเน็ตก็จะไม่ค่อยจะเจอว่าหน้าตาเป้นยังไง เพราะว่าผมไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรใหถ่ายภาพน่ะครับ มันก็เป็นภูเขาที่มีรูๆ เป้นร่องรอยจากการทำเหมืองเมื่อโบราณก่อนนู้นครับ แล้วก้เที่ยวเจดีย์สามองค์( เป็นภาตบังคับว่าต้องมา ) แต่ว่ามาแล้วก็ไม่มีอะไรมากนอกจากเจดีย์สามองค์กับการได้ซื้อพันธ์กล้วยไม้(ป่า)กลับมาครับ แล้วก็ไปเดินเล่นที่สะพานข้ามแมวน้ำแคว ตอนที่เดินๆอยู่ตอนนั้นจะมีการจัดงานแสงเสียงซึ่งเย็นๆผมก็ไม่ได้ดูอีกเพราะว่ามันไม่ได้ใกล้ที่พักสักเท่าไหร่ครับ ก็ไปถึงก็เช้ามากคือประมาณ 10:30 น ของวันเสาร์ ตอนที่เดินๆก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นเล็กน้อยครับ คือ เดินอยู่ที่สะพานมันเป้นทางให้รถไฟแล่นผ่านแล้ว รถไฟก็มาครับทำให้ทุกคนต้องหลบออกมาไปด้านข้างซึ่งก็มีพื้นที่ไม่มากเท่าไหร่ ทำให้รู้เลยว่า เมืองไทยเราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากแค่ไหน (ประชดน่ะครับผม) แล้วผมก็มีไปสะพานมอญเป็นสะพานไม้เก่าๆที่ตอนนี้ก็กำลังซ่อมแซมอยู่ครับ เดินไปเดินกลับดูบรรยากาศ ถ่ายรูปเล่นครับ

พูดถึงที่พักคราวนี้ก็ถือว่าโอเคระดับนึงครับ คือ ภูไอยรา รีสอร์ท เป็นบ้านพักไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดีน่ะครับก็เหมือนกับ style ที่กำลังเป็นที่นิยม ณ เวลานี้น่ะครับแต่ว่าผมก็ไม่ได้อยู่ห้องมากเท่าไหร่ครับ เพราะไปถึงก็ค่ำๆแล้วก็ไปกินข้าวก็ที่พักนี่น่ะหละครับ แต่ว่าที่เป็นประเด็นก็คือ ที่นี่จะมีบริการให้เช่า ATV (ไม่รู้ย่อมาจากกอะไร) มันก้เป็นเหมือนกับยานพาหนะสี่ล้อที่ล้มยาก กดเพื่อเร่งเครื่องแล้วกำลังส่งในการออกตัวค่อนข้างดี ก็เลยจัดแจงจองไว้แล้วก็เช้าวันอาทิตย์ออกเดินทางชมสภาพภูเขาและการใช้ชีวิตของคนแถวนั้นด้วย ATV กัน ผมไปกับน้องแล้วก็ป่าป๊าน่ะครับ เดินทางทั้งหมด 5 คัน คือจะมีเจ้าหน้าที่นำหนึ่งคันแล้วก็เจ้าหน้าที่อีกคนปิดหลังไว้ครับ แล้วเราสามคนก็อยู่ตรงกลางขี่กันเรียงหนึ่งไปเรื่อยๆดูวิวรอบตัว มันก็เหมือนขับรถน่ะหละครับแต่ว่า ก้นจะสั่นตลอดเวลาแล้วก็เส้นทางแบบใกล้ชิดสุดๆ เรียกว่าขนดอกหญ้าถูแขนกันเลยก็ว่าได้ แล้วที่น่าประทับใจก็คือเส้นทางนี้จะผ่านบ้านคน(ที่ป่าป๊าบอกว่าพวกนี้บุกรุก)ที่เค้าเป็นชาวบ้านทำการเกษตรอยู่ครับ เมื่อเราขับ ATV ผ่านไปเด็กๆก็จะโผล่ออกมาบ้ายบายกับเราเหมือนกะว่าเราเป็นตัวประหลาด เฮอะๆ ไม่หรอกเค้าเห็นเราเป็นนักทอ่งเที่ยวน่ะครับก็่ต้องทักทายกันเป็นทำเนียมครับ เท่านี้ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการได้แวะเวียนเข้าไปในหมู่บ้านที่รถยนต์ธรรมดาเข้าไปไม่ถึงแล้วล่ะครับ ^^

ตอนเดินทางกลับก็ยิงยาวเหนื่อยครับ .. บางคนอาจจะคิดว่าการเที่ยวเป็นการ charge bat. ให้เต็มแต่ผมว่ามันก็เป็นใช้พลังงานที่ต้องออกแรงกันน่ะครับ เฮอะๆ ..แล้วแต่มุมมองครับผมอันนี้ .

ละครเวทีลมหายใจ : ประสบการณ์การดูละครเวทีเรื่องแรกในชีวิต(ก็คนมันไม่เคยนี่หน่า ><)

IMAGE_424 IMAGE_425 IMAGE_426 IMAGE_427

เมื่อวันก่อนได้ไปดูละครเวทีไม่ซืเค้าเรียกว่า ละครเพลงน่าจะถูกกว่าเพราะว่า ทั้งเรื่องจะเดินเรื่องไปโดยการร้องเพลงกันน่ะครับ .ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ได้ดูละครเพลงแบบนี้ ละครเพลงเรื่องนั้นก็คือ เรื่อง "ลมหายใจ" ละครเพลงเรื่องนี้เป็นการเอาเพลงที่แต่โดยบอย(โกศิยพงษ์)ที่เราได้ยินกันคุ้นๆหูเอามาโม้เป็นเรื่องราวให้ได้ ผมว่านะถ้าหากว่าเป็นคนที่ชอบเพลงเค้าอยู่แล้วไปฟังเพลงก็ถือว่าโอเคเลยครับ เพราะว่าเรื่องนี้ถ้าหากว่าดูเนื้อเรื่องแล้วจะได้ความหมายของเพลงที่แตกต่างออกไปจากเดิมที่เข้าใจอยู่เดิม แต่มันก็เข้ากันได้อย่างลงตัวอยู่ดี

บรรยากาศตอนที่ไปแรกๆก็ไม่คิดว่าคนจะเยอะอย่างงั้นแต่ว่าพอเข้าไปที่ตัวโรงละคร(รัชดาลัย)แล้วก็รู้เลยว่าจะเต็มทุกทีนั่ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนที่เค้ามาดูเนี่ยะที่มาดูเพราะว่าเค้าชอบเพลงอยู่แล้วหรือว่ามาดูเพราะว่าเคยดูละครเพลงแล้วชอบเลยต้องมาดูอีก หรือว่าทั้งสองอย่างรวมกันๆ (แต่ว่าถ้าหากว่าเป็นอย่างงั้นเรื่องนี้รอบต้องมากกว่าเรื่องอื่นๆแน่นอน)

การเข้าชมละครเพลงแบบนี้จะต้องเข้าใจตรงเวลาเพราะเมื่อมีการเริ่มแล้วจะปิดไม่ให้คนเข้าอีกสิบนาทีเพื่อไม่ให้มีการรบกวนคนดูที่นั่งประจำที่พร้อมดูอยู่แล้วน่ะครับ แปลกดีว่า ถ้าหากว่าอีกสิบนาทีแล้วมันไม่กวนหรือยังไงกัน (มันก็กวนเหมอืนกันน่ะหละ แค่ว่ามันกวนใจน้อยกว่าเดิมเท่านั้นเองน่ะครับ อันนี้ผมคิดเอาเองอ่ะนะ เพราะว่าก็ไม่มีคนเดินไปเดินมาครับ)

ตอนเปิดตัวก็จะมี spot light ส่งที่หัววาทยากร ่หรือ conductor (คนที่เอาไม้สั้นแกว่งๆเพื่อให้คนเล่นดนตรีเล่นได้เข้ากันหมด) เพื่อที่จะทำให้ผมได้รู้ว่าเพลงที่จะทำการเล่นทั้งหมดนี้ถูกเล่นสดโดยคนที่หลบซ่อนอยู่ใต้เวที (ทำไมไม่เอามาโผล่วางให้มันเด่นกว่านี้ก็ไม่รู้ เหมือนมันเป็นตัวประกอบมากๆเลบน่ะครับ) ถ้าหากว่าตอนแรกผมไม่เห็นหัว conductor เนี่ยะผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าเพลงหรือดนตรีที่ได้ยินมาจากากรเล่นวงสดน่ะครับ

ข้อแตกต่างการดูละครเวทีกับการดูหนังก็คือ มีการพักยกให้คนดูได้เข้าห้องน้ำห้องท่าหรือว่าจะออกไปซื้ออะไรกินก็ได้ (แต่คิดว่าไม่น่าจะให้เอาอะไรเข้าไปในโรงละครได้ครับ) พักประมาณสักสิบนาที ทุกคนก็ต้องกระตือรือร้นเพื่อไปเข้าห้องน้ำเพราะว่าไม่อยากจะออกมากลางคันเพื่อที่เข้าห้องน้ำอีกรอบครับ ทำให้คนแน่นมากที่ห้องน้ำหญิง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำนายว่าจะเกิดได้ก่อนล่วงหน้าอยู่แล้วเพราะว่า ห้องน้ำหญิงถ้าหากว่ามีที่ให้ถ่ายๆเท่าๆกับห้องน้ำชายอัตราการใช้เวลาในห้องน้ำก็จะต้องมากกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้น่ะครับ ถ้าหากว่าจะเอาให้ดีแล้วจริงห้องน้ำหญิงจะต้องออกแบบมาให้มี work station ให้มากกว่าห้องน้ชายมากๆและแน่นอนว่ามันจะกินพื้นที่กว่าห้องน้ำชายหลายเท่าตัวครับ (ซึ่งก็ไม่มีคนทำอยู่ดี) ไหงว่าไปว่ามาไปเรื่องห้องน้ำได้เนี่ยะ .. ><

กฏของการเข้าชมละครที่ดีคือ "ต้องไม่ทำให้ผู้แสดงเสียสมาธิ" ระหว่างการแสดงจะไม่อยากให้ผู้ชมทำเสียงถุงขนมหรือว่าคุยกันเองหรือว่าเดินไปเดินมาครับ เพราะอาจจะทำให้ผู้แสดง(สด)ลืมบทหรือว่าออกอาการผิดคิวได้ ซื้อก็โชคดีว่า งวดที่ผมไปดูเค้าก็ไม่ได้ผิดคิวอะไรแล้วก็ทุกคนที่แสดงก็แสดงออกมาได้อย่างถึงอารมณ์จนผม in กันเนื้อหาและเนื้อเพลง(ที่ให้ความหมายแตกต่างออกไปจากาเดิม) กันเลยก็ว่าได้น่ะครับ แต่ก็มีคนทำให้ผมเสียสมาธิอยู่ฉากหนึ่งน่ะครับ ดีน่ะครับที่ผู้แสดงบนเวทีอาจจะไม่ได้ยินแล้วก็ไม่เสียสมาธิน่ะครับ แน่นอนว่าถ้าหากว่าคนที่เข้าไปดูแล้วก็จะได้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกับรอบที่ผมดูครับ เพราะว่า มีอยู่ฉากหนึ่งที่ ออฟปองศักษ์ถามนิโคล(ที่เป็นนางเอก) ว่า "เธอจะมีความสุขที่สุดในชุดแต่งงานเป้นเจ้าสาวนะ" แล้ว ออฟปองศักษ์ก็ถามต่อไปีอกว่า "แล้วรู้มั้ยว่าฉันจะมีความสุขที่สุดเมื่อไร" ไม่ทันไรคนดูหัวไวก็แซวกลางอากาศห่างออกไปจากแถวที่ผมนั่งประมาณสักห้าหกแถวเห็นจะได้ (ทำเสียงภาคแทนออฟน่ะครับ) ว่า "ก็เมื่อฉันได้ใส่ชุดเจ้าสาวเหมือนกันไง" เล่นเอาผมสมาธิหลุดจากเวทีมาขำอยู่ได้สามสี่ตลบใจจบกับความหัวไวช่างแซวของคนบางคนในที่มืดนี้น่ะครับ ก็ไม่ใข่แค่ผมฮาอยู่คนเดียวหรอกน่ะครับ คนที่นั่งอยู่ในรัศมีที่ได้ยินคำแซวที่ว่านี้ก็คงขำไม่ย่อยเหมือนกันน่ะครับ เฮอะๆ ..

โดยรวมแล้วกาาดูละครเวทีเรื่องนี้ถือได้ว่าทำเอาผมปลื้มใจอยู่ในตอนจบ (ไม่ใช่ที่เนื้อเรื่องหรอกน่ะครับ ) เป็นตอนจบที่ทุกคนออกมาเพื่อรับการตบมือขอบคุณจากคนดูครับ ผมปลื่มใจตรงที่ว่า เค้าแสดงออกมาแล้วรู้สึกว่าคนเหล่านนั้นเค้าได้ทำอะไรเต็มที่กับเรื่องราวและเนื้อหาที่แสดงและพร้อมที่จะยินดีได้รับความสุขจากการขอบคุณของคนดูน่ะครับ ซึ่ง ณ เวลานั้นผมว่าคนดูทั้งหมดในโรงก็รู้สึกปลื่มใจและอิ่มใจกับการแสดงนั้นจึงต้องตบมือขอบคุณนักแสดงอย่างอิ่มเอมใจครับ สุดท้ายก็มีแถวอีกหน่อยให้ร้องเพลง โดยมีการขึ้นคาราโอเกะด้านข้างเวทีสำหรับคนที่ไม่ค่อยรู้เนื้อร้องให้ได้ร้องกัน เหมือนคนที่เค้าจัดการแสดงเนี่ยะเข้าใจหัวอกว่า .. คนดูอยากจะร้องเพลงไปกันนักแสดงด้วยแต่ว่าก็ไม่ได้ร้อง ก็เอามาร้องมันตอนจะเลิกนี่ซะหน่อยก็แล้วกันน่ะครับ

ยังไงซะก็ขอบคุณสำหรับประสบการณ์การดีๆในครั้งนี้ครับ ขอบคุณครับ

Thursday, November 26, 2009

12 แนวคิดผ่านประสบการณ์มองโลกจากมุมมองหนึ่ง

มีหลายๆแนวคิดที่ผมได้จากการอ่านและฟังสัมนาที่อาจจะบอกคนอื่นต่อไป แม้ว่าแนวคิดเหล่านี้จะเป็นแนวคิดที่อาจจะไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด แต่ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ผมไม่ได้พิมพ์เอาไว้ที่นี่เพื่อให้คุณเชื่อทุกอย่างที่เขียนบอกนี้ แค่อยากจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นน่าคิดที่อย่างน้อยความคิดเหล่านี้ควรจะไหลผ่านหัวไปบ้างเผื่อว่าวันไหนจะได้หวนระลึกหรือประยุกต์คิดต่อยอดต่อไปได้

1. ประเทศที่เจริญแล้วจะไม่อยากทำการผลิตอะไรที่เป็นอุตสาหกรรม และใช้แรงงานเพราะแรงงานเหล่านั้นมีมูลค่ามากกว่าประเทศที่ยังไม่พัฒนา แนวคิดแบบนี้อาจจะเป็นเหมือนกับการดูถูกคนของประเทศที่ยังไม่เจริญอยู่เสียหน่อยแต่ว่า นี่ก็เป็นแค่เรื่องปกติสำหรับการผลิตที่ต้องการใช้จ่ายเงินที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อการผลิตสินค้าที่เหมือนๆกันหรือว่าใครๆก็ทำกันได้

2. สินค้าใดๆไม่ว่าใครๆก็ทำกันได้ถ้าหากว่ารู้จักหาว่าจะเอาวิธีการนั้นมาได้อย่างไร เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ประเทศจีนสามารถที่จะผลิตดอะไรก็ได้ แม้ว่าประเทศอื่นๆจะเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีออกมา ไม่ใช่ประเทศจีน แต่ประเทศจีนต่างหากที่ทำหน้าที่ตามข้อ 1 ที่ว่าเอาไว้ก็คือ ทำให้มันผลิตได้ด้วยราคาที่ต่ำ (ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษของคนจีนที่อยู่ในประเทศจีนนั่นเอง ) Know-how ในการผลิตสามารถที่จะเรียนรู้และตามกันได้ด้วยระยะเวลาไม่นานนัก โดยการเอาความรู้จาก Supplier เอาความรู้จากคู่ค้าที่มีอยู่เดิม หรือแม้กระทั่งเอาจากพนักงานของโรงงานผลิตที่เคยทำงานในสายการผลิตนั้นๆมาแล้ว (คำว่าพนักงานไม่ใช่แค่หมายความถึงพนักงานในสายการผลิตเท่านั้นแต่รวมถึงผู้จัดการ คนที่อยู่ในโรงงาน แม่บ้าน และอื่นๆที่พอจะทำให้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อที่จะทำการผลิตสิ่งของหรือสินค้านั้นๆออกมาได้ ) วิธีการแกะสินค้ายังมีอีกวิธีที่นิยมทำกันก็คือ การซื้อสินค้ารนั้นๆมาจากหน้าร้าน (ไม่ว่าจะวางขายที่ไหนก็ตาม) เอามาแล้วก็ถอดแบบมันเสีย หรือ กรณีที่แย่ที่สุดก็คือ หาคนในองค์กรของตัวเองพยายามอย่างสุดแรงเพื่อที่จะทำสินค้าให้เหมือนหรือดีกว่าด้วยความรู้และการทดสอบ trial and error ไปเรื่อยๆ (เชิง C&D concept )

3. มูลค่าในการผลิตลดน้อยลงอันเนื่องมาจากเหตุผลข้อที่ 2 ทำให้มูลค่าแท้จริงที่เหลืออยู่ที่ความสามารถในการกระจายสินค้า ความหมายที่อยากจะบอกไม่ได้แค่กระจายเท่านั้น มันหมายรวมถึงการมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว การมีลูกค้าที่ซื้อหาสินค้าเหล่านั้นเป็นประจำ เป็นเครือข่ายหรือโครงข่ายที่ถาวร และคนอื่นแย่งเอาไปได้ยาก ถ้าหากว่าเป็นสินค้าเชิงบริโภค ก็จะเรียกว่าเป็นเครือข่ายผู้บริโภค ถ้าหากว่าเป็นสินค้าที่เป็น B2B ก็จะไม่มีนิยามหรือคำให้เรียกกัน ถ้าอยากจะเรียกด้วยคำที่ใกล้เคียงมากที่สุด จะเรียกว่า ฐานลูกค้า ก็ได้

4. การดึงดูดลูกค้าเพื่อเพิ่มฐานลูกค้าอาจจะกระทำได้สองทางคือ การเพิ่มโดยการเดินเข้าไปหากลุ่มลูกค้าใหม่ หรือ การรอให้กลุ่มลูกค้าเข้ามาหา ทั้งสองวิธีการเป็นการเพิ่มลูกค้าเชิงรุกทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มโดยการเดินเข้าไปหา กล่าวคือ ถ้าหากว่าลูกค้าอยู่ที่ไหนเราเดินเข้าไปที่นั่นก็จะมีโอกาสได้ลูกค้าเพิ่มเข้าในฐานลูกค้า หรือ ในทางตรงกันข้ามถ้าหากว่ามีทำเลใดๆเพื่อเป็นการเรียกให้ลูกค้าหลงเข้ามาหาเราได้แล้วมีการซื้อขายเกิดขึ้นได้จริงตามคุณสมบัติของสินค้านั้นเราก็จะเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าได้อีกทางหนึ่ง

5. ความสามารถที่จำเป็นสำหรับคนทำธุรกิจโลกใหม่ คือ ความสามารถในการสร้างธุรกิจใดๆไม่จำกัดว่าต้องมีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิม ด้วยอัตราความล้มเหลว 90% ของธุรกิจใหม่ นั่นก็แปลว่าถ้าหากว่าคุณจะทำอะไรให้มัน success ด้วย่ความสามารถแบบ average แปลว่าคุณจะมีค่า exspected value ของการทำธุรกิจให้สำเร็จได้คือ 1 ครั้งและล้มเหลว 9 ครั้ง คุณอาจจะล้มสาม ล้มสี่ หรือห้าหกเจ็ดก็สุดแล้วแต่สถิติ แปลว่ามันจะมากกว่าหรือน้อยกว่า 10 ครั้งได้เพราะมันเป็นสถิติเท่านั้น กล่าวคือ การเรียนรู้และสร้างระบบงานออกมาได้เร็วในเวลาที่เท่ากันก็จะมีโอกาส"ผ่าน"ที่มากกว่า และการที่คุณจะทำอย่างงั้นได้แปลว่าคุณต้องทำกิจการมากกว่า 1 อย่าง ณ เวลาหนึ่งๆที่ไม่เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย (น้อยคนนักที่จะทำข้อนี้ได้และคิดแบบนี้ เหตุผล 108 แต่ไม่อยากจะเอามาพิมพ์เก็บไว้ เช่น ความเชือว่าจำเป็นว่าคุณต้องรู้เรื่องที่กำลังจะทำก่อนแล้วจึงทำ แต่คุณคงไม่คิดหรอกว่าคุณเริ่มต้นจากการที่คุณไม่รู้เรื่องใดๆในทุกๆเรื่องนั่นหละ..  และเหตุผลอื่นๆอีกมากมาย พิมพ์ได้อีกเป็นหน้าๆ)

6. กิจการใดๆจำเป็นต้องวางไข่หลายใบในตะกร้าหลายตะกร้า เพราะถ้าหากว่า คุณทำธุรกิจท่องเที่ยวต่อเนื่องกัน เมื่อมีปัจจัยภายนอก (เรื่องอะไรก็สุดแล้วแต่ที่คุณควบคุมมันไม่ได้ ยกเว้นคุณจะเป็นนายกฯ) แล้วมันส่งผลกระทบต่อคุณในทางลบ หรือลบมาก กิจการของคุณทั้งหมดจะโดนกระทบไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด เช่นถ้าหากคุณทำเรือสำราญในกรุงเทพ ทำโรงแรมเล็กๆในกรุงเทพ สองกิจการนี้ผูกกับเรื่องท่องเที่ยวแล้วถ้าหากว่ามีปัจจัยภายนอกที่กระทบการท่องเที่ยวเข้าอย่างจัง ทั้งสองกิจการก็โดนหางเลขไปทั้งหมด และเหตุผลข้อที่ 6 นี้เป็นเหตุว่าทำไมความสามารถในข้อที่ 5 เป็นเรื่องจำเป็นยิ่งนัก

7. คิดให้ดีเสียก่อนว่าธุรกิจที่คุณจะเข้าไปมันไม่ได้เป็นธุรกิจแดงเดือด แน่นอนว่าถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่เข้าไปใหม่คุณจะไม่รู้หรอกว่ามันแดงเดือดแค่ไหนหากคุณขาดข้อมูลที่ได้จากการศึกษาหรือเป็นข้อมูล insight กันจริงๆ มันจะเป็นธุรกิจใหม่ของคุณ(ณเวลานั้น)เสมอ และแนวความคิดของคนที่จะทำธุรกิจย่อม "จำเป็นต้อง" คิดว่ามันจะมีโอกาสเพื่อเป็นการเพิ่มขวัญและกำลังใจของตัวเองเพื่อให้มีแรง(ใจ)พอที่จะเดินหน้าสร้างงานในสายงานใหม่(เฉพาะตัวเอง)นั้น ระหว่างทางจำเป็นต้องคิดทบทวนอยู่ตลอดว่า เหตุผลที่เราจะทำนั้น มันคืออะไรกันแน่แล้วมันได้คุ้มกับเสียหรือไม่ แล้วจะประเมินอย่างไรว่ามันคุ้มแล้ว หรือว่าบอกกับตัวเองได้ว่า "มันไปได้สวย" เรื่องนี้ไม่มีข้อกำหนดตายตัวแต่สิ่งที่สะท้อนออกมาได้ชัดคือ ถ้าหากว่ามันไปได้สวยมันย่อมก่อกำไรทั้งที่แบบมองเห็นหรือแบบที่มองไม่เห็นก็ได้ (ซึ่งแบบที่มองไม่เห็นนี้จะประเมินได้ยากกว่า แต่อาจจะคิดได้อีกแบบก็คือถ้าหากว่า เราจะซื้อกิจการตัวเอง ณ เวลานั้นๆคุณจะยอมจ่ายเงินไปเท่าไหร่ ถ้าหากว่ามันมากกว่าทรัพย์สินรวม ณ เวลานั้นแสดงว่ามันกำไรอยู่เท่านั้นเอง)

8. ธุรกิจต้องเริ่มแบบ "พอเพียง" ความผันผวนของปัจจัยภายนอกทำให้เราประเมินกำลังซื้อไม่ได้ หรือถ้าอยากจะประเมินก็ประเมินได้เป็นแค่เรื่องอุปโลค เพราะคุณไม่มีทางรู้ได้หรอกว่ามันจะเป็นไปอย่างที่คุณคิดอย่างนั้น สิ่งที่ทำได้มากที่สุดก็แค่เพียงทำการศึกษาอย่างจริงจังเท่านั้น เพื่อให้ได้ข้อมูลประเมินกำลังซื้อ (อัตราการขายได้ของสินค้าหรือบริการเหล่านั้น) เท่านั้นเอง มันจะเห็นได้อย่างชัดเจนมากถ้าหากว่าคุณเคยอยู่ธุรกิจข้างเคียงมากก่อน เช่นถ้าหากว่าคุณเคยเป็นผู้ซื้อมาก่อน หรือถ้าหากว่าคุณคลุกอยู่ในวงการเหล่านั้นมากก่อน หรือ อาจจะเป็นว่า คุณมั่นใจมากล้นเหลือ จะไม่ต้องทำการประเมินด้วยวิธีการอื่นใดเลยก็ได้เช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้ว่า คุณจะลงแรงและลงทุนแบบ "พอเพียง" ได้อย่างไร การเริ่มแบบพอเพียงคือการเริ่มแบบระวังตัวแบบหนึ่ง ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ เช่นถ้าหากว่าคุณมีบริษัททีทำกำไรปีละ 500 ล้านอยู่แล้ว แล้วคุณอยากจะลงทุนอะไรบางอย่างด้วยมูลค่า 100 ล้านก็ไม่ได้แปลกอะไรมันขึ้นอยู่กับว่า การประเมิน และ มูลค่าการลงแรง และทุน เท่าไหร่ถึงจะไม่มากเกินไปเท่านั้นเอง  เพราะมันจะเป็นการชิมลากถ้าหากว่าคุณรู้ข้อมูลมากขึ้น หรือรู้ว่าเป็นทะเลแดงเดือดสำหรับสินค้าหรือบริการนั้นๆคุณก็จะไม่เจ็บตัวมาก หรือเจ็บในระดับที่ไม่ทำให้คุณเกิดความรำคาญใจเท่าไหร่

9. การคิดและพิมพ์หรือพูดให้คนอื่นได้อ่านได้ฟังทำให้คุณเห็นความคิดที่อยู่ในหัวของคุณชัดเจนมากกว่าเดิม มากเสียจนกระทั่งถูกบันทึกออกมาเป็นตัวอักษรได้ การคิดนั้นเกิดจากการประมวลประสบการณ์สิ่งที่ได้ฟัง ได้เห็นและเรียนรู้มาตลอดชีวิต(เท่าที่อายุคุณจะมีชีวิตอยู่) ซึ่งแต่ละคนจะเห็นไม่เหมือนกันเพราะผ่านเรื่องราวมาไม่เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้จะฟอร์มความเป็นตัวตนคุณ ทั้งทางจินตภาพและกายภาพของคุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (กายเป็นแค่ส่วนหนึ่งของความคิดเท่านั้น ) และความสามารถในการคิดให้ชัดนี้

10. อย่ากลัวที่จะยิงคำถามแทงใจดำ หลายต่อหลายครั้งการถามให้ตรงเป้าหรือคนอื่นที่ร่วมประชุมคุยได้คิดให้รอบด้านหรือ ทำให้คิดได้ชัดเจนขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญในการฟอร์มความคิดแบบหมู่ คนที่เป็นผู้บริหารจะออกนโยบายในเชิงกว้างได้เท่านั้นแต่คนที่จะต้องสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นได้จริงจะต้องถามต่อเพื่อให้เข้าใจในความหมายต่างๆเหล่านั้นให้มากขึ้น การถามอะไรออกไปแบบตรงๆ หรือถามคำถามที่ขัดแย้งความคิดของคนอื่น ณ เวลานั้น เป็นการกระตุ้นความคิดคนอื่นให้คิดให้รอบด้านเท่านั้น เพราะการคิดและพูดออกมามันเป็นแค่การทำให้ภาพความคิดนั้นชัดเจนขึ้นเท่านั้น แต่มันจะเป็นแบบมุมแหลมเข้าไปในภาพความคิด สิ่งที่ขาดมักจะเป็นการขาดความเฝ้าระวังความคิดที่ตนเองยังไม่ได้คิด (ถึงได้มาคุยกับคนอื่นเพื่อเติมเต็มความคิดนั้น) ผู้คิดชงเรื่องต้องพึงสังวรณ์ไว้เสมอว่า ความคิดของตนเองจะไม่มีทางถูกต้องเสมอไปในทุกๆประเด็น ดังนั้นแล้วจำเป็นต้องไม่ยึดติดกับความคิดและความเห็นของตนเอง แต่ต้องกลับพยายามฟังความคิดและถอดรหัสความคำพูดคำจาของคนอื่น เข้ามาผนวกกับความคิดตนเพื่อขยายผลให้ความคิดนั้นเป็นประโยชน์มากกว่าเดิม และพึงเชื่อไว้เสมอว่า ไม่มีใครที่จะคิดถูกต้องและดีที่สุดได้ตลอดเวลา เพราะยังมีตัวแปรอีกมากที่ตอนนั้นไม่ได้เอามาพิจารณา ความคิดที่ออกมาจากคนๆเดียว ทำได้ดีที่สุดก็แค่ความคิดที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วจากอดิตและปัจจุบันเท่านั้น ไม่ใช่อนาคต แต่ประสบการณ์อนาคตต่างหากที่จะทำให้ คำพูดหรือสิ่งที่คุณบอก ณ ปัจจุบันนั้นไม่ถูกต้อง และสำเนียงรู้ได้ในภายหลังว่ามันไม่ใส่คำตอบหรือทางออกที่ดี และน่าจะต้องฟังคนอื่นให้มากกว่านี้

11. เพราะสุดขอบความสามารถทางความคิดจากคนๆเดียว คือ ประสบการณ์ทั้งโลกจริงที่ผ่านมาในอดิตและปัจจุบัน และทั้งประสบการณ์ทางความคิดที่ฟอร์มความคิดของปัจเจก ณ เวลาปัจจุบันนั้นเท่านั้น นั่นก็แปลว่าถ้าหากว่าคุณจะเหลาความคมในการคิดให้มากขึ้นได้อีก จำเป็นที่จะต้องอ่านหนังสือ หรือ อ่าน blog ให้มาก(blog ที่ทำให้คุณฉลาดขึ้น คิดรอบตัวมากขึ้นก็มีมากมายให้เลือกอ่านกัน แค่ว่าต้องหาสักหน่อยเท่านั้นเอง)  จำเป็นจะต้องเข้าฟังสัมนาเชิงแนวคิด และ/หรือ พบปะผู้คนที่อยู่คนละสังคมกับคุณ ไม่ว่ามันจะเป็นสังคมที่ดีหรูเริดในสายตาคุณเองหรือเลวบัดซบก็ตามที เพื่อให้คุณได้เห็นความคิดของคนที่แตกต่างประสบการณ์กันไป แต่อยากจะให้เน้นที่การอ่านเอาไว้ก่อน เพราะคนที่พิมพ์ออกมาได้นั่นก็แปลว่า เค้าเหล่านนั้นคิดและถ่ายทอดออกมาเป็น text ให้ได้เห็นกัน และมันสื่อสารกันได้ด้วย pace ที่เหมาะสมในแต่ละคนไป

12. จงคิดที่จะสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นเสียก่อนก่อนที่จะ monetize ออกมาเป็นเงินได้ ยังไม่เคยเห็นกิจกรรมทางการค้าใดๆที่ได้เงินออกมาก่อนหน้า(ทั้งก้อน)แล้วค่อย delivery อัตถประโยชน์ตามมาทีหลัง มีแต่คุณต้องสร้างระบบ เตรียมของ ลงทุน ลงแรงไปเสียก่อนแล้วถึงจะได้กำไรจากการลงทุนนั้นกลับมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นแล้วการออกแบบกิจการใดๆต้อง focus ให้ถูกจุดไปที่ว่า "เราจะสร้างประโยชน์ให้กับใคร? และอย่างไร" แทนที่จะบอกว่า "จะทำยังไงให้ได้เงินออกมาจากกิจการที่ทำหรือกำลังจะทำ" เมื่อคุณวางโครงสร้างเชิงประโยชน์ใหคนอื่นได้แล้ว  แล้วค่อยคิดว่า "คุณจะเจียดรายได้จากประโยชน์ทีสร้างให้กับคนอื่นนั้นออกมาเป็นเงินกำไรได้อย่างไรกัน?" แทนเสียจะดีกว่าและมันก็เป็นวิธีคิดที่ง่ายกว่าด้วย (พวกกิจการบนโลก online มักจะคิดกันแบบนี้โดยสร้าง beta version ออกมาเพื่อให้ระบบเดินได้เสียก่อนแล้วก็ค่อยมาคิดว่าจะเก็บเงินยังไงเป็น model เสริมเข้าไปตอนหลังต่อไปก็ยังได้ )

Wednesday, November 25, 2009

พวกที่เค้าออกกำลังกาย สังเกตได้ว่ามีแนวคิดคล้ายกัน

ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่สำหรับผมหรอกครับ สำหรับ clip ที่เอามา show ไว้ที่ด้านบนนี้ คนที่เค้าออกกำลังกายเค้าก็คิดเหมือนๆกัน แล้วก็รู้มาแบบเดียวกันครับ คือว่าต้อง warm up สัก 10+ นาทีแล้วก็เข้าไปทำการทรมานกล้ามเนื้อนิดหน่อย (อย่างน้อยท่าทางว่าก็ใช้เวลาประมาณ 30+ นาที) นอกจากนี้เรื่องที่ทุกคนพูดออกสัมภาพท์มาเหมือนกันก็คือ ต้องออกอย่างน้อย 3-4 วันต่อสัปดาห์ (สำหรับผมใช้นโยบายว่าต้องออกมาอย่างน้อยวันเว้นวัน ก็จได้ค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ 3-4 วันเหมือนๆกันครับ) นอกจากนี้ concept ความคิดของการออกกำลังกายก็คือ มันทำให้แข็งแรง ณ เวลานั้นทันที เป็นการเพิ่มบุคคลิกภาพ (ให้มันดูดีขึ้น) แล้วก็เป็นการฝากธนาคารสุขภาพเพื่อเอาไว้ใช้ในอนาคตแบบมีปันผล (เพราะเมื่อออกได้ไม่นานก็เห็นผลแล้วน่ะครับเมื่อเทียบกับการไม่ได้ออกอะไรเลย)

อย่างเรื่อง concept การฝากสุขภาพกับธนาคารสุขภาพด้วยการออกกำลังกายนั้น จะเห็นผลได้อย่างชัดเจน เมื่อคุณไปงานแต่งงานเพื่อน หรือเป็นการรวมรุ่น แค่คุณอายุ 20++ เท่านั้นคุณจะเห็นรูปร่างคนอื่นที่แตกต่างกันออกไปเมือ่เทียบกับเค้าเหล่านั้นตอนที่คุณเคยเห็นตอนเรียนดว้ยกัน หรือว่าถ้าหากว่าเมื่อคุณเป็นรุ่นพ่อรุ่นแม่แล้วคุณจะเห็นได้ชัดกว่านั้นอีกว่า บางคนจะอ้วนลงพุงมาก แล้วก็บางคนก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินเลือด ไม่ก็เกี่ยวกับหัวใจหรือปริมาณไขมัน และตับ (ก็ยอด hit ทั้งนั้น) อาการเหล่านั้นเป็นผลจากการสะสมของการไม่ออกกำลังกาย (มันก็เป็นการสะสมเหมือนกันน่ะครับ คุณเลือกได้ว่าจะออกหรือไม่ออกเท่านั้นเอง ณ เวลานี้ ก็อย่างว่าน่ะหละมันเป็นการสะสมนี่หน่า )

แล้วตอนนี้ล่ะคุณเลือกที่จะเริ่มสะสม .. อะไรกัน ระหว่างฝากสุขภาพเข้ากับธนาคารสุขภาพด้วยการออกกำลัง หรือ จะเลือกสะสมตะกรันในเส้นเลือด..

Tuesday, November 17, 2009

ใกล้สิ้นปีผมจะได้ข้อมูลเพิ่มที่ร้านไอติมไม่เคยเปิดเผยกับตัวผมมาก่อน ..

2009-11-17_16-51

ตอนนี้ใกล้จะหมดปีแล้วน่ะครับ ผมจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาอย่างหนึ่งที่คนปกติจะไม่ทำการเก็บข้อมูลกันก็คือ ปีๆหนึ่งกินไอติมไปทั้งหมดกี่ถ้วยกันแน่ เพราะว่าจะได้เอามาประเมินได้ว่าถ้าหากว่าเรากินประมาณนี้แล้ว มันจะคุ้มค่าหรือไม่ที่จะไปซื้อบัตรส่วนลด (มันต้องซื้ออ่ะครับ ><) ปีนี้ผมเลือกที่จะไม่ซื้อ่เพราะว่าผมเดาเอาว่าผมกินไม่น่าจะคุ้มค่ากับการได้ส่วนลดนั้นสักเท่าไหร่ครับ ไว้ปลายปีปั้บก็จะรู้แล้วครับ

บัตรลดพวกนี้มันไม่ได้มีเอาไว้ก็เพื่อให้คนจ่ายน้อยลงหรอกครับ เพราะเบื้องหลังของมัน มันจะทำหน้าที่เพื่อเป็นการเรียกคนให้เข้าร้านเพื่อจ่ายต่อคนให้มากขึ้นมากกว่า เพราะหากว่าลองคิดดูน่ะครับ คุณไม่มีบัตรลด คุณอาจจะคิดได้ว่า อืม .. ก็มันไม่ได้ลดอะไรจะเข้าไปทำอะไรล่ะ เดินผ่านไปก็เท่านั้นก็ไม่ต้องเสียเงินแล้ว แต่ว่าในทางตรงกันข้ามถ้าหากว่าคุณมีบัตรลดแบบที่คุณเสียเงินไปแล้วด้วย (ย้ำอีกหน่อยว่าคุณได้มีความรู้สึกว่ามันสูญเสียเงินกับมันหรือว่าได้มีการลงทุนไปแล้ว) ในใจเราจะมีแนวคิดของทุนจมเอาไว้ นั่นก็แปลว่า เมื่อคุณเดินผ่านหน้าร้านไอติมร้านเดิม ด้วยตัวคนๆเดียวกันแท้ๆแต่ว่า โอกาสที่คุณจะเดินเข้าร้านไอติมเพื่อทำการซื้อ (เสียเงิน) มากกว่าเดิมเป็นไหนต่อไหนแต่ว่าจะไม่ได้ทำการประเมินออกมาเป็นตัวเลขกันจริงๆจังก็ตาม แค่คิดก็จะพอเดาออกมาแล้วมันมีผลต่อความคิดของคุณมากแค่ไหนกันน่ะครับกะแค่บัตรลดเหล่านี้ .. ไม่น่าเชื่อแฮะ ..

Thursday, November 12, 2009

น้ำพุสูงสุดๆที่ดูไบ (ไม่ได้ไปดูตอนที่ไปเที่ยวครั้งก่อน)

ผมเคยไปดูไบมาหนหนึ่งแล้วแต่ก็ไม่เคยเห็นน้ำพุตัวนี้ที่เค้าบอกว่าสร้างไว้ข้างๆกับตึกที่สูงที่สุดในโลก ( ณ เวลานี้ และก็คิดว่าก็คงอีกนานกว่าจะมีคนที่จะทำลายสถิติความสูงของมันได้ ) ตอนที่ผมเดินทางไปเที่ยวที่นั่นแถวตึกนั้นเหมือนจะเป็นทะเลทรายทั้งหมด แต่ก็แน่ล่ะครับ ก็ประเทศนี้มีแต่ทะเลทรายกับทรายเท่านั้นครับ แค่ว่ามีน้ำมันอยู่ใต้ดินเท่านั้นเอง นั้นก็หมายความว่า สิ่งที่เห็นอยู่เหนือผืนดีนนี้ทั้งหมดเป็นสิ่งปลูกสร้างที่แปลงมาจากน้ำมันยังไงอย่างงั้นครับ

ประเทศนี้มีคนรวยอยู่กับมาก ไม่ได้รวยธรรมดาน่ะครับแต่ว่าเป็นพวกที่รวยมากเท่านั้น และก็จะอยู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมที่สร้างโดยมนุษย์กันอย่างสมบูรณ์โดยแท้ เพราะส่วนที่เป็นธรรมชาติมันก็เป็นแค่ทะเลทรายเท่านั้นครับ มันสะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งและทรัพยากรที่มีเหลือล้นหลามที่อยู่ใต้โลกของเราเป็นไหนต่อไหน ราวกับว่ามันไม่มีวันที่จะหมดไปได้

แนวคิดของประเทศนี้คือ ต้องทำอะไรที่สุดโต่งที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเอาสกีหิมะมาสร้างไว้ในห้างเพื่อให้คนของประเทศเค้าได้เล่นหิมะหรือสกีจริงๆกัน(มันก็ปลอมอยู่ดี) หรือว่าจะสร้างตึกที่สูงที่สุดในโลก หรือว่าจะเป็นโรงแรมที่หรูมากที่สุดเท่าที่โลกเราจะทำได้ แม้ว่าจะไม่มีคนไปพักมันให้ได้กำไรก็ตามที (สนที่ไหนกันล่ะครับเพราะว่ารวยอยู่แล้วซะอีกนี่เนาะ) ผมคิดว่าทำให้ความคิดของคนรวยที่นั่นมองทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งสิ้น ราวกับว่าเรื่องราวต่างๆจะเป็นไปในแบบที่เค้าเหล่านั้นคิดแทบทั้งหมดครับ

Tuesday, November 10, 2009

โฆษณาจีนสื่อสารเข้าใจง่ายได้ใจความ

 

ผมชอบแอบไป CCTV ที่ห้องน้องสาวอยู่บางครั้ง วัตถุประสงค์ไม่ได้ไปดูหนังหรือละครหรอกแต่ว่าที่ไปดูเนียะจะเป็นพวกโฆษณาซะมากกว่า ผมว่าโฆษณาของประเทศจีนเค้าทำให้คนของเค้าเข้าใจได้ง่ายและสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ว่า สินค้าเหล่านั้นมันทำอะไรได้ (ส่วนที่จะทำได้อย่างนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่ได้เกี่ยวกัน แต่ก็อย่างที่รู้ๆกัน)

ผมดู clip นี้สี่นาทีแล้วก็คิดว่าถ้าหากว่าเราเป็นผู้หญิงนี่คงจะซื้อไปแล้วเพราะว่ามันช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกินครับ ^^

Sunday, November 08, 2009

เล่นหวยได้อะไรมากกว่าที่คิด

ถ้าหากว่าต้องการที่จะเล่นเพื่อที่หวังถูก ลองคิดแบบนี้ดูครับ

20090805715_03

สมมุติว่าเราเฉลี่ยเล่นหวยทุกครั้งปีหนึ่งๆเราจะได้เล่นทั้งหมด 24 ครั้ง (เดือนละสองครั้ง) แล้วถ้าหากว่าคุณเล่นทุกงวด โอกาสถูกโดยเฉลี่ยจะทำให้คนๆหนึ่งถูกหวยแบบเลขสองตัวตรงๆประมาณทุกสี่ปี หรือ สี่ปีก็ถูกครั้งนึง ลองคิดดูแล้วกันน่ะครับว่า เล่นทุกงวดเพื่อให้ถูกประมาณแค่ 1 ครั้งตลอดสีปี (เหมือนกับระยะเวลาที่เรียนมหาลัย) แน่ใจแล้วเหรอป่าวน่ะครับว่าคุณต้องการแค่จะถูกรางวัล

 

คนที่ซื้อหวยจะประสบพบพานเรื่องมากกว่าความต้องการถูกหวยมากมายนัก ประเด็นต่างๆเหล่าๆนั้นก็เช่น

- ต้องการมีส่วนรวมกับกิจกรรมนี้
- ต้องกาความรู้สึกตื่นเต้นตอนซื้อ
- ต้องการความรู้สึกตื่นเต้นตอนลุ้น
- ต้องการหากิจกรรมทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากที่ทำๆอยู่เป็นปกติวิสัย
- ต้องการคิดว่าตัวเองมีโชค
- ต้องการความดีใจเมื่อถูกหวย
- ต้องการความเสียใจเศร้าใจเมื่อโดนหวยกิน
- ต้องการทดสอบเรื่องโอกาสเหนือความน่าจะเป็น เช่น การได้ซื่งเลขเด็ดแล้วอยากลองของ
- ความรู้สึกในการใช้จ่ายเงินที่เหมือนกับได้มาฟรีๆ (ถึงแม้ว่าจริงแล้วก็เป็นเงินเราเองนั่นหละ แค่ว่ามันรู้สึกไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง)
และอื่นๆอีกมากมาย

แน่นอนว่าเราไม่ได้คิดแค่อยากจะซื้อหวยกันสักเท่าไหร่ การเฝ้าฝันถึงรางวัลเป็นแค่ประสบการณ์หนึ่งสำหรับการซื้อเล่นหวยเท่านั้น โดยที่เจ้าตัวเองก็แทบไม่รู้ตัวว่าเราจะได้ประสบการณ์แฝงต่างๆเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

Thursday, November 05, 2009

กินน้ำแข็งปั่น หรือกินไอติมดี

จะเห็นได้ว่าของกินทั้งสองอย่างนี้หน้าตาจะเหมือนกันหมด แต่ที่มันแตกต่างกันจริงๆแล้วก็คือ อันนึงกินแล้วพอจะมีมวลให้อิ่มแต่ว่าอีกอันจะไม่ได้ความรู้สึกว่าได้กินสักเท่าไหร่ครับ เพราะว่าอันนึงเป็นไอติมจริงๆแต่ว่าอีกอันเป็นแค่เกร็ดน้ำแข็งเอาเข้าปากแล้วก็สลายหายไปในทันใด เอาเข้าปากได้แค่รสที่ไม่ได้มีรสมันๆของไอติมด้วยซ้ำ แต่ว่าราคาทั้งสองกรณีนั้นแตกต่างกันเท่าตัวนึง

IMAGE_366 IMAGE_401
ถ้าหากว่ามองเป็นกำไรแล้วล่ะก็จะประเมินได้ว่า "น้ำแข็งปั่น" กำไรกว่าเป็นไหนๆเรียกว่าที่เรากินเข้าไปเป็นน้ำแข็งมีรสเท่านั้น กินเข้าไปเพื่ออารมณ์ความรู้สึกโดยแท้ แอ้ะ แต่ว่าเราก็ไม่ได้กินเพื่ออิ่มอยู่แล้วนี่เนาะ ..

Monday, October 26, 2009

กินติ่มซำ low cost : ที่ The Canton House

IMAGE_395 

ติ่มซัมเป็นอาหารโปรดอีกประเภทหนึ่งที่ผมนานๆก็จะได้กินที แต่ว่าที่เอามาโม้ให้ฟังวันนี้จะเป็นติ่มซำที่ราคาต่อเข่งแค่ 15 บาทเอง (ณวันที่เขียน) หรือผมเรียกว่าเป็น ติ่มซำ low cost (แอ้ะเหมือนกับสายการบิน low cost ยังไงอย่างงั้นเลยน่ะครับ)

ติมซำแนวนี้ผมเห็นอยู่ก็ไม่กี่จ้าวมากที่ทำเป็น Brand ออกมาแล้วคนกิน มากินได้เป็นประจำเท่าที่นึกออกก็จะแค่ โชคดี กับ ร้านนี้น่ะครับ The Canton House ซึ่งแท้ที่จริงแล้วผมก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าร้านนี้ก็คือ ครัวกรุงเทพที่อยู่แถวพญาไท ร้านเดียวกันแค่ว่าผมมากินที่ central แจ้งวัฒนะเท่านั้นเอง (ไกลจากบ้านเอามากๆครับ ><) นอกนั้นก็จะเป็นร้านทั่วๆไปครับที่เอาติมซำสด(ยังไม่ได้ผ่านการนึ่ง)มาแช่แข็ง show เอาไว้หน้าร้านครับ

คนที่มากินร้านแบบนี้ผมว่าเค้าก็จะกินติมซำนั่นหละไม่ได้กินอะไรอย่างอื่นสักเท่าไหร่ถ้าหากว่าสั่งอย่างอื่นก็เพื่อที่จะทำให้กินแล้วอิ่มกว่าเดิมก็เท่านั้น  สำหรับราคา 15 บาทต่อเข่งผมว่าไม่แพงเกินไป (แต่ว่าถ้าหากว่าคิดเป็นคำๆแล้วก็เริ่มออกมาแพงนิดๆก็ได้น่ะครับเพราะว่าบางอย่างก็กินได้ 2 คำ บางอย่างกินได้ 1 คำ หรือว่าบางอย่างทั่วๆไปหน่อยเช่นจีบกุ้งปูหรือว่าฮะเก๋าก็จะได้กินสามคำครับ ) นั่นก็แปลว่าถ้าหากว่ากิน 2 คำ ก็คิดซะว่ากินคำละ 7.50 บาทยังไงอย่างงั้น (แหม เล่นเกมส์เกมส์นึงก็ 10 บาทน่ะครับ)

ผมมองเรื่องเป็นตลาดดีกว่าน่ะครับ ปกติจะโม้แต่เรื่องกินว่ามันอยู่ที่ไหนกินแล้วอร่อยมั้ยหรือว่าแนะนำให้คนอื่นมากินซะมาก แต่ว่า ติมซำ low cost จริงๆแล้วเป็นมิติใหม่ของการแยกกลุ่มตลาดออกมาจากเดิม แต่ก่อนการกินติมซำจะต้องมีเงื่อนไขว่า เอ .. ต้องกินกลางวันเท่านั้น ต้องราคาออกแนวอาหารเหลาสักหน่อยเข่งละ 40 บาทขึ้นไป หรือไม่ก็แหวกกว่านั้นก็ซัดเป็นแบบ buffet ตามโรงแรมไปซะอย่างงั้นน่ะครับ ซึ่งประเด็นนี้สำหรับเรื่องเวลานั้นจริงๆแล้วคนกินไม่ได้จำเป็นหรอกครับว่า ติมซำมันต้องกินแต่เป็นมื้อกลางวันซะที่ไหนกันล่ะ ใครตั้งกฏเอาไว้เหรอครับ ? ผมอยากกินติ่มซัมตอนเย็นก็มีกินแล้วก็อิ่มดีด้วยน่ะครับ ยิ่งโชคดีติ่มซัมนี่ผมรู้สึกว่า เค้าจะเปิดตลอดเวลา เรียกว่ากินกันเข้าไป ตอนไหนก็ได้เพราะว่ามันเข่งเล็กๆจะสั่งมากน้อยแค่ไหนก็ไม่ได้มีคนว่าได้

เมื่อตอนที่กินก็ได้ค่าเฉลี่ยใช้จ่ายเพื่อให้อิ่มได้มื้อติมซำ low cost ตกที่ประมาณ 100 บาท (แต่ว่าผมว่างวดนี้กินประหยัดนิดๆน่ะครับ) ถ้าหากว่าจะกินไม่ประหยัดหน่อยก็คิดว่าน่าจะไปที่ไม่เกิน 150 บาทต่อหัวได้ แต่ว่าก็เรียกได้ว่าอิ่มเอาการแล้วน่ะครับสำหรับราคาเฉลี่ยต่อหัวละแค่ 100 บาทเท่านั้น อ้อข้อดีอีกอย่างที่ผมชอบสำหรับร้านติมซำไม่ว่าที่ไหนๆน้ำชาหรือว่าเก้กฮวยก็จะเป็น buffet refill เติมได้ไม่อั้นเหมือนกับร้าน pizza ที่เสริฟโค้กได้ไม่อั้นเหมือนกันครับ แต่ว่าร้านเดอะแคนตั้นเฮาสเค้าคิดค่าน้ำเก้กฮวยต่อคนก็ 10 บาท refilll ไม่อั้นครับ ก็โอเคดีน่ะครับเพราะว่าถ้าหากว่าปกติร้านอื่นๆสั่งอาหารมาสั่งน้ำก็จะคิดน้ำก็สิบบาทแล้วเหมือนกันแต่ว่าร้านอื่นเค้าเต็มไม่ได้แบบนี้เท่านั้นเองครับ

ร้านติ่มซำ low cost เป็นการประยุกต์หรือตีความแบบ blue ocean ได้ไม่ยากครับเพราะว่ามีการเพิ่มเงื่อนไขของลูกค้าใหม่ๆ (ถ้าอ่านมามันก็คือปัจจัยใหม่เพื่อให้กราฟแบบใหม่บนแผนภูมิผ้าใบอะไรนั่นน่ะครับ) เรียกว่าย้ายภาพกราฟออกไปได้ทำให้เกิดตลาดใหม่ยังไงอย่างงั้นครับ ทั้งทางด้านราคา เวลาการกิน และ location ภาพลักษณ์ตัวร้าน และบริการ ที่แตกต่างออกไปจากร้านติ่มซำแบบเก่าๆที่ต้องติดภาพไม่เป็นภัตตาคารก็ต้องเป็นโรงแรมซะอย่างงั้น แล้วก็ต้องมาบังคับกินกันตอนกลางวันเท่านั้นด้วยแล้วก็หมดเวลาตอนบ่ายโมงอีกต่างหากอะไรกันเนียะ

โดยรวมถือว่าร้าน The canton house กินแล้วอร่อยดีเหมาะกับราคาดีเอามากๆแล้วก็สะดวกที่จะกินเพราะว่าทำอาหารออกมาได้เร็วเหมือนกับเป็น fast food เมืองจีนยังไงอย่างงั้นก็ว่าได้น่ะครับ ว่างลองไปหาที่กินดูเอาเองแล้วกันนะครับอ้อ แต่ว่าอย่าไปสาขาพญาไทแล้วกันครับเพราะว่าคนเยอะมากผมไปกินหนเดียวก็ไม่ได้ไปอีกเลยน่ะครับ แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกครับเพราะว่าผมไปกินตอนวันแม่หรือว่าวันหยุดที่คนเค้าชอบพาครอบครัวมากินกันน่ะครับ ลองดูแล้วกันครับผม  ..

Saturday, October 24, 2009

ร้านโคซิแร ร้าน buffet หมูเกาหลี (ที่เกาหลี้เกาหลี..)

IMAGE_391 IMAGE_392 IMAGE_393 IMAGE_394
ร้านนี้มีคนเกาหลีนั่งกินอยู่ในสัดส่วนประมาณสัก 30% ของคนทั้งร้านต่อเวลาแล้วก็คนพวกนี้ก็จะกินกันเมาๆแล้วก้พูดเสียงดังบ้างน่ะครับ ก็อย่าไปถือสาเค้ามากแล้วกันครับผม

ที่ผมไปร้านนี้เพราะว่ามันเป็น buffet หมูเกาหลีที่มีแต่หมูเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าอยากกินเนื้อก็สั่งเอาก็ได้แต่ว่าแนะนำว่าให้มากินอีกรอบที่เป็นคนละรอบกับที่มากินบุฟเฟ่ต์น่ะครับ

หมูที่สั่งได้ก็จะเป็นหมูทุกแบบที่เห็นที่แสดงอยุ่ที่ภาพนี้น่ะครับยังไงก็ลองดูเองแล้วกันว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหน สำหรับผมแล้วคราวนี้เน้นสั่งเนื้อหมูสามชั้นทั้งที่หมักและไมได้หมักกินกันน่ะครับ กินเข้าไปแล้วก็มานั่งกลุ้มนิดหน่อยว่าจะหาทาง burn มันออกจากร่างกายด้วยวิธีการไหนต่อไปยังไงดี (ก็ไม่ได้ถึงกับรู้สึกผิดอะไรมากมายหรอกครับ)

นอกจากเนื้อหมูหมักๆที่สั่งได้เรื่อยๆแล้วก็จะมีพวกกับแก้ม น้ำเปล่าก็สั่งได้เพิ่มได้เรื่อยๆทั้งหมด ทั้งนี้ยกเว้นข้าวเท่านั้นที่จะต้องซื้อเพิ่มเป็น option เสริมครับ ก็แปลกดีแต่ว่าก็ไม่แพงมากน่ะครับ

ร้านนี้ถ้าหากว่าจะกินให้ได้ราคาแค่ 290 บาทก็ต้องไปกินวันจันทร์ถึงศุกร์เอาครับ นอกนั้นก็จะแพงกว่าเดิมนิดหน่อย (320 บาท)

วันที่ไปเป็นวันหยุดราชการแต่ว่าเกาหลีไม่ได้รับรู้อะไรด้วยก็เลยได้ราคาถูก 290 น่ะครับ โชคดีอยู่เหมือนกันครับ ยังไงซะผมก็ว่าผมจะได้ไปกินอีกอย่างแน่นอนครับ ^_^

Thursday, October 15, 2009

เขย่ากันเข้าไปกล้ามจะขึ้น (มั้ยเนี่ยะ)

ของแบบนี้ดูแล้วมันน่าใช้เหรอป่าวเนียะ มันแปลกเกินไปหน่อยน่ะครับ สินค้าเหล่านี้ถ้าหากว่าดูที่ ads ตรงๆแล้วเหมือนกับว่ามันขยับเองได้แต่ว่า ถ้าหากว่าค้นหาคำว่า shake weight review จะมีคนใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ให้ดูแต่ว่า “มันต้องเขย่าเอง” อย่างงั้นใช้ weight ธรรมดามาขย่มดูก็น่าจะได้น่ะครับ เอามาให้ดูเพราะว่ามันแปลกดีน่ะครับ เฮอะๆ

เด็กๆร้องเพลงสะท้อนการเกิดมาของชีวิต

ถ้าหากว่าดู clip ทั้ง 2 clips นี้เด็กทั้งหมดร้องเพลงด้วยเหตุผล และเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรก็คงต้องปล่อยให้เป็นแบบนั้น เหตุผลและเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้นแล้ว แต่อนาคตนั้นแทบประเมินประมาณไม่ได้อย่างแท้จริง

Sunday, October 11, 2009

Digital Gateway กินหมูทอดกระเทียมซะงั้น …

IMAGE_364 IMAGE_363

เมื่อวานนี้ไปกิน Katsu King ที่ Digital Gateway มาน่ะครับจริงไม่ได้ไปกินครั้งนี้เป็นครั้งแรกหรอก กินมาแล้วเยอะครั้งมาก แต่ว่าก็ไม่ได้มาเขียนเก็บเอาไว้เท่าไหร่ ไม่ได้ไม่มีเวลาอะไรแต่แค่ว่าไมได้พิมพ์เก็บไว้เท่านั้นเองล่ะครับ

ร้านนี้ที่นั่งน้อยมาก ทำให้คนพนักงานต้องเร่งยอดโดยให้คนยืนสั่งอาหารเอาไว้ก่อนแล้วก็คนที่นั่งกินเสร็จแล้วก็จะโดนถามว่า check bill เลยเหรอป่าวแบบว่าจะปฏิเสธก็กระไรอยู่น่ะครับเพราะว่าก็มีคนอื่นเค้าก็ยืนรออยู่เป็นคิวที่มองไม่เห็นเพราะคนก็เดินไปเดินมาแถวนั้นครับ

สภาพของกินก็คือ "หมูทอด" คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้สักครับ แต่ที่พยายามทำให้ไม่เหมือนกับหมูทอดอื่นๆก็แค่ว่ามีการใส่ไส้ชีสเข้าไปสำหรับคนชอบกินชีทก็จะสั่งแบบนี้กิน (ผมว่ามันเหมือนกะหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้วเหลือไว้มากกว่าน่ะครับ เอาน่าผมเป็นคนไม่ชอบกินชีสอยู่แล้วก็ว่าเค้าไปเนาะ) แล้วก็มีอีกประเภทก็คือ เอาไส้กระเทียมใส่เข้าไป กินแล้วจะออกแนวเหมือนกับหมูทอดกระเทียมซะมากกว่าแต่ว่าก็อร่อยดีน่ะครับ

ร้านนี้ถ้าหากว่าสั่งเป็นชุดหมูทอด (ผมไม่เคยสั่งอย่างอื่นเลยครับ) ก็จะได้เครื่องเคียงมาคือมันบด กับผักอะไรสักอย่าง น้ำซุป แล้วก็ข้าวเปล่ากับน้ำซุปมิโซะ อ้อ มีน้ำชาเขียวรสแปลกๆอีกด้วยครับ สิ่งที่เคยเติมเพราะดูคนอื่นเค้าก็เติมๆกันก็คือ ข้าว น้ำชา ผักฝอย น้ำจิ้ม(อันนี้แน่นอนน่ะนะ) นอกนั้นผมก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องเติมอะไรครับ แล้วพอกินเสร็จเค้าก็จะมาถามเราว่า กินติมมั้ยคะ .. ก็บอกไปว่าเอามาได้เลยกินๆ (แหม มันมีในชุดไม่เอาก็ประหลาดแล้ว แต่ว่าบางคนก็ไม่เอาก็มีน่ะครับ ไม่รู้ว่าทำไม อาจจะอิ่มแล้วก็ได้ครับ)

โดยรวมรสชาติใช้ได้ครับลองมากินดูเองแล้วกันโม้ไว้แค่นี้แหละครับ

Friday, October 09, 2009

หลักการ 90/10 : คุณต่างหากที่เป็นคนคุมเหตุการณ์

slide ด้านบนนี้จริงๆเป็น slide ที่อธิบายถึงหลักการคร่าวๆว่า ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆก็ตามที่เข้ากระทบใจเรา ใจเรานั้นต่างหากที่จะเป็นคนแปลสัญญาณนั้นๆเป็นความคิดและพฤติกรรมของเราเองที่ดำเนินต่อไป ลองคิดไปดูมา 10% ไม่ได้เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้แต่ว่าเป็นสิ่งที่เราไม่ได้ไปควบคุมมันต่างหาก แล้วก็ 90%ที่เหลือเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ครับ โดยการควบคุมนั้นเริ่มจากความคิดต่อสิ่งเร้าต่างๆเหล่านั้นออกมาเป็นการกระทำหรือพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง (รวมทั้งการไม่ทำอะไรเลยด้วยก็เป็นการกระทำอย่างหนึ่งเหมือนกันครับ)

แย่หน่อยที่เราจะไม่เห็นผลของทุกๆอย่างที่เราคาดว่าจะกระทำได้เพราะตัวเราอยู่ได้ ณ โลกของการตัดสินใจและผล(outcome)ของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้เพียงโลกเดียวเท่านั้น โลกที่ผมว่านี้เป็นโลกที่เราสำเหนียงรู้ได้ อันเป็นผลจากการกระทำของตัวเราเป็นหลัก คิดแบบนี้อาจจะดูเหมือนกับว่าตัวเราเป็นศูนย์กลางของโลกยังไงอย่างงั้น แต่ก็อาจจะคิดแบบนั้นได้เพราะว่าแค่คุณหลับตา(คุณเป็นคนคิดที่จะหลับตาและทำมันด้วยตัวคุณเอง)คุณก็จะไม่ได้รับภาพใดๆไม่ว่ามันจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ เมื่อเรากระทำใดๆสิ่งๆนั้นมันสะท้อนออกไปไม่มีวันจบในโลกที่คุณอยู่รับรู้นี้ เหมือนกับเรื่องที่อาจจะเคยได้ยินมาบ้างเรื่องผีเสื้อกระพือปีกสะเทือนถึงดวงจันทร์อะไรทำนองนั้นน่ะครับ แค่คุณตายไปโลกทั้งโลกก็ตายไปกับคุณราวกับว่าคุณคือทุกอย่างของโลกนี้

เพราะฉะนั้นแล้วหากคิดเรื่องทั้งหมดรวมกันนี้จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด คือ เหตุการณ์ใดๆจะเกิดได้ก็เพราะตัวเราคิดและตัดสินใจกระทำการใดๆตามนั้นตามที่เราคิด รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกที่ตัวคุณเองรู้สึกและสถานการณ์ที่ดำเนินการต่อไปนั่นเอง

Thursday, October 08, 2009

บาดเจ็บเล็กน้อย เรื่องขี้ปะติ๋ว

ไม่ได้บาดเจ็บภายนอกซะนาน วันนี้ดันมาโดนซะได้ ยกน้ำชาขวดแก้วออกมาจากตู้เย็นจับที่หัวมันก็เลยหลุดมาทำหล่นซะแก้วกระจายมาโดนนิ้วเท้าซะอย่างงั้น นอกจากจะไม่ได้กินขาเย็นที่คิดเอาไว้ว่าจะต้องแช่เย็นใส่น้ำแข็งแล้วก็เอาออกมาเทใส่เเก้วพร้อมกับหยดนมรสจืดเข้าไปเยอะๆหน่อยจะได้หอมหวาน ... นะ ดันหล่นไปซะทั้งขวดแตกสลายลงไปกับตาแถบเจ็บตัวอีกต่างหากคนเรา

ก็มานั่งนึกว่าไม่ได้รับบาดแผลภายนอกแบบนี้มานานเอาการแล้วเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะว่าเราทำอะไรไม่ประมาทหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ หรือว่าอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้ทำอะไรให้เกิดโอกาสพลาดเกิดอุบัติเหตุได้ (ครัวก็ไม่ได้ทำเอง ทำความสะอาดอะไรก็ไม่ได้) อืม ..ก็แปลกดีเหมือนกันนานๆเจอทีน่ะครับ

(แล้ววันนี้จะอาบน้ำยังไงดีนะ ท่าทางว่าจะต้องหาถุงพลาสติกมามัดข้อเท้าน้ำจะได้ไม่เข้าแผล น่าจะดี..)

Monday, October 05, 2009

email marketing idea : ตัดสินกันที่ศีลธรรมของคนส่งว่ามันเป็น spam หรือว่าเป็นเรื่องที่น่าบอกต่อกันแน่ ?

วันนี้ผมได้รับ email forward มาฉบับนึง (เค้าเรียกเป็นฉบับเหรอป่าวผมไม่แน่ใจเท่าไหร่นะครับ) แล้วปรากฏว่าเป็น email ที่มีเนื้อความเป็น html ที่ต้องกด display content เพื่อให้ภาพทั้งหมดแสดง (ทำให้รู้ได้ว่ามีการโหลด file นั้นๆแล้วทั้งหมดกี่ครั้ง หรือว่ามีคนเปิดดูเนื้อหาได้ทั้งหมดกี่ครั้งแล้วน่ะครับ) แต่ว่าประเด็นไม่ได้อยู่ที่เรื่องเทคนิคในการวัดว่ามีคนอ่านข้อมูลนี้ทั้งหมดกี่ครั้งแล้วหรอกครับ แต่ว่าประเด็นมันอยู่ที่ว่า ที่ด้านล่างสุด มีเนื้อความพิมพ์ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า "ถ้าหากว่าคุณ fwd เมล์นี้ไปหาเพื่อนของคนมากกว่า 50 คนเป็นต้นไป แล้ว cc กลับมาด้วยที่(อีเมล์ของทีม marketing ของหน้าเว็ปไซท์) แล้วคุณได้ตั๋วหนังไปฟรี"

ได้อย่างนี้ปุ้บผมก็มานั่งคิดว่า วิธีการนี้จะทำให้เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง เริ่มจากคนได้รับ เมื่อคนได้รับเห็นภาพแบบนี้แล้วเค้าเป็นคนที่ forward mail อยู่แล้วเค้าก็จะได้ตั๋วหนังฟรีๆไม่ยากเอาซะเลยเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่เค้าทำอยู่แล้ว แต่ว่างวดนี้มันเป็นโฆษณาเท่านั้นเอง (ดูออกชัดๆว่าเป็น ads ไม่ได้เป็นเรื่องที่อยากบอกต่อกันเท่าไหร่ หรือว่าไม่ได้เนื้อหาเหมือนกับที่ fwd email ทั่วๆไปเค้าส่งต่อๆกัน) คนๆนี้จะเลือกที่จะส่งถ้าหากว่าเค้าอยากได้ตั๋วหนังไปฟรีๆน่ะครับแล้วเค้าก็ไม่ได้ออกแรงอะไรมากก็แค่ click สองสามทีเท่านั้น (แล้วก็ต้องติดต่อติดตามเพื่อให้ตั๋วหนังมาอีกนิดหน่อยซึ่งถือได้ว่าเป็นแรงงานที่ไม่หนักมากนัก) หรือ คนๆนี้เลือกที่จะไม่ส่งต่อให้เพื่อนเค้าเพราะว่า มันเหมือนกับ spam เพื่อนมากเกินไปหน่อย อย่างงั้นพอคิดได้แบบนี้มันกลับเป็นปัญหาเรื่องศีลธรรมไปซะอย่างงั้นหรือ ? คือ เลือกว่าจะ spam เพื่อนเพื่อให้เราได้ของมาฟรีๆ หรือว่า spam เพื่อนเพราะว่าเห็นว่าเป็น spam หรือปรับความคิดไปเลยว่า ก็ไม่ได้ spam ่หรอกแค่อยากบอกสิ่งดีเหมือนกับว่าเป็น email ที่เหมาะเหลือเกินสำหรับการ forward ต่อๆกันไป

ประเด็นนี้ผมประเมินได้ยากอยู่เหมือนกันน่ะครับเพราะว่าผมไมได้เป็นคนที่ fwd email สักเท่าไหร่แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่บอกว่าช่วยส่งต่อหน่อยก็ตามที (เหมือนว่าใจร้ายยังไงก็ไม่รู้น่ะครับ) เพราะผมคิดไม่ออกว่าคนที่เค้าชองส่งต่อนั้นเค้าจะประเมิน email แบบนี้ว่ามันเป็นขยะหรือไม่ต่างหาก

สำหรับคนที่ทำ email marketing ก็เป็น idea ใหม่ๆที่ผมไม่เคยเห็นน่ะครับก็เลยเอามาเล่าให้ฟังเพราะปกติแล้ว email ที่ fwd กันจะทิ้งท้ายเอาไว้แค่ว่าถ้าไม่ส่งจะไม่หล่อ จะไม่มีแฟนหรือว่าขู่ว่าจะเจอเรื่องไม่ดี (แค่นี้เองก็แพร่เหมือนกับ virus แล้วน่ะครับ) เลยไม่รู้ว่าถ้าหากว่าเอาของมาล่อด้วยแล้วเนี่ยะมันจะทำให้การส่งต่อเหมือนกับ virus ได้อย่างงั้นหรือ ? แต่ที่แน่ๆถ้าหากว่ามีการส่งต่อเกิดขึ้นจริงๆแล้วล่ะก็การให้ตั๋วหนังมูลค่า cost สัก 60 บาท (น่าจะได้นะ) เพื่อให้ได้ email มาเพื่อเอาไว้เป็นฐานข้อมูล(เพื่อ spam ต่อไป)ได้อีกสัก 50-60 emails นั้นตกต้นทุนแล้ว email รายการละหนึ่งบาทเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าให้คุ้มค่ากว่า payperclick ของ Google adwords ที่ต้องจ่ายไปน่ะครับ ถ้าหากว่ากลุ่มลูกค้าของคุณเป็นใครก็ได้หรือว่าไม่ต้องการ demand หรือว่าต้องเกิดความต้องการของลูกค้าอะไรเป็นพิเศษแล้วล่ะก็วิธีการนี้น่าลองทีเดียว ผมจะเก็บเอาไว้เป็น idea ดูว่ามันจะมีวิธีการเพื่อ prove ได้ว่ามัน work หรือไม่ work ต่อไปแล้วกันน่ะครับ (ถ้าหากว่าคิดออกว่าจะทำยังไงครับ) โม้เท่านี้ก่อนแล้วกันนะครับ

Friday, October 02, 2009

อยากให้ดู slide เรื่อง "Shift Happens"

เป็นการ presentation ที่ทำออกได้เข้าใจได้ไม่ยากเลยน่ะครับ วัตถุประสงค์เพื่อที่จะได้เก็บเอาไว้เป็นรูปแบบสำหรับการนำเสนอที่ดีขึ้นครับ

Tuesday, September 29, 2009

รวม viral clip : จาก youtube ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

นี่เป็น shot เด็ดทั้งหมดของ video clip ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และมีคนดูเยอะมากๆครับ ตัดต่อเอามารวมกันทั้งหมดมากกว่า 100 videos แสดงดูให้หมดภายใน 3 นาที เผื่อว่าใครจะทำอะไรแนวๆนี้ก็จะทำให้สินค้าหรือตัวเองดังได้ไม่ยากน่ะครับ ลองดูเองแล้วกันครับผม

Friday, September 25, 2009

หนังเรื่อง "ฝันโครตๆ" : ถ้าดูไม่รู้เรื่องอ่านทางนี้ได้น่ะครับ

เนื้อความนี้สำหรับคนที่ดูมาแล้วและไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น !

ไม่แนะนำสำหรับคนที่คิดว่าจะดูแล้วอยากรู้เรื่อง เพราะ หนังเรื่องนี้ไม่ได้สร้างมาเพื่อสื่อสารให้รู้เรื่องแบบทันทีทันใด มีการสลับของเวลาระหว่างความจริงและความฝันทำให้คนดูงงเอาการกันเลยก็ว่าได้ แต่ว่าผมจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันว่า เรื่องมันจะบอกอะไรเรา ?

เนื้อหาจะเน้นถึงความฝันของคนที่คิดย้อนมาแต่อดีต ผู้หญิง(ตัวเอกของเรื่อง) ชื่อ เปิ้ล เหมือนจะมีความคิดระลึกถึงเรื่องราวของตัวเองในอดีตที่เคยมีความสุขกับชีวิตคู่ ที่ดูเหมือนจะลุ่มๆดอนๆ โดยสามีของเค้าก็จะเป็นผู้กำกับหนัง แน่นอนว่าตัวเธอเอาก็เป็นนางเอกหนังเหมือนกัน (ในเรื่อง) ความจริงผู้หญิงคนนี้เป็นดาราหนัง แต่คิดแต่เรื่องความสุขเก่าๆกับคนที่ไม่ได้มีเชือเสียงอะไร ได้แต่เต้นกินรำกินไปวันๆ (แต่ว่ามี six pack รู้หรอกว่ามีเพราะว่าเปิดโชว์เยอะฉากสุดๆแล้ว ก็คนเล่นเป็นคนกำกับซะเองนี่หน่า เค้าจะเอายังไงก็ได้น่ะครับ) ส่วนตัวผู้ชายก็จะคิดถึงแต่เรื่องอนาคตเป็นความฝันว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้กำกับชื่อดัง มีสาวเป็นดารานอนกรกอยู่ข้างกายเป็นประจำ ทำตัวเป็น playbou ไปวันๆ เพราะเงินและรายได้ชื่อเสียงนั้นหามาได้ง่ายเสียเหลือเกิน

การดำเนินเรื่องโดยสรุปจะบอกว่า ตอนที่คนหนึ่งฝันจะเป็นเนื้อหาที่เป็นความจริงของอีกคนหนึ่ง (เรื่องนี้ตัวละครหลักมีแค่สองคนเท่านั้นก็คือ ชาย หญิงคู่นี้น่ะหละ นอกนั้นเป็นตัวประกอบดำเนินเรื่องเท่านั้น) การเล่าเรื่องจะมีความสับสนทางเวลาเป็นอย่างมาก สำหรับคนดูเพราะมันสลับเวลาไปมาตลอดเวลา เรื่องความจริงของผู้ชายจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน และต่อเนื่องด้วยความจริงของผู้หญิง โดยจุดต่อคือ ตอนที่มีการสร้างหนังเรื่องโครตรักเอ็งเลยนั่นเอง ถ้าหากว่าดูดีๆแล้วไม่คิดเรื่องเหตุการณ์อะไรเกิดก่อนหลังและเรามาลำดับความคิดเองในหัวเรา จะพบได้ว่าเรื่องเป็นเรื่องแบบธรรมดาเล่าเรื่องไปเรื่อยๆเท่านั้น ก็คือ ผู้ชายอยากเป็นคนกำกับหนังชื่อดัง ก็แสดงถึงพื้นเพ แสดงถึงความพยายาม และระหว่างนั้นก็มีสาวหน้าตาดี (นางเอก) มาติดตาม ไล่ไปเรื่อยจนได้ทำหนังและได้อยู่กินกะนางเอกเท่านั้นเอง

ความคิดสะท้อนของหนังจะบอกว่า คนเรายึดติดกับความฝันไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคตก็แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง (สำหรับตัวละคร) แต่ว่าไม่ได้ยึดติดหรือต้องการจะอยู่กับปัจจุบันสักเท่าไหร่

เวลาที่โดนบิดเบือนไประหว่างเวลาที่ฉายๆ (เวลาโลกจริงของคนดู) เวลาที่ย้อนกลับมาของตัวนางเอก เวลาที่เร่งคิดไปสำหรับตัวพระเอก ทำให้คนดูที่คิดและดูด้วยเวลาบนโลกจริงสับสนอย่างรุนแรงครับ เอาเป็นว่าอย่าคิดมากดูขำๆแล้วก็มาลำดับความคิดกันเอาเองแล้วกันน่ะครับ

Thursday, September 24, 2009

idea : อาชญากรรม 2.0 บอกต่อให้คนทำตาม

อย่างว่าล่ะครับเดี๋ยวนี้เราจะได้รับ forward mail หรือว่า web เอาเรื่องว่า มีการหลอกลวงหรือทำร้ายคนด้วยวิธีการอย่างนู้นอย่างนี้ วัตถุประสงค์ผมเข้าใจได้ดีกว่า เพื่อเป็นการเตือนเพื่อให้การป้องกันตัวหรือ ระแวดระวังเสียมากกว่า แต่ว่ามันยังมองได้อีกทิศหนึ่งก็คือ มันเป็นการบอกวิธีการหลอกลวงหรือทำอาชญากรรมใดๆก็ตามเพื่อให้คนที่ไม่มีไอเดียว่าจะทำอย่างไรให้ได้รู้ด้วยเช่นเดียวกัน แปลว่า เรื่องการบอกต่อๆกันของสื่อ social network หรือ email marketing แบบที่เราได้รับข้อมูลอยู่นั้นมันเป็นดาบสองคมที่มีคมของดาบไม่เท่ากัน ทำไมผมว่ามันไม่เท่ากันน่ะเหรอครับ? ก็เพราะว่า ตนดีมีมากกว่า แต่สิ่งที่เค้าทำได้ก็คือการรู้ตัวไหวติงทันเท่านั้น ซึ่งถ้าหากว่ารู้ตัวเหตุการณ์ร้ายๆก็จะไม่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ แต่หากว่าคนที่คิดไม่ดีรู้วิธีการแทนที่จะไม่รู้ เค้าเหล่านั้นจะเริ่มดำเนินการดังกล่าวได้ และแน่นอนว่าคนเราฉลาดจะดัดแปลงวิธีการดังกล่าวได้ด้วยนั่นก็แปลว่า คนที่ได้รับข้อมูลเพื่อเฝ้าระวังตัวเองจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้อีกต่อไปสำหรับวิธีการหลอกลวงที่มีการดัดแปลงมาแล้วยังไงอย่างงั้น เพราะ เราไม่รู้หรอกว่า "มันจะมาไม้ไหน?" ทำให้ความสามารถในการป้องกันการเกิดเหตุนั้นต่ำลงไปมากเมื่อเทียบกับโอกาสของคนที่จะกระทำการไม่ดีแล้วได้ทำไม่ดีขึ้นมาจริงๆนั่นเอง

ถ้าหากว่าสังเกตการหลอกลวงต้มตุ๋นจะใช้วิธีการที่แตกต่างกันออกไปโดยใช้ concept ้เดิมๆไม่ได้แตกต่างอะไรมากมายนัก แต่ว่าก็มีคนตกเป็นเหยื่ออยู่ดี คนที่จะทำการไม่ดีเหล่านั้นเค้ามี concept หลักแล้วเพียงแต่ต้องแต่งบริบทเพื่อให้เกิดการกระทำหลอกต้มตุ้นได้โดยสมบูรณ์ คนที่รู้แกวและป้องกันได้นั้นถ้าหากว่าได้เจอเรื่องราวในการหลอกลวงนั้นจรืงๆก็จะเป็นการป้องกันเฉพาะตัวเพราะ การที่จะดำเนินการใดๆเพื่อตามจับตัวคนก่อเหตุนั้นจะต้องออกแรงเพื่อให้เกิดการตามหรือติดตามได้อย่างจริงจังต่อไป คิดว่าคนส่วนน้อยเท่านั้นจะทำอย่างงั้น เพราะ แค่รอดมาได้ก็ถือว่าบุญแล้วไมได้คิดต่อไปหรอกว่า จะต้องไปป้องกันคนอื่นเค้าด้วย สิ่งที่เค้าเหล่านั้นจะทำได้ก็คือ การเผยแพร่ข้อมูลและวิธีการกับคนกระจายออกไปอย่างสุ่ม (mail forward เหมือนเดิม) และแล้ววงจรอุบาทว์ก็เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี

ผมไม่ได้บอกว่าอย่าบอกต่อน่ะครับ แต่ว่าให้คิดแบบนี้จะดีกว่า วิธีการป้องกันก็คือ การ forward mail เรื่องราวลักษณะนี้จะต้อ่งไม่เกิดขึ้นอย่างสุ่มหรือเอาไป post ไว้ในที่สาธารณะ คนที่คิดว่าจะได้รับหรือได้อ่านนั้นคุณต้องยืนยันได้ว่าเค้าเป็นคนดีพอที่จะไม่กระทำการตาม concept ของ email forward นั้นเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของข้อมูลไปตกยังมือคนไม่ดีลงไปได้ ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญเพื่อเป้นการตัดวงจรอุบาทว์ที่ผมได้ว่าไปแล้วในเนื้อความก่อนหน้านี้น่ะครับ ยังไงก็คิดก่อนที่จะบอกต่อๆกันไปแล้วกันน่ะครับ

สิ่งแวดล้อม : ปัจจัยที่คนขนขวายเพื่อปลดเปลื้องความรู้สึกรับผิดชอบต่อการทำลายโลกของมนุษย์

ผมต้อ่งบอกเอาไว้ก่อนว่าส่วนตัวแล้วถ้าหากว่าคนเราจะอยู่บนโลกนี้ไม่ว่าจะมีปริมาณคนมากหรือน้อยก็แล้วแต่ลุ้นเป็นการให้โลกเราไม่สมดุลไม่มากก็น้อย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนเราเหมือนเกิดมาเพื่อทำลายสิ่งแวดล้อมและใช้เผาทรัพยการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อันเนื่องมาจาก technology ที่มีขีดจำกัด ณ ขั้นตอนของการพัฒนาเพือ่ให้ได้สินค้าหรือบริการที่ทำลายสินค้าได้น้อยลง (Green product ซึ่งก้ไม่ได้แปลว่ามันไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมมันก็แค่ทำลายน้อยหน่อยเท่านั้นเอง) ผมจะไม่สาทยายว่าทำไมคนต้องทำลายโลกถ้าหากว่ายังมีคนอยู่บนโลก เก็บเอาไว้วันไหนอยากเล่าแล้วจะเล่าให้ฟังอีกทีแล้วกัน กลับมาที่ประเด็นว่า "สิ่งแวดล้อม" เป็นเรื่องที่กำลังเป็น Trend ปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ 10 ปีนี้ดีกว่าน่ะครับ

คนเราทำลายสิ่งแวดล้อมกันอย่างเอาเป้นเอาตายทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวและไม่อยากจะรับรู้มัน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่ เราจะเผาผลาญพลังงานของตัวเอง(ที่ได้มาจากการบริโภค)หรือน้ำมัน(ทรัพยากรใดๆ)อย่างใดอย่างหนึ่งทำให้คนเรามีความรู้สึกว่า ฉันน่าจะทำให้สิ่งแวดล้อมมันดีขึ้นกว่าหรือไม่ก็ทำลายมันให้น้อยลงกว่านี้ได้หรือไม่ ถ้าหากว่าทำได้ มันจะเป็น "ความรู้สึกผิดลึกๆ" ที่ฝังอยู่ในตัวเรา เพราะ ภาครัฐและเอกชนก็ทำการ promote เรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เพราเค้าเหล่านั้นอาจจะเห็นว่า ถ้าหากว่าไม่ได้ทำอะไรสักอย่างโลกจะต้องเสียหายขั้นรุนแรงอย่างแน่นอน (แต่ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอยู่ดีในท้ายที่สุด) การที่ให้คนใดๆลดการกระทำใดๆเพื่อให้มีผลต่อกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง คนละนิดละหน่อยจะต้องกระทำกันอย่างจริงจังและทำกันในระดับจิตสำนึกเท่านั้น เพราะทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้นครับ แต่ว่าถ้าหากว่าคนทำได้เยอะคนรวมๆกันมันก็เยอะ ก็เหมือนกับที่ว่าแต่ละคนก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่เป็นปกติแล้วมันก็ทำลายโลกเราได้อย่างที่เป็นอยู่ยังไงอย่างงั้น

เพราะฉะนั้นแล้วความรู้สีกนี้จะโดนแปลงออกมาเป็นความต้องการแบบโหยหา และปลดเปลื้องความรู้สึกผิด เหมือนจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้มากขึ้น สินค้าและบริการเริ่มที่จะจับ Trend นี้ได้แล้ว ณ เวลานี้ และมันจะเป็นอย่างงี้ไปเรื่อยในอนาคต และมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ เท่าที่ผลลัพธ์ของการทำลายสิ่งแวดล้อมมันให้ผลที่เลวร้ายต่อเนื่องไปเรื่อยๆนั่นเอง สินค้าและบริการจะต้องออกแบบมาและสร้างเรื่องราวที่สะท้อนความเป็น eco. มากขึ้น เพราะมันเป็นมูลค่าเพิ่มที่ซ่อนตัวอยู่และคนยอมจ่ายเพื่อลดความรู้สึกผิดนั้นด้วยมูลค่าระดับหนึ่ง (และจะเพิ่มค่าขึ้นเรื่อยๆเมื่อโลกโดนทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ) ยังไงเสีย การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะแก้ไม่ได้ในระยะเวลาสิบปีนี้อย่างแน่นอน เพราะการทำลายนั้นมันง่ายกว่าการทำลายให้น้อยลงอยู่มากโขอยู่ คนเราก็แสดงออกได้ด้วยการใช้สินค้าหรือบริการที่คิดึกเรื่องนี้เท่านั้นเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลว่ามันจะให้ผลได้ 100% อยู่ดีในที่สุด

Tuesday, September 22, 2009

กับดักความคิดอย่างงั้นเหรอ ? มันไมได้ make sense มาแต่แรกแล้วนี่หน่า ..

ในห้องเรียนวันหนึ่ง ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า
มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด อีกคนตัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน
นักเรียนคนหนึ่งตอบว่าก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ
ไอสไตน์ พูดว่า งั้นเหรอ
คุณลองคิดดูให้ดีนะคนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควันเขาก็ ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆเลย ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า ตัวเองก็สะอาดเหมือนกันตอนนี้
ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่
นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า
อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรกเห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย
..... ถูกไหมครับ....
ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคน ต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้
ไอสไตน์ ค่อยๆพูดขึ้น อย่างมีหลักการและเหตุผลคําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก นี่แหละที่เขาเรียกว่า ตรรก เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจน สะดุด ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ ตรรกจะหาตรรกได้ก็ต้อง กระโดดออกมาจาก พันธนาการของความเคยชิน หลบเลี่ยงจากกับดักทางความคิด หลีกหนีจาก สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริงขจัด ทิฐิแห่งกมลสันดานจะหา ตรรก ได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัดหมากทั้งหมดที่คนเขาจัดฉาก วางล่อคุณไว้

copy มาจาก http://puritech.blogspot.com/search?updated-max=2008-12-11T15:37:00%2B07:00&max-results=1

Monday, September 21, 2009

lifestyle ที่เปลี่ยนไป : ทำอะไรก็สะดวกขึ้นเรื่อยๆ ทำอะไรได้เร็วขึ้นกว่าเดิม

คนเมืองจะทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนความต้องการ แล้วจะมี lifestyle ที่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก เพราะคนเหล่านี้จะมีความสามารถที่ในเการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้เร็วมากขึ้น โดยเค้าเหล่านั้นต้องการความสะดวกในการดำรงชีวิตมากกว่าเดิมอันได้แก่ การสื่อสาร การกิน การนอน การ entertain ตัวเอง (และคนอื่นๆที่อยู่รอบด้าน) รวมถึงการทำงานด้วยเช่นเดียวกัน

"ความสะดวก" จะเป็น keyword สำคัญที่สุดสำหรับการออกแบบบริการและสินค้าใหม่ๆ ในโลกปัจจุยันและอนาคนอันใกล้ไม่เกิน 10 ปีนี้ ความสะดวกที่ว่าครอบคลุมทุกส่วนของการใช้ชีวิต และ แน่นอนว่าครอบลุมในส่วนการทำงานด้วยเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น

ERP ใดๆจะต้องทำการใช้งานได้ผ่าน internet (ERP มันก็เหมือนกับ software ที่บอกว่า องค์กรทำงานอะไรอยู่ตอนนี้ได้เงินไหลมาเท่าไหร่ ออกไปเท่าไหร่ แล้วผลิตภาพเป็นอย่างไรบ้าง การออกเอกสาร PR , วางบิล และอื่นๆที่องค์กรเล็กๆถึงใหญ่โตก็ต้องทำเหมือนกันหมด )

software จะโดนออกแบบมาเพื่อใช้กับ computer ที่ต่อ internet แล้วเล่นได้จากเครื่องใดๆที่ไหนก็ได้ เพราะมันสะดวกเอามากๆ ไม่จำกัดว่าจะใช้เมื่อไหรที่ไหน คุณไม่ต้องทำงานทำการที่ office เท่านั้น คุณสามารถที่จะทำงาน หรือหาเงินได้จากเตียงนอนเลยได้ด้วยซ้ำ (ตอนนี้คนที่ทำงานในชุอนอนเริ่มมีเยอะขึ้นเรื่อยๆน่ะคัรบไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ Freelance หรือเป็น coperate ก็ตามแต่ว่าติดต่อสื่อสารผ่านหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งหมด) ตอนนี้สำหรับ software เองนั้นใครๆก็เห็น Trend นี้ได้อยากชัดเจนอยู่แล้วเพราะไม่ว่าจะเป็น microsoft หรือว่าจะเป็น software house ใดๆก็พยายามที่จะสร้าง software application ที่ใช้งานผ่านหน้า browser ได้ทั้งหมด

การสื่อสารที่สะดวก การบอกต่อที่สะดวก จะได้ว่า คนเรารับความไม่สะดวกได้น้อยลง ถ้าหากว่าจะใช้งาน computer นอกพื้นที่ office ก็อยากที่จะใช้เป้น net book แทนเพราะว่ามันไม่หนัก (สะดวกกว่า) และเลิกคิดมากเรื่องเวลาของ bat. ออกไป (ตอนนี้มันเล่นได้มากกว่า 6 hrs ต่อการ charge 1 ครั้งแล้ว) ทำให้คุณๆต่อ internet เล่นอะไรก็ได้หรือทำงานทำการผ่าน software ใดๆที่ใช้งานผ่าน internet โทรศัพท์จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้มากรองจาก computer แล้วมันก็จะทำหน้าที่เป็น computer ย่อมๆอยู่ในมือตลอดเวลา

ของกินก็ต้องสะดวกกว่าเดิม จะเห็นได้ว่าอาหารแช่เเข็งจะมีทำตลาดกันเยอะขึ้น แค่ข้าวหน้าไก่ก็ยังต้องเอามาทำแช่แข็งกันเพราะว่า คนเราอยากสะดวกขนาดที่ว่ามีคนทำอาหารให้แล้วโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก  น้ำจิ้มสำเร็จรูปเริ่มออกมาวางขายมากขขึ้น น้ำซอสผัด หรือ ซอสอะไรที่มีการผสมแล้วก็ผลิตทำออกมามากกว่าเดิม จนแทบไม่เหลือความเป็นดั้งเดิมเอาไว้ว่ามันทำมาจากอะไรกันแน่ ทำให้คนทำอาหารไม่รู้ที่มาที่ไปของอาหารเหล่านั้นหรือว่าถึงแม้ว่าจะรู้ก็ไม่อยากทำไปยุ่งกับมันเพราะว่ามันเหนื่อยกว่านั่นเอง ง่ายๆคือ ของจะพร้อมกินมากขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ เราไม่ได้ต้องการทำอะไรให้เร็วหรอก แต่ว่าเราอยากได้เวลาเพื่อการนั่งๆนอนๆมากกว่า

ความสะดวกในการเดินทาง ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากจะขับรถไปไหนมาไหนเพราะว่ามันก็ต้องกินแรงก้าวขาแล้วก็บังคับรถมันเหนื่อยเอาการน่ะครับ ที่ต้องเคลื่อนที่ไปไหนมาไหน ยกเว้นเหตุที่ว่า เคลื่อนที่เพื่อให้ตัวเองไม่เบื่อเท่านั้นเอง นั่นก็แปลว่า การบริการถึงที่บ้านจะเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นความต้องการของคนปัจจุบันนี้และอนาคตต่อไปเรื่อยๆ

เอ .. ผมยกตัวอย่างมาทั้งหมดมันเป็น concept กว้างๆว่า ทำอะไรให้สะดวกกว่าเดิมก็จะเป็นสินค้าหรือบริการที่มันจะเป็นมาตราฐานความต้องการไปเสียแล้ว และมันจะเป็นอย่างงั้นเรื่อยไปในอีก 10 ปีหน้านี้ ส่วนมากจะเป็นเรื่องของการใช้งานใดๆอันเกี่ยวเนื่องกับ computer & internet เสียมากเพราะ internet นี่น่ะหละทำให้โลกเราเปลี่ยนมาแล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จนระยะ 5 ปีหลังสุดที่มีเรื่อง social network และ web2.0 เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวืตมนุษย์อย่างรุนแรง

เรื่องความสะดวกนี้ไม่ได้เป็นความต้องการของคนเราแต่แรกหรอก แต่ว่าถ้าหากว่าเคยสะดวกแล้วจะทำให้เกิดพฤติกรรม"ติด"ความสะดวกนั้น เพราะไม่เคยมีไม่เคยสะดวกอย่างนั้นก็ไม่รู้หรอกว่ามันสะดวกได้สบายได้ จนกว่าจะเคยใช้งานสินค้าหรือบริการนั้นๆ นั้นก็แปลว่า แท้ที่จริงแล้วสินค้าหรือบริการโดยเน้น"ความสะดวก"เป็นตลาดที่ต้อง idea เข้ามาประกอบค่อนข้างมาก เพราะ มันไม่เคยมีมากกว่า คนที่จะใช้สินค้าหรือบริการนั้นก็ต้องได้ลองในลักษณะเหมือนกับเสพติดในที่สุด  อะไรก็ตามที่ทำใหคนสะดวกขึ้นได้น่าจะเป็นสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความต้องการของคนเราทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

Sunday, September 20, 2009

Trend โลกมุมมองของผม ตอนนี้ว่ามันน่าจะวิ่งไปทางไหน (ตอนที่หนึ่ง) : สุขภาพ และการดูแลตัวเอง

ผมเป็นคนอ่าน blog เยอะ แล้วก็ดูว่าคนอื่นเค้าพิมพ์เค้าพูดอะไรำกันอย่างไรผ่านสื้อ online เสียมาก แต่ว่าพวกนี้ก็ไม่ได้เชื่อถือได้เสียทีเดียวแต่ว่าภาพที่ได้ออกมาให้หัวจะเป็นภาพแบบรวมๆเสียมากกว่า ผมก็เลยเกิดคำถามขึ้นในใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ตอนนี้คนบนโลกเราสนใจเรื่องอะไรกันเป็นพิเศษ เพื่อว่าจะได้เอาไว้ต่อยอดความคิดออกมาเป็นสินค้าหรือบริการอะไรก็สุดแล้วแต่คนอ่านน่ะหละครับ รวมถึงผมด้วยที่เป็นคนคิดว่าจะเอาไปคิดต่ออะไรได้อีกหรือไม่

คนบนโลกตอนนี้กำลังคิดอะไรกัน อะไรเป็น Trend ในอีก 10 ปีนี้?

ประเด็นแรก : ผมว่าคนเราจะ "ดูแลสุขภาพกันมากขึ้น" ไมว่าจะเป็น fitness หรือว่า spa หรือแม้แต่เรื่องของสวยด้วยแพทย์และสินค้าหรือบริการใดๆที่มีแนวโน้มเพื่อการดูแลตัวเอง จะมีแนวโน้มว่าน่าจะขายได้ง่ายและขายดีขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ได้เป็นแค่ fashion เพราะว่าสื่อต่างๆก็ให้ความรู้ความเข้าใจว่าทำไมต้องดูแลตัวเอง หรือว่าภาครัฐก็มีการออกประ promote เพื่อให้คนหันมาดูแลตัวเอง ทั้งๆที่เหมือนว่ารัฐจำไม่ได้อะไรนอกจากจะไม่ต้องเสียเงินเพื่อดูแลคนป่วยน้อยลงไปเท่านั้น คนที่ได้หรือว่ามีแนวโน้มว่าจะได้ก็จะเป็นผู้ให้บริการต่างๆที่ผมได้เกริ่นเอาไว้ตะกี้ว่าพวกนี้ตะหากที่ได้สตางค์ไป และ ผมคิดว่าแนวโน้มนี้ไม่ได้น่าจะหายไปง่ายๆเพราะว่าเมื่อคนมีความรู้ความเข้าใจแล้วก็จะเข้าใจอยู่ตลอดไป หรือว่า มากไปกว่านั้นก็สอนคนอื่นต่อๆไปด้วยไม่ว่าจะเป็นลูกหลานเหลนโหลนก็สุดแล้วแต่ว่าจะมีพันธ์ต่อเนื่องผลิตกันได้มากน้อยแค่ไหน มีการบอกต่อะเพื่อนๆกันได้สะดวกว่าจะดูแลตัวเองอย่างไร ซึ่ง case นี้เรื่องสุขภาพและการดูแลตัวเอง มันแตกต่างกับเมื่อ 10 กว่าปีก่อนมากๆ เพราะว่าเมื่อก่อนจากการสัมพาทย์คนในวัยนั้นๆจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนเราต้องออกกำลังกาย ! คิดได้อีกแบบกันเลยว่า พวกออกกำลังกายเป็นพวกที่โง่ไม่รู้จะออกไปทำอะไรด้วย ซ้ำ คนที่มีร่างกายกำยำจะเป็นพวกที่ใช้แรงงาน แล้วก็แยกแยะคนระหว่างคนที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ดีกับคนที่ร่างกายหุ่นดีกำยำเหล่านั้น ออกจากกัน ไม่ได้มีคนคิดหรอกว่า คนที่ดูแลสุขภาพดี จะเป็นผู้ดีมีชาติตระกูลแต่ประการใดๆ คนที่ร่ำรวยดูดีจะดูจากองค์ประกอบภายนอกเสียมากกว่าไม่ว่าจะเป็นพุงที่พลุ้ยออกมา หรือว่าเป็นรถหรือว่าโทรศัพท์กระติกน้ำสมัยโบราณที่ใครต่อใครก็บอกว่า "เอาขึ้นมาที่โต้ะแล้วมันดูเท่ห์เสียนี่กระไร" (เครื่อง hotline น่ะครับหนักมากแล้วก็เป็นเครื่องที่ผมเห็นจนติดตาว่า ซื้อมาทำอะไร ? ขนาดผมเป็นเด็กอยู่ตอนนั้นผมยังคิดออกว่าจะพกโทรศัพท์ใหญ่แบบนี้ไปเพื่ออะไรแต่ว่าตอนนั้นก็ฉลาดอยู่เหมือนกันที่ว่าจะเป็นการใช้งานในรถเท่านั้น ไม่ได้ยกเข้ายกออกเสียเท่าไหร่ กลับมาประเด็นกันต่อดีกว่ามั้ยเรา .. ) แล้วตอนนี้เกิดอะไร ? ทำไมทุกคนไม่ว่าจะเป็นพนักงาน office หรือว่าคนที่ทำกิจการของตัวเองขี่ benz sport มาที่ fitness (ที่บ้านไม่ได้ห้อง fitness หรือยังไง) มาที่ fitness center แล้วก็ fitness center เปิดมารองรับคนเหล่านี้อย่างเป็นดอกเห็ดกระจายตัวอยู่ทั่วเมืองล่ะครับ ? เพราะว่าไม่ยากน่ะครับ มันมี demand คนที่ฉลาดหรือไม่ฉลาดมากนักเริ่มรู้แล้วน่ะครับว่า การออกำลังกายเป็นการทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ชีวิตตัวเองดูเป็นปกติไม่ได้ต้องพุงพลุ้ยเข้าออกโรงบาลกันเป็นว่าเล่น  นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นโรงบาลเองก็จะปะ ads ออกมามากมายกับการรักษาเชิงป้องกันไมได้ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพการ detox (ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าดีจริงหรือเปล่าแต่ว่าผมก็ไปดีมาแล้ว) หรือว่าการรักษาสิวผิวพรรณ รวมถึงการสวยด้วยแพทย์ สิ่งที่ผมรู้ยกตัวอย่างได้โรงบาลนึงก็คือ ยันฮี แต่ก่อนเป็นโรงบาลไมได้ใหญ่โตอะไรมากนัก เรียกว่าเล็กเลยก็ว่าได้แต่ว่าระยะเวลาไม่นานที่ผ่านมาที่ cash ไหลผ่านโรงบาลนี่น่าจะเยอะอยู่(จากสายตาคนนอกอย่างเราๆ) เพราะว่าเล่นขยายตึกกันเป็นว่าเล่น คนในองค์กรเยอะเหมือนกับมด รกหูรกตาไปหมด ! แล้วก็คนเข้าโรงบาลกันอย่างยั้วเยี้ยะราวกับว่า เรื่องการมาหาหมอไม่ได้เกิดจากการเจ็บป่วยอีกต่อไป แค่ว่าคุณไม่ป่วยคุณก็มาหาเรื่องทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อให้เป็นการป้องกันได้ หรือว่า เรื่องของการตกแต่งและสวยด้วยแพทย์ทั้งจากภายในและภายนอก

สรุป trend แรกนี้ก็คือ การที่คนดูแลตัวเองมากขึ้น มันจะไม่ได้สั้นๆและจบลงที่นี่หากว่าคุณมีปัญหาเพื่อการ support สินค้าหรือว่าบริการใดๆที่จะทำให้คนดูดีทั้งแบบ make sense และไม่ make sense (ผมปิ๊งเจเล่ไลท์ในหัวผมอีก เออ..เข้าข่ายๆ มีทาเก้น  ... โยเกริ์ต เกิดๆๆ ..รังนกขวด ... เยอะแยะไม่คิดและ ) สินค้าหรือบริการเหล่านี้จะทำตลาดและขายออกไปได้มากขึ้นเรื่อยๆหากไม่มีปัญหาเศรษฐกิจเข้ามารุม มันก็จะเป็นเรื่องแรกๆที่คนจะเลือกที่จะใช้จ่ายเป็นอันดับแรกๆเหมือนกันเพราะว่า "เค้าเหล่านั้นเห็นว่า ตัวเอง นั้นสำคัญ !"

จริงๆแล้วอยากพิมพ์ทีเดียวรวดคิดแหลทะลุไป 3 trends ที่ผมคิดอยู่ในหัวตอนนี้แต่ว่า มีคนบ่นมาเหมือนกันน่ะครับ บทความที่พิมพ์เนี่ยะมันยาวจัง .. ก็แหม .. ทำยังไงได้ยาวก็อ่านสรุปๆหน่อยแล้วกัน แต่ว่าถ้าหากว่ามีเวลาก็อ่านมันทะลุไปเลยก็ได้น่ะครับ สำหรับ Trend ที่เหลืออีกสองเรื่องบอกเอาไว้ก่อน(หรือเรียกว่าจดเอาไว้ก่อนก็ว่าได้น่ะครับ) มันก็คือ "สไตล์การใช้ชีวิตที่เป็นปัจจุบัน ที่ต้องการความสะดวกมากขึ้น" และ "ความคิดฝังหัวในเรื่องสิ่งแวดล้อม" ไว้มีแรงว่างๆแล้วจะมาพิมพ์โม้ต่อ  : entry นี้พิมพ์ทั้งหมด 20.56 นาที (ดูเวลาอยู่น่ะครับเพราะว่าอยากรู้ว่าตัวเองใช้เวลา blog 1 Entry ที่มันยาวๆแบบนี้กินเวลาแค่ไหน ก็ไม่นานเท่าไหร่เนาะสำหรับ 20.56 นาทีที่โม้ไป  .. เฮอะๆ)

update สภาพกล้ามเนื้อจาก “strengh trainning @ Fitness center”

หลังจากที่ออกแรงอยู่ fitness เป็นประจำประมาณวันเว้นวันเห็นจะได้ ไม่ได้ไปทุกวันเพราะว่ารู้มาว่าถ้าหากว่าจะเล่นให้มีแรงขึ้นเยอะหน่อยหรือว่า muscle define ให้เห็นกับชัดจะต้องเล่นให้กล้ามเนื้อมันเมื่อยล้าหน่อยแล้วก็หยุดไปเพื่อให้ร่างกายมันทำการซ่อมแซมแล้วก็ทำตัวให้แข็งแรงกกว่าเดิมเพื่อรองรับการฝึกในครั้งถัดไป

สามเดือนแล้วพอดีก็พบว่า "ใช้ได้" กล้ามเนื้อไม่เคยได้ถูกใช้ก็เอามาใช้ทำให้แข็งกว่าเดิม คนที่ทักไม่ได้มีแค่คนสองคนน่ะครับก็หลายคนเอาการอยู่ ที่เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคนเดิมที่ไม่ได้ทำการออกกำลังกายแบบ strengh training (คนเดียวกันนี้เมื่อสามเดือนก่อน) กับคนเดียวกันแต่ว่าออก (ตอนนี้)

รู้สึกได้อยู่เหมือนกันว่าอัตราการเผาผลาญพลังงานน่าจะเยอะขึ้นเพราะกินข้าวก็ไม่ได้น้อยกว่าเดิมแต่ว่าน้ำหนักตัวก็คงเดิม ไม่ได้คิดเรื่องกินเท่าไหร่นัก แต่ว่าจริงๆแล้วก็ต้องควบคุมด้วยถึงจะเป็นเรื่องดี เพราะหากว่าต้องการให้เห็นกล้ามเนื้อได้ชัดเจนแล้วนั้นจำเป็นเหลือเกินที่ชั้นไขมันก็ต้องอยู่ที่ % ไม่มากนัก แต่ก็อีกผมก็ไม่ได้อยากจะคุมการกินไปเสียทุกเรื่องหรอก แค่ว่าไปออกกำลังกายแบบนี้ประมาณวันเว้นวันมันก็เป็นงานเอาการอยู่เหมือนกันน่ะครับ 

ดูๆแล้วก็จะออกกำลังกายแบบนี้ต่อไปแต่ว่ามีแนวโน้มว่าจะเพิ่มน้ำหนักขึ้นเพราะตอนนี้อะไรๆก็ดูเหมือนเบาลง ทำท่าทำทางเดิมๆด้วย rep. เท่าเดิมก็เบาขึ้น (ยกเว้นบางครั้งที่เว้นไปเยอะวันมันก็รู้สึกได้เหมือนกะว่ามันกลับมาหนักเหมือนเดิมก็มี ก็แปลกดีน่ะครับ) ดูว่าอีกสามเดือนข้างหน้า (ก็แปลว่าจะมีการเล่นทั้งหมดครึ่งปีจะมีผลอะไรแตกต่างให้เห็นเหรอป่าวน่ะครับ)

กล้ามเนื้อ ณ เวลานี้ถ้าหากว่าแก้ผ้าออกมาดูก็จะเห็นได้ว่าส่วนที่เห็นชัดที่สุดก็น่าจะเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้องเพราะว่าแต่ก่อนไม่เห็นหรือว่าไม่มีเลยก็ว่าได้แต่ว่า ฟิตไปเรื่อยๆก็ไม่ได้ทรมานอะไรมากมายก็เห็นกล้ามเนื้อส่วนนี้ได้ดี ก็อย่างว่าน่ะหละก็ไม่ได้แก้ผ้าหรือว่าทำกิจกรรมอะไรที่แก้ผ้าแก้ผ่อนก็ไม่ได้จะไปอวดอะไรใครหรอกแค่ว่าดูว่าร่างกายคนเรา เราก็มีสิทธิที่จะควบคุมกำกับโครงสร้างและรูปร่างได้เองระดับที่ผมไม่เคยคิดว่าจะทำได้อยู่เหมือนกัน (ไม่เคยคิดจะทำให้กล้ามเนื้อมันเห็นชัดขึ้นแต่อย่างใดน่ะครับ เพราะว่าแต่ก่อนไม่มีเหตุผลว่าจะทำไปทำไมแต่ว่าตอนนี้มีแล้วน่ะครับ ไม่รู้ว่าเคยเล่าเหรอยังว่า "ทำไม")

note : อีกสามเดือนข้างหน้าจะ note แบบนี้ซ้ำเพื่อดู track การเปลี่ยนแปลงของตัวเองทางกายภาพน่ะครับ

Tuesday, September 15, 2009

แก้ปัญหาคิดให้ง่ายไว้ก่อนเลยเป็นดี ..

ถ้าหากว่าเจอปัญหาแล้ว และเจอต้นเหตุของปัญหาแล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปก็คือ "การแก้ปัญหา" ผมว่าผมมี concept อย่างหนึ่งสำหรับคนที่อยู่หน้างานจะต้องคิดเอาไว้จริงๆเลยก็คือ การแก้ปัญหาต้องเริมจากวิธีการที่คิดหรือทำได้ง่ายเอาไว้ก่อนเป็นหลัก แล้วถ้าหากว่ายังคิดง่ายๆไม่ออกก็ค่อยๆเพิ่มระดับความยากของการทำงาน โดยปกติแล้วถ้าหากว่าจะแก้ปัญหาคนที่คิดมักจะเริ่มคิดทางแก้ปัญหาออกมาได้ด้วยวิธีการอย่างสุ่มไร้รูปแบบ (ซึ่งเป็นเรื่องดี) แต่ว่าพอคิดออกมาแล้วต้องบอกคนอื่นต่อ หรือว่าทำการจดบันทึกเอาไว้ทันที เพื่อดำเนินการคิดคัดกรองต่อไปว่า "วิธีการคิดทีออกมานั้นมันทำง่ายเพียงพอแล้วหรือยัง" คำว่าง่ายในที่หมายความว่า มันเป็นไปได้ที่หน้างานที่จะทำงานกัน หรือว่ามันไม่ได้กระทบคนจำนวนมากๆที่จะต้องทำงานนี้ หรือเพื่อการปรับเปลี่ยนวิธีการดังกล่าว มันเป็นเพิ่มงานเข้าไปอีกหรือไม่ ถ้าหากว่าเพิ่มงานแล้วอาจจะต้องคิดหนักว่ามันคุ้มค่ากับปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าหากว่าดูแล้วมันเหมือนจะไม่โอเคเท่าไหร่ ให้ชลอความคิดนั่นเอาไว้ก่อน แต่ไม่ทิ้งน่ะครับเพราะว่ายังไงซะถ้าหากว่าคิดอะไรไม่ได้ออกแล้ว การที่กลับเลือกมาใช้วิธีการที่เริ่มยากนั้นก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จำเป็นต้องพึงกระทำเหมือนกัน (ก็มันคิดง่ายกว่านี้ไม่ออกแล้วนี่หน่า จะให้ทำไงได้ล่ะครับนั่น )

ผมยกตัวอย่างอย่างนี้ดีกว่า มีโรงงานสบู่บอกว่าเครื่องมันใส่สบู่แล้วระหว่างนั้นจะเกิดปัญหาว่าเครื่องมันบ้างไม่ใส่บ้างแล้วก็สบู่ก็ไหลไปบนสายพานไปเรื่อยๆทีละกล่องๆ โดยที่เราดูไม่ออกว่าข้างในมันมีสบู่อยู่เหรอป่าว วิธีที่คิดออกแบบธรรมดาๆทันทีก็คือว่า อืม ก็ในเมื่อไม่เห็นมันก็ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อทำให้เห็นมันซะแล้วก็ให้คนมามองดูที่เครื่องหรือว่าให้เครื่องอ่านภาพได้อัตโนมัติว่ามันมีสบู่เหรอ่ปาว อืม . ฟังดูมันเหมือนกับว่ามันเป็น technology สูงๆยังไงก็ไม่รู้แต่ว่าแน่นอนว่าของแค่นี้สำหรับโรงงานแล้วทางซื้อมาใช้ได้ไม่ยาก แค่เสนอมาคนที่มีอำนาจเซ็นผ่านก็ซื้อได้แล้วเท่านั้นเอง มันอาจจะราคาไม่แพงมากก็ได้ เพราะว่ามันเป็นการ garantee ได้ว่ากล่องจะต้องมีสบู่อยู่ด้านในอย่างแน่นอนเพราะว่ามันเห็นจะๆนี่หน่า แล้วมันก็คุ้มค่าด้วยเพราะว่าถ้าหากว่าส่งสินค้าไปแล้ว retailer ได้รับของไปแล้ว แล้วพบว่าไม่มีกล่อง เค้าก็จะมองว่า line การผลิตนี่ไม่ดีเอาเสียเลยน่ะครับ เอาเถอะครับ อย่างว่าหละ ต้องคิดต่อว่ามันมีวิธีการที่ง่ายกว่านี้เหรอป่าวน่ะครับ คิดๆ .. แล้วคนที่ line ผลิตก็คิดไม่ออก ก็แค่เอา "พัดลม" ตั้งไว้ปรับให้ได้ระดับไม่ต้องส่ายไปมาเปิดทิ้งเอาไว้ แล้ว ถ้าหากว่ากล่องเปล่าไหนผ่านมามันก็ปลิวตกไปกองไว้ในถุง .. ก็เท่านั้น .. อืม .. มันคิดได้ง่ายอย่างงั้น ..

หรือว่าผมเคยได้ยินเรื่องเล่าไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องเล่าปัญญาอ่อนหรือว่าเรื่องแต่งอะไรสักอย่างเชิงนี้อยู่อีกกรณีก็คือ องค์กรนาซ่าของอเมริกาเอาบินขึ้นไปในอวกาศแต่ว่าพบว่าปากกาเขียนไม่ติดเพราะว่าสภาพไร้น้ำหนักทำให้เขียนไม่ติด (ไม่รู้ว่ามันจริงเหรอป่าวน่ะครับ) ทำให้ต้องมาคิดออกแบบปากกาหรือรูปแบบปากกาเสียใหม่เพื่อให้มันเขียนได้ในอวกาศ อืม ... และแล้วก็ทำสำเร็จ เสียค่าโง่ไปเยอะน่าดู เพราะรัฐเซียก็บอกว่า จริงๆแล้วแค่เอาดินสอไปแทนปากกาเท่านั้นก็เขียนได้แล้ว ... ซะงั้น ...

อย่างน้อยที่สุดวัตถุประสงค์ที่ผมพิมพ์เนื้อความนี้เอาไว้ก็เพื่อเตือนใจว่า "มันมีวิธีการที่มันง่ายกว่านี้หรือไม่?" อย่าเพิ่งหยุดแค่ว่ามันคิดวิธีการแก้ปัญหาออกมาได้แล้ว แล้วก็ดีใจ หรือเศร้าใจก็แล้วแต่แล้วก็ด้นๆลงมือทำมันซะ ไม่ได้คิดทางเลือกอื่นๆที่เป็นไปได้แต่อย่างไร ก็อย่างว่าล่ะครับ อะไรที่คิดได้ก่อนไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเสมอไปหรอก แล้วเยอะครั้งมันก็ไม่ได้เป็นวิธีการที่ดีเอาซะด้วยซ้ำก็ได้

Friday, September 04, 2009

อันตรายจากการออกรถจากบ้านผ่านประตูใหญ่!

เมื่อวานนี้ผมว่าผมโชคดีอยู่อย่างที่รอดขีวิตจากเหตุการณ์ที่น่าจะนับได้ว่าเป็นอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดได้ทุกๆบ้านที่มีประตูใหญ่น่ะครับ เหตุเกิดตอนเย็น ตอนที่ผมจะเอารถออกมาจากบ้าน ผมเอารถออกจากโรงจอดรถแล้วก็ขับรถที่มาหน้าประตูใหญ่เพื่ออกจากบ้าน ปกติแล้วในรถผมจะมี remote เพื่อที่จะเอาไว้กดเปิดปิดประตูได้เองแต่ว่าวันนี้ไม่เหมือนทุกวันเพราะว่า remote ไม่ได้อยู่บนรถผมน่ะครับ ผมก็รู้ได้ทันทีว่า รถเพื่งจะมีการเอาไปซ่อมหรือทำสีหรือทำความสะอาดอะไรสักอย่างทำให้พ่อต้องเก็บของออกจากรถไปให้หมดเพื่อป้องกันการสูญหายของทรัพย์สิน ในเมื่อไม่มี remote แล้วสิ่งที่ทำได้ก็คือผมก็ต้องบีบแตรเพื่อให้ยามเดินมาเปิดให้เพราะยามทีบ้านก็มีปุ่มเอาให้กดเหมือนกัน แต่ผมกดไปสักพักแล้วยามเองก็ไม่ได้มาเปิดแต่อย่างใด ทำให้เริ่มออกอาการหงุดหงิดนิดหน่อยทื่ว่า ยามไม่ยอมทำหน้าที่เฝ้าประตูโดยเฉพาะช่วงเย็นๆเค้าควรจะอยู่ประจำประตูไว้เพราะอาจจะมีรถเข้าออกเป็นเวลาประมาณนี้อยู่แล้ว ผมก็รอๆ..แล้วก็รอ เอามือถือมาเล่นเกมส์รอแล้วก็บีบแตรรอไปเรื่อย (ผมว่าผมเป็นคนเย็นแล้วน่ะครับนั่น เย็นขนาดเอาเกมส์ออกมาเล่นกันเลยน่ะครับ) แต่ว่าคุณพี่ยามแกก็ไม่ได้มาเปิดสักที ที่นี้ผมก็คิดว่า อืม ..ออกไปตามน่าจะดีกว่ามั้ยเผื่อว่าจะหาเจอ (อันนี้ผมคิดผิดน่ะครับเพราะว่าถ้ายามไม่อยู่แล้วผมก็ไม่รู้หรอกว่าจะไปตามจากไหนมันแค่เป็นเหมือนกะอารมณ์พาไปมากกว่าว่า มันนานแล้วน่าจะไปตามซะหน่อยเท่านั้นเอง) ผมก็ปรับเกียร์เป็นเกียร์ว่างแล้วเปิดประตูออกจากรถโดยปักกุญแจรถเอาไว้อยู่ เดินออกมาจากรถได้สักพักใหญ่ๆแล้วก็ทำท่ามองหายาม (ไม่รู้ทำไปทำไมเหมือนกันไม่ maks sense เพราะว่าวิถีที่มองมันก็มองจากที่รถุก็ได้เหมือนกันไม่ได้มองเห็นอะไรได้มากกว่าไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่หรอกครับ) แต่ว่าพอมองกลับไปที่รถอีกทีก็พบว่า รถเคลื่อนตัวได้เองราวกลับมีใครมาปรับเป็นเกียร์เดินหน้าเพื่อให้รถเคลื่อนไปด้านหน้ายังไงอย่างงั้น ผมเห็นรถมันเคลื่อนที่อย่างนั้นใจก็ไม่ได้ตกใจอะไรหรอกครับเพราะว่าถือได้ว่าสติดีเป้นปกติดีเลย heart rate ไม่ได้ขึ้นแม้แต่น้อยแต่ว่าทันทีก็ออกแรงวิ่งเพื่อจะเข้าไปที่รถแล้วทำการหยุดรถเสียแต่ก็.. ไม่ทันรถพุ่ง(เบาๆ)กระแทกประตูศักดิ์สิทธิ์อันลอยซะดังโครมใหญ่ๆประตูด้านล่างกระเด็นยกตัวออกจากร่องที่เอาไว้ล็อคประตู แต่ตอนนั้นผมก็เปิดประตูแล้วเปิดเข้าไปที่รถได้แล้วก็ปรับเกียร์เป็น R เพื่อจะทำการถอยรถออกมาได้ในที่สุด แต่อย่างไรก็ดีการปะทะได้เกิดขึ้นไปแล้ว มีแรงกระแทกเข้ากระทำกับประตูใหญ่ไปแล้วครับ พอถอยรถออกมาได้เสร็จผมก็เดินไปที่หน้ารถเพื่อดูว่าสภาพรถเกิดอะไรหรือไม่ แต่ปรากฏว่า ไม่พบความเสียหายใดๆ อาจจะเป็นเพราะว่าจุดที่รถกระแทกประตูนั้นเป็นแผ่นป้ายทะเบียนด้านหน้าสุดของรถ แล้วผมก็หันไปดูประตู ก็พบว่าไม่มีรอยอะไรเหมือนกันแต่ว่าประตูแค่หลุดออกจากรางมันเท่านั้น และแล้วผมก็ถอยรถกลับไปที่บ้านเพื่อเอา remote เปิดประตูที่อยู่ที่บ้านเพื่อที่จะได้ออกอีกประตูนึงแทนระหว่างที่ยามกับพนักงานคนอื่นๆก็เดินมาดูที่ประตู (แหม ทีนี้ยามเพิ่งจะมานะดีมากเลย)

เหตุการณ์นี้พ่อผมเห็นโดยตลอดเพราะว่าเค้าก็นั่งอยู่หน้าบ้านน่ะหละไมได้ไปไหนไกลเท่าไหร่ เค้าก็ถามว่าผม "ทำไมไม่เข้าเกียร์ P หรือว่าดุงเบรกมือ" ผมก็ป่ระทับใจกับเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นแล้วก็บอกเค้าไปว่า "ก็เพราะว่าเข้าเกียร์ N อะไรไว้น่ะซิ (แล้วมันจะเข้า P ไปได้ยังไง)" ฟังดูอาจจะกวนแต่ว่าผมไม่รุ้ว่าจะตอบว่าอะไรมันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหมือนำกัน หน้าบ้านมันก็ดูเรียบๆดูไม่ออกว่าลาดเอียงแต่อย่างใดนี่หนา แต่ว่าพอกลับมาคิดจริงๆแล้ว เพิ่วจะนึกได้ว่า การออกแบบบริเวณทางที่จะออกจากบ้านจะลาดเสมอเพื่อให้น้ำไหลออกจาบ้านที่บ้านไปยังท่อระบายน้ำนอกบ้านทุกที่โดยมาก ถ้าหากว่าออกแบบเป็นอย่างอื่นแสดงว่าคนออกแบบพื้นที่ไม่ได้เรื่องน่ะครับ มันจะทำให้น้ำขังในบ้านได้ และทุกครั้งที่ผมเห็นฝนตกผมก็เห็นว่ามี้นำไหลออกจากบ้านมาอยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้จำหรอกครับว่า พื้นที่มันลาดเอียง มันเอียงน้อยมากแค่ทำให้น้ำมันไหลออกไปอย่างเป็นทิศทางเท่านั้น แต่ว่าตาเราจะไม่รู้สุก หรือว่าสมองเรารับรู้ความเอียงของพื้นที่เท่านั้นไม่ได้น่ะครับ

กลับมาคิดอีกครั้งวันนี้ระหว่างเดินทางไปโรงงาน ก็คิดได้อีกว่า เหตุการณ์แบบนี้เคยทำให้คนตายมาแล้วนักต่อนัก แล้วก็คิดไปต่อว่าอืมเราก็ไม่ได้เป็นผู้โลคร้ายรายนั้นแต่อย่างใด แค่ว่าโชคดีที่ไม่เกิดอะไรขึ้นกับเรา เพราะแท้ที่จริงแล้วถ้าขาดสติอาจจะโง่วิ่งไปขวางน่ารถ หรือว่าไม่ได้เข้าไปที่รถแล้วประตูล้มทับมาที่ตัวก้ได้ (แน่นอนว่าน่าจะทำให้พิการไปได้ เพราะว่าประตูพวกนี้น้ำหนักเยอะมาก) ก็เลยสุดท้ายยังไงซะถ้าเจอพี่ๆน้องๆก็จะบอกต่อๆเรื่องนี้เอาไว้ ไว้เป็นอุธาหรณ์ว่า ที่หน้าบ้านของคุณถ้าหากว่าจะออกไปเปิดประตูใหญ่บ้านแล้วล่ะก็รถห้ามปรับเกียร์เอาไว้ที่ N เป็นอันขาด ถ้าหากว่าจะออกจากรถจริงๆแล้วให้ปรับเกียร์เป็น P หรือว่าดึงเบรกมือขึ้นมาซะมันก็จะเป็นลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ผมว่านี้ได้ออกไปอย่างปลิดทิ้ง เนื้อความนี้หวังว่าคนที่ได้อ่านอาจจะเอาไปฉุกคิด เตือนคนอื่นๆต่อไปได้น่ะครับยังไงซะถ้าหากว่ามีคนอื่นอ่านแล้วช่วยลดการเกิดเหตุแบบนี้ได้สักครั้งก็ถือว่าบทความนี้ได้ทำหน้าที่ของมันแล้วน่ะครับผม ..

Tuesday, September 01, 2009

หมีแพนด้าของฝากจากเชียงใหม่ครับ ^_^

ไปเที่ยวเชียงใหม่ยังไม่ได้ update รูปบรรยากาศมาให้ดูน่ะครับ แต่ว่าเอาของที่ซื้อมาเพียงชิ้นเดียวให้ดูดีกว่าน่ะครับนั่นก็คือ  "หมีแพนด้าสั่นหัวดุ้กดิ้ก" ปกติแล้วผมไม่ค่อยได้ซื้อของอะไร(เลย) แต่ว่าเห็นหมีนี่แล้วก็ดูน่ารักดีก็เลยซื้อมาซะเลยเอามาตั้งไว้ที่บ้านเวลาเล่นคอมจะได้เห็นมัน อืม .. สบายใจดี เอ้อ .. มันก็ happy กันง่ายๆแค่นี้น่ะหละครับ คนเราเนาะ ^_^

Saturday, August 29, 2009

หลากวิธีการทำให้คนเราไม่คิดอะไรสร้างสรรค์ หรือ innovative ออกมา

คนที่เป็น head ขององค์กรหรือว่าในระบบย่อยของตนเอง หากว่างานๆนั้นต้องการแนวคิดแปลกใหม่ และความคิดสร้างสรรค์แล้วล่ะก็ ( ผมก็คิดไม่ออกหรอกว่างานอะไรที่ไม่ต้องการแนวคิดสร้างสรรค์ เพราะว่ารู้ๆอยู่ว่าเดี๋ยวนี้องค์กรอยากได้ idea สดใหม่ด้วยกันทั้งนั้นเพียงแค่ว่าจะรับได้เหรอป่าวเท่านั้นเอง) มีวิธีการหลากหลายที่จะทำให้ตัวคุณเอง เพื่อนร่วมงาน และลูกน้องทั้งที่อยู่ภายใต้อำนาจตรงหรือเหลื่อมๆออกไปบ้าง "หยุดที่จะคิดอะไรสร้างสรรค์"

1. วิจารณ์มันซะให้เสีย : วิธีนี้ทำให้คนหยุดคิดได้ไม่ยากเลย เพราะว่าคิดไปก็เปล่าประโยชน์ มองเห็นความคิดคนอื่นไม่มีค่าเอาเสียเลยแล้วก็ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมัน ในทางตรงกันข้ามก็คือ คิดซะว่าความคิดตัวเองเป็นใหญ่ คนอื่นๆก็ต้องคิดเป็นทิศทางเดียวกันโดยวิจารณ์ความคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วการวิเคราะห์วิจารณ์พึงมีบ้างไม่มากเกินไป แต่ว่าถ้าหากว่าคุณเป็นหัวหน้าด้วยแล้วล่ะก็อย่าไปวิจารณ์ความคิดจะดีกว่าเพราะอย่างไรเสียคุณต้องก็ตัดสินใจอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นแล้วยอมรับฟังความคิดเห็นของลูกน้องให้เยอะและ support แนวคิดของเค้าเหล่านั้นให้ได้ลองให้ได้ทำ อย่าแค่ไปตีกรอบเค้าซะแล้วก็เลิกรากันไป อีกหน่อยเค้าก็จะไม่ต้องคิดอะไรให้คุณอีกต่อไป เมื่อคุณจำเป็นต้องการให้เค้าเหล่านั้นคิดอะไรออกไป เค้าก็จะไม่คิดแล้วก็จะทำให้ตัวคุณเองน่ะหละ คิดต่อยอดไปว่า .. ชิเจ้าพวกนี้ไม่รู้จักคิดไม่สร้างสรรค์แนวคิดอะไรมาออกมาให้เกิดประโยชน์มั่งเลย โดยไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวคุณน่ะหละเป็นคนทำให้เค้าทำแบบนั้น (รู้ตัวกันมั่งเหรอป่าวน่ะ เอ้อ ..)

2. ไม่เคยเลยที่จะระดมความคิด : การ Brainstorms เป็นเรื่องปกติสำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ นั่นก็แปลว่า ต้องระดมความคิดเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องตื่นเต้นหรือคิดว่ามันหรูหราอะไร เพราะเราอยากจะสร้างบรรยากาศให้ได้มีคนคิดออกมาเยอะๆแบบไม่ได้สนหรอกว่ามันจะไม่ดียังไง เราวิเคราะห์ต่อได้ภายหลัง แต่ว่าการ Brainstorm นั้นเราต้อ่งการ idea ที่มากทิศทางมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากหลากมุมมอง เลิกมองว่าคนอื่นผิดซะที แล้วจะทำให้คนอื่นๆเค้าเปร่งความคิดออกมามากขึ้นได้

3. โม้ปัญหาแนวคิดให้เป็นเรื่องใหญ่โต : แน่นอนว่าถ้าหากว่ามันฟังดูใหญ่โตแล้ว แล้วถ้าเป็นปัญหาใครล่ะจะรับผิดชอบ คนออกความคิดน่ะซิ หลายๆคนมักจะคิดอย่างงั้นเพราะฉะนั้นแล้วถ้าหากว่าคุณเป็นหัวคนแล้วล่ะครับ อย่าไปโม้เพ้อให้เรื่องที่ต้องการความสร้างสรรค์เป็นเรื่องที่ใหญ่โตเกินตัว มันไม่มีอะไรดีทั้งนี้ เช่น เรามาคิดกันซิว่าเราจะกำหนดทิศทางบริษัทกันยังไงดี แล้วถ้าหากว่าลูกน้องฟังแบบนี้แล้วความคิดเค้าโดนเอาใช้งานแล้วเกิดว่าไม่ work ล่ะทำยังไงดีล่ะเนี่ยะ แล้วถ้าหากว่ามัน work นี่เค้าจะได้ผลงานเยอะเลยเหรอ ? (ก็ไม่ถ้าหากว่าคนที่เป็นหัวที่ชอบเอาความคิดคนอื่นเป็นความคิดตัวเองอยู่แล้ว แล้วลูกน้องรู้หรอกว่าหัวหน้าเค้าเป็นคนนิสัยอย่างนี้) แน่นอนว่า ทำให้ปิดความคิดสร้างสรรค์ไปได้เลย

4. เน้นย้ำการทำงานเชิงประสิทธิภาพ ไม่ใช่ที่การสร้างสรรค์ : เราต้องทำให้ได้เยอะขึ้นประสิทธิภาพงานดีกว่าเดิม โดยใช้วิธีการเดิมๆนี่น่ะหละ พูดอย่างนี้เป็นการจำกัดแนวคิดสำหรับสิ่งใหม่ๆไปแล้ว เพราะเราคิดว่า business model หรือว่าโครงสร้างในการทำงานของเรานั้นมันดีอยู่แล้วไม่ต้องคิดอะไรใหม่ แล้วจะคิดอะไรใหม่อีกล่ะ

5. ทำให้เยอะเข้าไว้อย่ามาคิดอะไรให้เสียเวลา : เป็นแนวคิดที่เขื่อว่าการทำงานด้วยเวลาที่มากขึ้นแปลว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น หรือว่ามันจะแก้ปัญหาได้ แนวคิดนี้สนับสนุนการคิดและการทำงานแบบเดิมๆเหมือนกับข้อที่แล้ว แค่ว่าทำให้มันเยอะขึ้นเท่านั้นเอง ก็อีก ... มันไม่มีอะไรแปลกใหม่ออกมาได้หรอก  ยกเว้นงานๆนั้นคือ งานที่คิดอะไรใหม่ๆออกมาเป็นประจำน่ะครับ

6. ทุกอย่างต้องมีแผนการณ์แล้วทำตามนั้นซะ : แผนการณ์นั้นแท้ที่จริงแล้วมีได้ ผมได้อ่านบทความว่าแผนการณ์เราสามารถที่จะกำหนดให้ละเอียดได้มากเท่าที่จะมากได้ก็ทำได้ แต่ว่ามันจะกินเวลาแล้ว แท้ที่จริงแล้วเราทำตามนั้นทั้งหมดไม่ได้หรอก มันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็น trend หรือ fashionใหม่ๆ หรือทิศทางตลาดใหม่ๆที่เกิดขึ้น การทำไปแล้วรู้ข้อมูลมากขึ้น

7. ลงโทษคนผิดซะทางกายวาจาจิตใจได้ด้วยเนี่ยะดีเลย ตัวการนัก : การให้รางวัลแก่การทำดี แต่ว่ามีการทำโทษเมื่อเกิดความผิดพลาดจะเป็นการกำหนดว่าถ้าหากว่าแผนการหรือแนวคิดออกมาไม่ได้ดี หรือให้ผลออกมาไม่ดีเท่าไหร่ คนคิดจะต้องรับผิด(ชอบไม่ได้) เป็นการตัดกำลังคิดของคนในองค์กรอย่างรุนแรง ยอมรับเถอะว่าอะไรมันก็ต้องผิดพลาดกันได้แต่ว่าต้องรู้ตัวให้เราเท่านั้นเองและจะต้องไม่ประนามคิดใครคนๆนั้นเพื่อให้เค้าเหล่านั้นที่เสนอความคิดออกมาได้ยังคงคิดต่อไปในที่สุด

8. อย่าไปมองคนอื่นเค้าเพราะว่าสิ่งที่เราทำมันดีแล้ว : แนวคิดนี้เหมือนกับมุมมองที่ว่า คนอื่นทำได้ แต่ว่าเราก็อาจจะทำไม่ได้หรอกเพราะว่า business มันไม่เหมือนกัน แต่ว่าจริงๆแล้วเราต้องคิดให้เยอะกว่านั้นความจะใช้ความคิดของคนอื่นๆ หรือ แนวคิดขององค์กรแบบอื่นจะเอาปรับใช้ได้อย่างไรมากกว่า เพราะฉะนั้นแล้วจงดูคนอื่นภายนอกด้วยว่าเค้าทำอะไรกัน ?

9. โปรโมตคนที่คิดแบบเดียวกัน : ทำแบบนี้ทุกคนจะคิดเหมือนกัน ทำอะไรไม่ต่างกัน ไม่ต้องการแนวคิดอะไรที่แหวกไป เพราะว่า การที่คนอื่นคิดไม่เหมือนกันเป็นการเหนื่อยตัวเองต้องมาทำให้ตัวเองคิดเยอะขึ้น ทั้งๆที่จริงๆแล้วเป็นเรื่องดี แต่แค่ว่าไม่อยากเหนื่อยเท่านั้น หรือว่า จะทำอะไรมันกินเวลามากกว่าเดิม มันก็ถูกอยู่น่ะครับ แต่ว่าคุณแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณคิดถูกอยู่คนเดียว ?

10. อย่าเสียเวลาส่งคนไปเรียนรู้อะไรเลยจะดีกว่า : เราคิดว่า อืม .. .เราจ้างคนมาเพื่อเรียนรู้ความคิดเรา อย่าคิดแบบอื่นเลย มันจะมาคิดแทนเราไปได้อย่างไร เราเนียะหละเก่งที่สุดแล้ว แบบนี้จะได้เจริญกันน่ะครับ ใครๆก็รู้ว่าการที่ส่งคนเพื่อไปเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมเป็นเรื่องดี แต่ว่าไหงพออยู่สภาพขององค์กรขึ้นมา การส่งคนกลับเป็นเรื่องเลวร้ายเพราะว่าจะต้องไปเจอพวกเดียวกันอาจจะโดยจูงตัว ถามคำถามภายใน อย่าส่งมันออกไปเรียนจะดีกว่ามั้ย มันไม่ได้รู้อะไรขึ้นมามากมายหรอกกะแค่ไปเรียนข้างนอกปะๆปายๆเนียะ ถ้ากลัวโดนดึงคนแล้วจริงๆเดี๋ยวนี้มีการ in house training ได้ก็ส่งเสริมที่จะให้เรียนน่าจะดีกว่าน่ะครับ มันไม่ได้เสียเงินเสียเวลาเรียนอะไรมากมายหรอก ไม่แน่ว่าความคิดความรู้ใหม่ๆอาจจะทำให้คนๆนั้นเปิดโลกทัศน์ขึ้นบ้างก็ได้ ไม่มากก็น้อย

Friday, August 28, 2009

แหมกิน Sushi แค่นี้จะเอาอะไรกันมากนักหนาเนียะ ?

ดูเหมือนกะว่า การกิน Sushi จะมีพิธีรีตองมากเกินไปหน่อย จนน่ากลัวเลยเหรอป่าวน่ะครับ ยังไงซะกินที่บ้านเราก็ไม่ต้องถึงขั้นนี้น่ะครับผม เฮอะๆ .. ขำมากครับ

Wednesday, August 19, 2009

slow motion thinking : การคิดเพื่อให้มุมมองอื่นๆมากกว่าผู้ส่งสารต้องการที่ส่ง

หลายต่อหลายครั้งผมได้มีโอกาสอธิบายเรื่องที่ดูเหมือนกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดแต่ไม่ได้มีคนสังเกตสิ่งเหล่านั้นออกมาแล้วเล่าถอดความเหตุและผลเพื่อให้ความกระจ่างกับสิ่งธรรมดานั้น การอธิบายสิ่งที่ดูเหมือนปกตินั้นออกมาได้ ถือได้ว่าต้องอาศัยความช่างสังเกตและการคิดผูกเชื่อมเรื่องเข้าด้วยกัน กับประสบการณ์และจินตนาการ หนังสือเยอะเล่มก็เล่าเรื่องประเภทนี้ และนึกคิดเยอะคนก็สำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ออกมาเป็นตัวหนังสือเช่นเดียวกันเพื่อให้คนที่ชอบอ่านได้คิดตามแบบ slow motion ที่ผมว่ามันเป็น slow motion ก็เพราะว่า ตอนที่อ่านจะอ่านช้าหรือจะอ่านเร็วก็ได้ อีกอย่างคนเขียนก็เขียนให้ยืดให้ยาดโดยมีประเด็นสาระสำคัญเพียงประเด็นเดียวก็ได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องดีเพราะจะทำให้คนที่ยังคิดตามไม่ทันเกิดภาพคำนึงคิด ฟังเหตุและผลติดตามเนื้อหาเพื่อกลั่นสาระสำคัญออกมาในหัวของคนอ่านได้ในท้ายที่สุด สังเกตได้ว่าไม่กี่ประโยคล่าสุดที่คุณๆได้อ่านผ่านไปก็เป็นการบรรยายภาพการถ่ายโอนความคิดจากคนเขียนผ่าน text ผ่านตาไหนผ่านการประมวลเข้าหัวของคนอย่าง slow motion อีกนั่นเองและผมก็ไม่ได้พิมพ์ครั้งเดียวซะด้วย ถ้าหากว่าอ่านดีๆผมพิมพ์เล่าไปแล้วสองครั้งว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างการสื่อสารของคนเขียนและคนอ่าน

ดังนั้นแล้วทักษะสำหรับการสังเกต การเล่าเรื่องอธิบายสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเราต้องเริ่มจากการคิดและเขียนเล่าออกมาได้แบบ slow motion เพื่อให้คนอ่าน get idea เราได้ไม่ยาก สิ่งเหล่านี้สามารถที่จะฝึกกันได้โดยการเริ่มสังเกตความคิดของตนเองแล้วเขียนมันออกมาเหมือนกับที่ผมสังเกตความคิดในประเด็นนี้แล้วร่ายมันออกมาเป็น text ที่คุณๆได้เห็นอยู่นี้

นอกจากนี้เมือเรามีทักษะในการคิดแบบ slow motion แล้วเราจะได้รับประโยชน์ในหลายมิติด้วยกัน เช่น ความสามารถในการสังเกตเห็นในสิ่งที่คนอื่นๆมองไม่เห็น ไม่เคยคิดแบบนั้นมากขึ้น คุณจะเริ่มมีความคิดที่คุณไม่คิดว่าตัวคุณเป็นคนคิด เหมือนกับว่า คนอื่นที่อยู่ในหัวคุณอีกสองสามคนคิดออกมา คุณจะได้ความคิดแนวคิดใหม่ๆที่ออกมาจากความคิดใต้สำนึกแปลกๆที่เป็นมุมมองที่แม้กระทั่งตัวคุณเองปกติคุณจะไม่ได้คิดอย่างงั้นอยู่แล้วหรือว่าถ้าหากว่าคุณคิดกับประเด็นอะไรมากๆคุณจะไม่คิดออกมาอย่างงั้นแน่ๆ เรียกง่ายๆก็คือ ถ้าหากว่าคุณเจอโจทย์ใดๆในโลก ความคิดต่อโจทย์นั้นของคุณจะมีได้มากกว่า 1 มุมมอง มันเป็นมุมมองอิ่นๆที่คุณจะไม่ได้ออกแรงคิดมากมายอะไรนัก มันเหมือนกับว่ามันออกมาได้เองจากคนอื่นๆที่อยู่ในความคิดคุณ แต่ขั้นตอนถัดไปเมื่อคุณคิดได้อย่างนั้นแล้ว การอธิบายออกมาด้วยภาษาแม่ที่คุณมีก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากคุณคิดแล้วคุณไม่สามารถที่จะเล่าออกมาเป็นฉากๆหรือทำการอุปมาให้คนอื่นเห็นภาพได้แล้ว คุณก็จะรู้เรื่องนั้นอยู่คนเดียวด้วยภาพในหัวของคุณทีไม่คมมากนัก ความคิดที่ตัวคุณจากมุมมองอื่นๆจะให้ภาพที่ไม่ชัดเจนมากนักจนกว่าคุณจะเล่าให้คนอื่นฟังออกมาได้ (หากเป็นเรื่องที่ไม่มีความซับซ้อนจนเกินไป) เมื่อคุณเล่าออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นพูดหรือการเขียน (สำหรับผมแล้วแนะนำการเขียนเพราะเป็นการ capture ที่เห็นภาพความคิดได้ชัดที่สุด เพราะตอนที่เรียบเรียง text ออกมาครั้งมันกลั่นความคิดแบบถยอยปล่อยออกมาทำให้ไม่เกิดความสับสนมากนัก ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียนสุดท้ายก็แล้วแต่คนอยู่ดีว่าเค้ามีการฝึกมากไปทางไหนก็จะมีความชำนาญในด้านนั้นมากกว่าอย่างแน่นอน)

ประโยชน์อื่นๆที่คุณจะได้รับจากการฝึกคิดแบบ slow motion นี้ได้ก็คือ คุณสามารถตีความเนื้อความที่คนอื่นสื่อสารออกมา ไม่ว่าจะการสื่อสารด้วยการพูด หรือ การเขียน แล้วคุณสามารถที่จะถอดความไปในมิติอื่นๆ นอกเนื้อไปจากเนื้อความนั้นได้อีกด้วย เรียกว่า "การต่อยอดความคิด" จริงๆแล้วไม่ได้เป็นยอดอะไรหรอกเพราะถ้าหากว่าเป็นยอดจริงๆมันมีทิศทางเดียว แต่ว่ายอดที่อธิบายอยู่นี้เป็นยอดเหมือนยอดหนามที่มันมีเยอะยอดมากๆแล้วแต่ว่ามุมมองอื่นที่คุณถอดความออกจากเนื้อความนั้นจะเอาไปคิดได้มากน้อยแค่ไหน การคิดต่อยอดแบบนี้หลายคนคงคิดว่าน่าจะเป็นการคิดแบบว่า .. เมื่อเราได้รับสารสื่อนั้นแล้วเราจะปรับใช้กับตัวเราได้อย่างไร ? ผมบอกให้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น มันไม่ได้จำเป็นต้องปรับใช้กับตัวเรา หรือว่าจะหาประโยชน์อะไรกับเนื้อความนั้นได้หรือไม่ มันไม่จำเป็นต้องคิดเข้าข้างตัวเองอย่างงั้นตลอดเวลาเพราะการคิดต่อยอดนั้นต้องคดิให้เยอะแฉกมากที่สุด ไม่ได้หวังผลแต่ตัวเรา มันเป็นการตัด scope ความคิดเกินไปทำให้เราอาจจะไม่เห็นมุมมองจากมิติแนวคิดอื่นๆที่ตัวเราจะโพร่งออกมาได้ ง่ายๆคืออย่าคิดว่าจะเอาประโยชน์อะไรจากเนื้อความนั้น ณ เวลานั้น ให้คิดให้เยอะมุมมองที่สุดก่อนแล้วอยากคัดกรองเอาอะไรเข้าตัวทีหลังก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว ช้ากว่าแค่เสี้ยวความคิดเดียวเองมันก็ไม่ได้นานมากเท่าไหร่หรอกว่าเหรอป่าวล่ะครับ

การคิดต่อยอดหรือถอดความในมุมอื่นๆได้นั้นจะทำให้คุณเก็บประโยชน์จากประโยคคำถามหรือคำพูดของคนอื่นได้เพิ่มเติมแม้ผู้พูดหรือผู้เขียนนั้นจะไม่ได้ต้องการที่จะสื่อสารแบบนั้นก็ตาม ทั้งหมดนี้เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นและคุณคิดออกมาได้จากมุมอื่นๆนั้น อาจจะเป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่เปลี่ยนชีวิตคุณเลยก็ได้มันไม่แน่หรอกครับ

Thursday, August 13, 2009

ท่านใดลุกตอนนี้จะได้ชาเขียวกล่องกลับไปกินบ้าน ?

อ้างอิงเนื้อความของคุณต้า เรื่อง "ลุกก่อน 20 นาที รับฟรีชาเขียว 1 กล่อง”

การประกาศให้คนออกจากร้าน buffet แล้วจะได้ของอะไรสักอย่างนั้นไม่รู้ว่าคนคิดคิดออกมาได้ลึกมากแค่ไหนแล้วไม่รู้ว่ามีการวิเคราะห์หรือคาดหวังผลออกมาอย่างไรบ้าง แต่ว่าจะดูราวกับว่าวิธีการนี้จะเป็นวิธีทีทำให้คนออกมาร้านได้เร็วขึ้นแบบมีแรงจูงใจ แต่มองไปมองมาวิธีการนี้ไม่น่าจะได้ผลมากมายนักเพราะว่าที่ร้านก็มีน้ำประเภทเดียวกันนี้ให้ดื่มอยู่แล้ว กะแค่ร้อยกว่า cc แก้วเดียวเอากลับบ้าน .เอ ไม่รู้ว่าคนอื่นเค้าจะคิดว่าอยากได้เหรอป่าว แต่ว่าผมเคยอยู่ในสถานการณ์นี้ คือ คนมันเยอะ คนรอก็เยอะเค้าก็จะประกาศว่าถ้าหากว่าออก ณ เวลานี้จะมีของสมนาคุณ (ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร แต่ว่าโดย sense ก็จะรู้อยู่หรอกว่ามันต้องไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่ น่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ชาเขียวอย่างหนีไม่พ้นเพราะต้นทุนนั้นต่ำเหมือนขยะ) แต่ผมลองสังเกตคนดูไม่ได้มีคนใส่ใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เรียกว่า จะบอกไปแบบนี้ไม่ได้ทำให้คนที่อยากจะนั่งต่อลุกออกไปได้ แต่ะจทำให้คนที่กำลังจะออกลุกตัดสินใจว่าเวลานี้เป็นเวลาออกที่ดีกว่า การที่เดินออกไปตัวเปล่าเท่านั้นเอง

มูลค่าการนั่งกินที่ร้านแบบ buffet ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะนั่งนานแค่ไหนแต่ว่ามันขึ้นอยู่กับว่ามันอิ่มแล้วหรือยังมากกว่า แค่ 1.20 hrs เวลาเท่านี้คิดว่าร่างกายไม่สามารถที่จะทำให้กลับมาหิวใหม่ได้แน่นอนดังนั้นแล้วถ้าหากว่ากินแล้วอิ่ม ณ เวลา 30 นาทีแรก เวลาที่เหลือจะไม่มีคุณค่าใดๆสำหรับคนๆนั้นอีกต่อไป (กรณีที่มาคนเดียวน่ะครับ) สำหรับคนที่ยังไม่อิ่มและคิดที่จะกินต่อ จะไม่มี effect ใดๆจากประกาศที่ว่า เพราะรู้อยู่แล้วว่าการได้กินต่อนั้นย่อมคุ้มค่ากว่าการเดินออกไปเป็นแน่ (ถ้าหากว่ายิ่งคิดออกว่าของที่จะได้เป็นแค่น้ำชาทีมีให้กดอย่างไม่อั้นที่ร้านแล้ว ยิ่งเลิกคิดไปได้เลย)

โดยสรุปแล้วคนที่จะลุกออกไปน่าจะเป็นพวกที่อิ่มแล้ว แล้วรอให้คนอื่นอิ่มพร้อมๆกันเท่านั้น หรือว่ากำลังจะออกอยู่แล้วแต่ว่ายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะออก ผมเดาเอาว่าถ้าหากว่าไม่ได้มีการศึกษาถึงเวลาเฉลี่ยทางสถิติว่าคนทำอะไร ณ เวลาไหน อิ่มด้วยค่าเฉลี่ยเวลาเท่าไหร่ แล้วล่ะก็ .. ผมคงเดาเอาก่อนว่าจะทำให้คนที่คิดจะออกแล้วออกได้เร็วกว่าเดิมไม่น่าจะเกิน 10 นาที (เพราะคนอิ่มกันทั้งโต้ะแล้วก็น่าจะรอเพื่อออกจากร้านไม่นานมากเท่าไหร่นัก เพื่อจะนั่งคุยกันหลังอิ่มเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะนั่งต่อไปเพื่อให้ได้นั่งครบเวลา หรือ ถ้าหากว่ามีของมีคุณค่ามากกว่าน้ำชาแล้วคนเหล่านี้รู้เช่นถ้าหากว่าเป็น บัตรกำนันมูลค่า 300 บาทเพื่อมากินครั้งหน้า แนวโน้มคือ เวลาที่ busy ที่สุดและคนเยอะรอเยอะที่สุด ก็จะรอเพื่อให้มีประกาศแบบนี้) เพราะฉะนั้นแล้วมูลค่านั้น คนจะเดาออกได้ว่ามันจะต้องไม่มากเกินไปแน่นอน (แม้ว่าเค้าเหล่านั้นจะไม่ได้คิดวนเวียนลึกล้ำประมาณนี้แต่ว่ามันคิดออกมาได้ด้วยจิตใต้สำนึกไม่ยากอย่างไม่จำเป็นต้องมีระบบคิดเป็นเหตุผลให้สลับซับซ้อนอะไร)  อย่างไรก็ตามการเอาชาเขียวมาล่อแน่นอนว่ามันจะดีกว่าการที่เดินออกไปตัวเปล่าครับ ต้นทุนต่ำกว่าการที่จะเปิดโอกาสให้คนเข้ามาได้เร็วขึ้นอีก 10 นาทีในโต้ะที่กินอิ่มแล้ว ยังไง้ๆก็คุ้มค่าที่จะประกาศออกไปอย่างนั้นอยู่ แต่ไม่แนะนำให้เพิ่มมูลค่าของที่ให้อย่างเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนมากินในร้านได้ในท้ายที่สุด

Wednesday, August 12, 2009

Log Home : ปิ้งๆย่างๆกะชาบูอยู่โต้ะเดียวกัน

ร้านนี้เพิ่งจะได้เคยไปกินเป็นครั้งแรกเพราะว่ามันอยู่ไกลประมาณ ทองหล่อสิบแปดเห็นจะได้ (ถ้าหากว่าอยากรู้ตำแหน่งแน่ชัดแล้วไปที่ Google Map เองน่ะครับ) ไปถึงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร บอกเค้าว่าเอาบุฟเฟ่ห์ครับ เท่านั้นเค้าก็จัดการให้ หน้าตาของร้านจะบรรยากาศดีเสียหน่อย คนก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรมากมาย ก็เพราะว่ามันอาจจะเป็นวันอาทิตย์ที่คนไม่อยากไปไหนมาไหนก็ได้น่ะครับ ผมเองก็ไม่ค่อยอยากไปไหนเหมือนกันแต่ว่าอยู่บ้านมันก็เหมือนจะน่าเบื่อไปนิสครับ

ร้านนี้ผมว่าอาหารใช้ได้ เนื้อทำออกมาได้ดีโอเค แต่ว่าก็ต้องรู้จักเลือกที่จะสั่งเหมือนกัน เนื้อที่ผมสั่งเป็นเนื้อสไลสำหรับ shabuๆเค้าก็ให้มาจานใหญ่ๆจานนึง ปริมาณเนื้อไม่มากนักแต่ว่าก็กินคนเดียวได้หมดกำลังดี แต่ว่าส่วนอื่นๆที่ผมว่าอร่อยกว่าเนื้อชาบูก็จะเป็นเนื้อที่เอาไว้ย่างนั่นเองครับ ตอนนั้นผมจำได้ว่าสั่งแค่สองอย่างก็คือ เนื้อคาลบี้ จะเป็นเนื้อส่วนที่ติดมันแต่ว่ามันแยกชั้นกัน (เขี่ยมันออกได้ไม่ยากหลังจากปิ้งให้สุกแล้ว) แล้วก็อีกอย่างก็จะเป็นเนื้อลายหินอ่อน ซึ่งเนื้อแบบนี้จะเอามันออกมาไม่ได้เลยเพราะว่ามันแทรกเข้าไปหมดทุกอนูเนื้อ แต่ว่าแย่หน่อยที่มันทำให้เหนียวเกินกว่าจะกินได้ผมก็เลยซัดและสั่งเอาแค่เนื้อคาลบี้กันน่ะครับ นอกนั้นรายการอาหารอื่นๆผมก็สั่งมาเหมือนกันถือว่า คุณภาพอาหารอยู่ในระดับดีใช้ได้ แต่ว่าแย่หน่อยที่ว่ากินไปกินมาค่าน้ำไม่รวม แล้วก็กินไปเฉลี่ยหัวละสี่ร้อยกว่าๆเห็นจะได้ ผมถือว่าอยู่ในระดับแพงกลางๆแล้วน่ะครับ จะไม่คุ้มค่าเลยหากว่ากินไม่เยอะเหมือนกันผม (วันนั้นผมกินไม่เยอะน่ะครับเน้นกินบรรยากาศแทนครับผม) ยังไงก็ลองกินได้ติดใจคุ้มค่าหรืไม่นั้นแล้วแต่บุคคลไปครับ อ้อ ลืมบอกไปอย่างสำหรับคนที่อยากกิน shabu ๆ เน้นว่าไปกินอากิโยชิจะคุ้มค่ามากกว่าน่ะครับเพราะว่าที่นี่น้ำจิ้มจะเหมือนกะไดโดม่อนเป็นการ  save cost น้ำจิ้มแบบหนึ่งไว้น่ะครับเพราะว่าน้ำจิ้มงาถือได้ว่าเป็นน้ำจิ้มที่มีราคาแล้ว หากินได้ยาก หากว่าจะทำให้อร่อยในประเทศไทยครับ อาชิโยชิยังถือได้ว่าเป็นที่หนึ่งอยู่ ณ เวลานี้จบกว่าจะผมหาที่กินที่ได้อารมณ์มากกว่านั้นเจอครับผม

IMAGE_300 IMAGE_302 IMAGE_304

IMAGE_299 IMAGE_301 IMAGE_303