Wednesday, January 28, 2009

เดินงานเยาวราชประจำปี 2009 เคยไปแล้วครั้งนี้เป็นครั้งที่สองน่ะครับ

งานเยาวราชปีนี้ ที่บ้านก็นึกคึกที่จะไปแจมกะเค้าอีกเหมือนเดิม แต่ว่าผมเคยไปกะที่บ้านจำได้ก็แค่ครั้งเดียว (ไม่รวมครั้งนี้น่ะครับ) งานจัดออกมาเน้นที่ของกินและการขายของแบบจีนๆ ของกิ้กๆก้อกๆ แบบจีนๆน่ะครับ แต่ว่าสำหรับของกินนี่ก็มีทั้งที่มีชื่อและไม่มีชื่อปะปนกันไปครับ เพราะ พวกที่เค้าคิดว่านี่เป็นโอกาสก็จะเอาอะไรก็ได้มาขาย เรียกว่าไม่เคยทำก็ทำกันให้เป็นก่อนหน้าแล้วก็เอามาขายกันที่งานนี้ แล้วก็อีกพวกก็คือพวกที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วก็รวมหัวกันมาขายของกินกันที่นี่ด้วยเช่นเดียวกันน่ะครับ แต่ว่าเราแยกแยะได้ไม่ยากว่า อันไหนเรียกว่า ตัวจริง แล้วก็อันไหนเป็นตัวปลอม พวกตัวจริงจะมีหน้าร้านป้ายร้านประเภทว่า ดูแล้ว เหมือนกับว่ามีอะไรมารับรอง แล้วก็หันถามกันไปๆมาๆว่าพอจะรู้จักเหรอป่าว เหตุผลในการแยกแยะก็เท่านี้เองน่ะครับไม่มีอะไรซับซ้อน สิ่งที่ผมเห็นแล้วแปลกใจอยู่มากอย่างหนึ่งก็คือ ทำไมคนมันถึงได้เยอะแยะมากมายถึงเพียงนี้ คนที่มาที่นี่ยอมแม้กระทั่งการจอดรถแบบให้โดนใบสั่งแบบจงใจ ผมเห็นโดนกันเยอะมากๆ แต่ว่าผมก็เข้าใจเอาเองว่าเค้าคงคิดแค่ว่า .. อืม จอดๆไป วันนี้มีการจัดงานก็น่าจะอนุโลม .. คิดแบบนี้ผิดถนัดน่ะครับผม เพราะว่านี่หละ แหล่งรายได้ที่สำคัญเลยล่ะ เพราะปกติแล้ว ถ้าหากว่าเป็นถนนหลัก ที่ขับคั่งแบบนี้ไม่มีคนทำตัวแปลกๆเอารถมาจอดเท่าไหร่นัก แต่ว่า วันแบบนี้ที่มี event คนก็เริ่มคิดว่าเค้าจะอนุโลมกัน แต่เปล่าหรอกนะครับ

กลับมาเรื่องกิน ผมไปถึงก็กลางวันอยู่แต่ว่าก็ไม่ได้กินอะไรเป็นจริงเป็นจังเริ่มจากการถ่ายภาพทั่วไปซะก่อน แล้วก็เดินหาร้านบะหมี่กินกัน สิ่งที่ได้กินไปก็คือ บะหมี่ปูร้านชื่อโอเด็น มีลูกสาวทำงานอยู่ที่ ESRI (เพราะสังเกตเห็นว่าเค้าใส่เสื้อของ ESRI ซึ่งคนปกติจะไม่ได้มีใส่กันหรอกนะครับ) แต่เนื้อหานี้จะไม่ได้ review ว่ากินแล้วดีไม่ดีอะไรเพียงแต่ว่าอยากเล่าให้ฟังว่า พอร้านพวกนี้มีคนที่เข้าไปมากผิดปกติ จะทำให้คุณภาพอาหารต่ำลงแบบไม่ได้ตั้งใจครับ เพราะอะไรน่ะเหรอ ? เหตุผลก็ตรงตัวน่ะครับ ก็คือ คนมันเยอะมากเกินกว่าที่จะบริการได้ครับ น้ำก็ไม่ร้อนสำหรับบะหมี่ เกี้ยวก็หมด แต่ว่าเราก็ต้องจ่ายเงินเท่าเดิม 50 บาทต่อชาม ไม่ได้มีการลดราคาแต่อย่างใด แล้วผมก็ไม่คิดว่าร้านเค้าจะเพิ่มปูเข้าไปด้วยหรอกครับ มันหล๋อมแหล๋มเหมือนเดิมน่ะหละครับ (แต่ว่าเดาเอาเพราะว่าไม่เคยกินสภาพปกติว่าเป็นอย่างไร แต่ว่าถ้ามันน้อยกว่านี้ก็จะแย่มากน่ะครับ) คนที่เข้ามากินแน่นอนว่าจะเป็นสภาพของขาจรเสียมากเพราะว่าถ้าเป็นขาประจำเค้าก็น่าจะฉลาดพอจะมีหลีกเลี่ยงมันที่มีกิจกรรมขนาดยักษ์แบบนี้เพื่อมากินของที่ได้คุณภาพเป็นปกติครับ
ภายในงานจะเป็นร้านรวงตลอดแนวเต็มพื้นที่ถนน โดยเหลือพื้นที่ให้คนเดินได้ไม่มากนัก เพราะคนเยอะเกินกว่าที่จะเดินกันได้ หรือถ้าหากว่าแถวไหนมีการแสดงอะไรปั้บ จะทำให้การจราจร(คน)ติดขัดอย่างแรงเหมือนเดินไม่ได้เอาซะเลยน่ะครับ ทำให้เมื่อเห็นว่าตรงไหนมีการแสดงต้องเดินเลี่ยงไปเสียหรือไม่ก็ต้องหยุดดูการแสดงจะดีเสียกว่าพยายามที่จะออกแรงเดินหน้าต่อไปครับ
สินค้าที่ผมได้แล้วได้เอามาใช้แน่ๆก็คือ ไฟฉายแบบไม่ได้ใช้ไฟฟ้าอันละ 45 บาท (ซื้อมา 3 อัน) เป็นแบบที่ต้องออกแรงบีบเพื่อ chare พลังไฟฟ้าให้กับตัวเครื่อง แล้วก็เปิดไฟได้ ไฟจะเป็นแบบ xenon หรือแสดงแบบที่ไม่ก่อให้เกิดความร้อนเพราะมันจะได้ไม่กินพลังงานมาก ไฟฉายที่ซื้อมานี้ก็จะเอาไปเก็บไว้ในรถ แล้วก็คิดว่าก็น่าจะมีอันหนึ่งเอาไว้ที่ห้องนอนด้วยเพราะ เวลาไฟฟ้าดับก็น่าจะได้ใช้งานจริง (ไม่เหมือนกับอันที่ใส่ถ่านเพราะว่ามันหมดซะงั้นทุกทีเนียะ) แล้วอีกอย่างที่ได้มาก็คือ เป็นแผ่นพรมเช็ดเท้า รูปลิงน้อยน่ารักน่าชังแต่ว่าต้องโดนผมเหยียบย้ำหลังจากที่ผมเดินเข้าและออกจากห้องน้ำน่ะครับ ผมว่ามันน่ารักดีน่ะครับก็เลยให้แม่ซื้อมา ตอนที่ซื้อก็ต่อกะคนขายได้นิดหน่อย ประมาณว่าได้มา แผ่นละ 80 บาทแต่ต้องซื้อ 3 แผ่น ก็เรียกคนแถวนั้นเค้ามาแชร์กันก็จะได้ราคานี้น่ะครับผม มันก็ดูไม่แพงมากสำหรับความน่ารักของพรมมันแต่ว่ามันก็ออกอาการแพงสักหน่อยสำหรับการเอามาเช็ดเท้าครับ เพราะจริงแล้วผมใช้ผ้าขี้ริ้วเอามาวางไว้ก็ได้ (ซึ่งตอนนี้ก็วางอยู่แต่ว่าอยู่ใต้ลิงน้อยอีกทีนึง)
การแสดงที่ผมได้ดูก็คือการเชิดมังกรแล้วก็มีตัวอะไรมาเล่นลูกไฟ (ดูได้จาก clip ตอนท้ายๆน่ะครับ) แต่ว่าผมดูไม่ออกหรอกว่าเสานั้นมันยึดได้ด้วยอะไรแต่ที่แน่ๆแรงคนไม่น่าจะยึดได้น่ะครับผม ผมพูดแบบนี้ไม่เข้าใจหรอกต้องเปิดดู clip น่ะนะ ..

สรุปแล้วการไปเที่ยวเดินทางดูของร่วม event ที่เยาวราชงวดนี้ก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่ดีทีเดียวสำหรับคนที่อยู่ กทม ก็น่าจะได้มาสักครั้งหนึ่งน่ะครับ อย่าเพิ่งกลัวว่าคนเยอะเลย เพราะว่า ไปไหนคนมันก็เยอะอย่างงี้อยู่แล้วน่ะครับ ถ้าหากว่ากลัวคนเยอะแล้วก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนกันมาพอ มันจะสุขจะทุกข์อะไรก็อยู่ที่คิด ณ เวลานั้นเท่านั้นเองน่ะครับ (เหมือน ads ของ คาราบาวแดงเนาะ )

Sunday, January 25, 2009

การเดินทางของรองเท้า



start process ----> ว่าจ้างคนออกแบบ คิดออกแบบ วาดภาพ ทะเลาะรูปแบบ สร้างแบบทดสอบ ทำออกมาเป็นตัวอย่าง จัดหาผู้ผลิต ตกลงราคากับผู้ผลิต ทำการผลิตตัวอย่าง ตรวจสอบยืนยัน สั่งผลิตจริง ทำการผลิตใช้แรงงานพลังงาน บรรจุเก็บเข้ากล่อง เอาขึ้นรถส่งไปท่าเรือ เอาขึ้นเรือ ลอยลำอยู่กลางทะเล เอาออกมาจากเรือ เอาออกมาเก็บไว้ที่โกดัง มีรถมารับจากโกดัง เอาไปวางที่โกดังสต้อกที่ห้างร้านขายส่ง(Distributor) มีรถมารับไปส่งที่ร้านขายรายย่อยตามห้าง เก็บไว้ที่แผนกรองเท้า วางไว้ที่ชั้นวางแสดง แล้วก็รอคนมาซื้อมัน ... ----> stand by mode


start process ---> รองเท้าเก่าพัง พยายามที่จะซ่อมมัน พยายามที่จะซ่อมมันอีกครั้ง ซ่อมไม่ได้แล้ว คิดว่าจะซื้อใหม่ ออกเดินทางนั่งรถไปที่ห้าง เลือกแบบ ลองเอาเท้ายัดใส่รองเท้า มองและตัดสินว่าพอใจหรือไม่ พอใจแล้วจ่ายเงิน เอามาใส่ที่เท้าทันที(คนบ้าเห่อ) เดินทางกลับบ้าน ถอดมันวางที่พื้นบ้าน เดินไปเรื่อยๆอีกหลายปี พัง ... ----> repeat process

ดูคอนเสริ์ตกะก้วนเพื่อนบ้ากล้องของน้องแนนนี่ที่ร้านอาหารดีริเวอร์แถวบ้านเจริญนคร

เมื่อคินดูบอยพีัคเมกเกอร์มาก็เลยเอาเป็น clip ที่เค้าร้องเพลงมาปะเก็บเอาไว้ให้ดูกันน่ะครับ ปกติไม่เคยเอา vdo มา upload ผ่านเข้า youtube.com เท่าไหร่ น่ะครับ ยังไงก็ลองกดๆ ดูแล้วกัน เค้าจะร้องเพลงที่ดังๆเลยก็ใจร้าวน่ะครับ หรือว่าเพลงอื่นๆที่ดังๆในอดีต(ของเค้าทั้งนั้นน่ะหละ)

จริงๆไม่ไำด้อยากไปดูสักเท่าไหร่หรอกครับแต่ว่าน้องแนนนี่เั้ค้าอยากดูเอามากๆ เพราะว่า เหมือนกับว่าเค้าเห็น music vdo ที่ฉายตามทีวีทั่วไปแล้วก็มาบอกว่า "อืม.. เหมือนพี่บอยเค้าจะดูดีกว่า album ก่อนๆนะ" ก็คิดว่าน่าจะอย่างงั้นเหมือนกันน่ะครับเพราะว่ามันจัดแสงให้ดูได้ดีจริงหรือว่าเค้าตัดผมทำให้ดูดีก็ได้ด้วยเหมือนกัน ก็เหมือนผมน่ะหละัตัดผมทำให้ตัวเองดูดีได้ เหมือนกัลเล้ย ยยย .. (เฮอะๆไม่ค่อยเลยนะเราว่าปะครับ อิอิ )

คนที่ร้านนี้จะไม่ค่อยมีเท่าไหร่ แล้วก็บรรยากาศจะออกแนวว่่าไม่รูั้ว่าจะเป็นสไตล์อะไรดี เรียกไม่ถูกทำมั่วๆ แต่ก็ดีไปอย่างเพราะว่าขนาดว่ามีนักร้องดังขนาดนี้คนก็ไม่ได้เข้ามามาักมาย ชื่อร้านก็คือ d river (มั้ัง) ไม่แน่ใจเพราะว่า logoอะไรเป็นปลาตะเพียนเ้อ้อ .. งงแฮะ ไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร พอถึงไปพนักงานบอกว่าจะอยู่ในโุถง(ผับ) เค้าบังคับสั่งชีวาส 1 ขวด อ้าว .. แต่ว่าเค้าไม่ได้น้องแนนนี่เอาไว้แต่แรกนี่หน่าจะให้ทำยังไงก็เลยรับอาสาทำหน้าตาวีนๆ ใส่พนักงานเพื่อจะให้ได้นั่งให้ได้นะ่ครับ( ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้มีคนหรอกเมื่อเวลาผ่านไปยันจบรายการ เ้อ้อ ..) ก็ต่อรองกันนิดหน่อยๆ แต่ว่าตาแว่นที่เป็นพนักงานที่ contact มาก็ไม่อยากประนีประนอมเท่าไหร่เหมือนกะว่ายังไงก็ต้องให้ออกสินค้าเ้ค้าให้ได้ก็ .. ไม่รู้และไม่คุยด้วยก็เลยเดินออกไปด้านนอกทำท่าเหมือนกะว่าจะต้องเปลี่ยนวิีธีการซะแ้ล้วก็เลยเดินออกไปบ่นกะคนที่เค้าเป็นคนต้อนรับหน้าประตูแต่แรก เค้าก็พาไปเจอคนที่มีอำนาจตัดสินใจอีกระดับหนึ่งน่ะครับ แล้วก็สุดท้ายก็ต่อรองได้ว่าเอาเบียร์สามเหยือกมากิืนแทนแล้วกัน .. งั้นผมก็ว่า .. ก็ได้ครับ ไม่คิดมากหรอก แต่ว่าจริงผมไม่ได้โกรธเกลียดเคียดแค้นอะไรหรอกนะครับ แต่ว่าต้องทำท่าทำทางอย่างงั้น ไม่อยากเสียเงินไปเท่าไหร่ พวกเพื่อนน้องแนนนี่เค้าก็ดีๆกันทั้งนั้นเครื่องดื่มอะไรพวกนี้ก็กินกันไม่ได้เท่าไหร่ ขนาดไปกันตั้งเยอะเทเบียร์กันได้ไม่กี่คนแล้วก็ไม่เห็นว่าจะพร่องเลย ก็ไม่เป็นไรน่ะครับคิดว่ามาดู concert เสียเงินหัวละประมาณ 350 บาทรวมอาหารแ้ล้วก็ใช้ได้น่ะครับ ไม่แพงอย่างที่คิด (แต่ว่าดูอาหารเฉยๆจัดได้ว่าราคาแพงพอตัวน่ะครับ แต่ว่ามันต้องคิดว่าได้ดู concert ด้วยถึงจะคุ้มหน่อยอ่ะครับ)

พวกเพื่อนๆแนนนี่พวกนี้เป็นพวกคลั่งกล้องครับ มีกล้องแบบลำกล้องยาวๆดูเหมือนกะพวก pro เอามาถ่ายกันอุตลุด เอาแก้วมาถ่ายถ่ายโต้ะ ถ่ายกันเอง ถ่าย concert เหมือนกับเป็นโรงเรียนสอนถ่ายภาพย่อมๆก็ว่าได้ .. แบบว่าอยู่ในสถานการณ์จริง เพือ่เป็นการทดสอบฝืมือกันครับ ผมก็ดูภาพจากกล้องพวกนี้ ถ่ายออกมาก็หน้าตาดีใช้ได้ ( ปกติไม่ค่อยขึ้นกล้องเท่าไหร่ ลงกล้องอย่างเดียว ถ่ายแล้วดูดีน้อยกว่าตัวจริง) เอาเถอะครับผมเห็นแล้วก็แค่อยากได้มั่งนิดหน่อย แต่ความคิดนั้นมันก็แค่วาบเดียวเพราะว่าที่ผมใช้เป็น compact กล้องตัวที่ผมใช้มันก็ใช้ได้ดีระดับหนึ่ง กะการเพื่อบันทึกเรื้่องราวเราไม่ได้ต้องการอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว (มั้ง) เหมือนกะว่าพอใจในสิ่งที่มีอยู่น่ะครับ ..

และแล้ว .. หมือนเดิมครับ .. ผมก็ทำหน้าที่เป็นพี่ชายที่่น้องแนนนี่เค้าอุตส่าห์รวมตัวเพื่อนๆเค้ามาไ้ด้ก็ไม่อยากจะให้เสียบรรยากาศมากมายนัก เดินทางไปก่อนจัดการเรื่องให้เสร็จสรรพแล้วทุกคน (คนอื่นๆ) ก็ enjoy กันไปครับผม .. เย้ ..

กลับมาหูเหมือนว่ารับเสียงได้น้อยลงไปบ้างเพราะว่าที่หน้าเวทีเสียงดังเอามากๆ ตอนแรกดั้นไปนั่งซ้า .. ใกล้เชียวแล้วก็ไม่ระวังตัว เดินออกมา .. อืม .. เหมือนหูมันวิ้งๆว้างๆ ยังไงชอบกล ต้องระวังน่ะครับ เ้ฮ้อ ..ตอนแรกเราก็ไม่ได้ระวังตัวมากเท่าไหร่ซะงั้น . .











Saturday, January 24, 2009

KOBE STEAKHOUSE ร้านใหม่อร่อยเหมือนเดิมแต่ว่าบรรยากาศเปลี่ยนไป








ร้านนี้เป็นร้านที่แต่เดิมอยู่ที่สยามสแควร์แต่ว่าเค้าโดนไล่ที่ออกมาแล้วอ่ะครับเพราะว่าอยู่มาตั้งแต่เมื่อประมาณสามสบปีก่อนเห็นจะได้ ที่เค้าไล่ที่ดูเหมือนว่า ก็โดนกันหมดเพราะทางเจ้าที่เค้าจะเอาไปทำ mall เกี่ยวกับ technology หรือว่า computer หรือว่าพวกมือถือ smart phone อะไรประมาณนั้น ครับ แต่ว่าไม่เป็นไร เพราะว่าที่เห็นนี่ก็คือที่ร้านใหม่ เค้าย้ายมาทีใหม่นี่มาได้นานแล้วอยู่เหมือนกันแต่ว่าผมก็ไม่ได้เคยเอามาบอกคนอื่นสักเท่าไหร่ยกเว้นคนที่รักกันจริงเท่านั้นเ้ฮอะๆ ..

ร้านนี้จะออกแนวเทปันยากิ เรียกว่า กะทะแบนผัดๆ ถ้าหากว่าอยากจะนั่งกินดูให้ได้ถึงใจก็ต้องมานั่งที่ counter ก็จะมีคนผัด (ก็กุ้กๆเค้าน่ะหละครับ ) มาทำให้ดูตรงหน้าแต่ว่าพอเค้าของเราหมดแล้วเค้าก็ต้องผัดของคนอื่นต่อไป สำหรับผมแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องดีน่ะครับมันไม่น่าเบื่อ ไม่จำเป็นหรอกว่าจะต้องผัดเฉพาะของที่เราสั่งให้เราดูนี่เนาะ ว่าปะ . .

แต่ว่าสำหรับคนที่จะพาสาวๆไป มีแนวโน้มว่าจะไม่อยากนั่งกันตรงนี้ก็ต้องไปนั่งโต้ะธรรมดาเอาก็แล้วกัน เพราะว่าเค้าเหล่านั้นกลัวว่าหัวจะเหม็นกลิ่นผัด ( แหม แต่ก็จริงแล้วก็ตะล่อมไปได้ว่า เดี๋ยวก็ไปอาบน้ำแล้วเนาะ ไม่ต้องกลัวอะไรมากก็ได้นี่หน่าว่าปะครับหรือว่าผมคิดเข้าข้างตัวเองก็ไม่รู้)

ผมเห็นคนจะสั่งเป็นเนื้อโกเบกันน่ะครับแต่ว่าผมก็ไม่เคยสั่งหรอกเพราะว่าไม่อยากเสียเงินเยอะในการกินน่ะครับ ผมก็สั่งกินแต่เนื้อไทย ก็อร่อยดีแล้วน่ะครับ แต่ว่าผมว่าสักวันก็น่าจะได้ลองอยู่หรอก คิดเอาไว้อย่างงั้นในใจน่ะครับ ยังไงถ้าไ่ม่รู้จะไปกินไหนก็มากินที่นี่ก็แล้วกัน อ้อ .. ชื่อร้าน Kobe Steak House น่ะครับ .. ใ้ช้ได้แนะนำๆๆ .. ครับผม

Friday, January 23, 2009

อีกด้านของนิทาน

The Prince...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าชายองค์หนึ่ง
เขาได้ออกเดินทางเพื่อตามหาเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลก
เขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ท่องเที่ยวไปหลายประเทศ
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเจอเจ้าหญิงองค์หนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต
ทำให้เขาหลงรักเธอ และอยากได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต
แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้...
มีเจ้าชายที่มาจากหลายๆ อาณาจักรเข้ามาขอเธอแต่งงาน
แต่การที่จะแต่งงานกับเธอได้ต้องผ่านการทดสอบมากมายนานนัปประการ
ซึ่งในที่สุดเขาก็สามารถผ่านการทดสอบเลือกคู่มาได้แต่เพียงผู้เดียว

ทว่า... ก่อนที่เขาจะได้แต่งงานกับเจ้าหญิงนั้น
มีมังกรท่าทางดุร้ายตัวหนึ่งได้ลักพาตัวเจ้าหญิงไป
เขาได้ออกตามล่าเจ้ามังกรจนตามทันและขับไล่มันได้สำเร็จหลังจากที่ต่อสู้กับมันอย่างดุเดือด
และได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและอยู่อย่างมีความสุขที่ปราสาทของตน...

The Princess...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก
เธออยู่ในอาณาจักรที่ห่างไกลและเจริญรุ่งเรือง
เธอชอบออกไปเดินเล่นในป่าเป็นประจำด้วยความรักที่มีต่อธรรมชาติ
จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบกับพ่อมดรูปงามคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้น
ทำให้เธอหลงรักเขา และอยากอยู่เคียงข้างเขาชั่วชีวิต
แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดไว้...
มีเจ้าชายที่มาจากหลายๆ อาณาจักรเข้ามาขอเธอแต่งงาน
พวกเขาได้ฝ่าฝันกับการทดสอบเลือกคู่ของพระราชาซึ่งเป็นพ่อของเธอ
ซึ่งในที่สุดก็มีเจ้าชายคนหนึ่งที่สามารถผ่านการทดสอบมาได้แต่เพียงผู้เดียว
ทว่า... เธอไม่ได้รักเจ้าชาย เธอไม่อยากแต่งงานกับเขา ต่อให้พ่อมดจะมีหน้าตาน่ารังเกียจกว่าเจ้าชาย เธอก็ยินดีที่จะเลือกพ่อมดมากกว่าเสียอีก
ก่อนวันแต่งงาน เธอขอร้องให้พ่อมดคนที่เธอรักส่งมังกรมาพาตัวเธอไปให้ไกลๆ
แต่เจ้าชายก็ตามมาทันพร้อมทั้งสู้กับมังกรจนกระทั่งมันพ่ายแพ้บินหนีไปและพาตัวเธอกลับไป
เธอไม่มีโอกาสได้เจอกับคนที่เธอรักอีกเลย ถึงได้แต่งงานแต่ก็ไม่มีความสุข...

The Wizard...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง
เขาเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมาก
เขาอยู่ในป่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอาณาจักรมากนัก
ซึ่งในอาณาจักรนั้นมีเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลกอยู่ด้วย
เขาแอบชอบเจ้าหญิงมานานแล้วแต่เพราะหน้าตาไม่สู้จึงฝึกฝนเวทมนตร์เพื่อเป็นพ่อมด
และก็หาโอกาสออกมาพบกับเจ้าหญิงจนได้
เขาได้ใช้เวทมนตร์เสกให้รูปกายให้งดงามยิ่งกว่าผู้ชายคนไหนในโลก
ซึ่งเจ้าหญิงก็ตกหลุมรักเขา เขาตั้งใจว่าจะให้เธอรักเขาก่อนแล้วค่อยเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง
แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้...
เขาเกิดกลัวขึ้นมาว่าถ้าเธอเห็นหน้าตาจริงๆ ของเขาแล้วเธออาจจะรับไม่ได้
เขาก็เลยรู้สึกท้อใจ และคิดว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ข่าวว่ามีเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งผ่านการทดสอบเลือกคู่ของพระราชาได้
ทว่า... ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมแต่งงานกับเจ้าชายเลย
ก่อนวันแต่งงาน เธอเข้ามาของร้องให้เขาพาเธอไปไกลๆ เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน
เขาก็เลยเห็นว่าน่าจะเป็นการดีเลยส่งมังกรพาตัวเธอไปแล้วให้เจ้าชายไปช่วยเพื่อที่จะให้เธอเห็นว่ามีคนที่ดีกว่าเขา
เขาสั่งให้มังกรออมมือให้เจ้าชายและหนีทันทีที่เห็นว่าสู้มานานพอแล้ว แล้วเธอก็ได้แต่งงานกับเจ้าชายในที่สุด...

''หวังว่าเธอคงจะมีความสุขนะ...''

เอามาจาก www.thaireaderclub.com แต่ว่าไม่มีบอกว่าใครทีไหนแต่งใครพิมพ์ผมก็สามารถให้ credit ได้ประมาณนีน่ะครับแต่ว่า .. เป็นนิทานที่ไม่คิดว่าจะได้อ่าน ปรับนิทานธรรมดาให้ไม่ธรรมดาได้ ..เหมือนกับพวกหนังที่มีเรื่องราวมาจากหลายทางแล้วก็อยู่ในเหตุการณ์เดียวกันทั้งหมด ..

Thursday, January 22, 2009

เหลืองหรือแดงก็ไม่สำคัญ เพราะ ดูเหมือนว่า ตอนนี้ใครๆก็รักสามัคคีกันดี

แปลกอยู่อย่างว่าการยึดว่าของเราตัวเรานั้น มันไม่ได้คิดแค่ว่า อันนี้ของๆผม สิ่งนั้นเป็นของๆคนอื่น หรือว่าอันนี้ตัวๆเรานะ แล้วก็อันนี้เป็นตัวตนคนอื่นๆ แต่แนวคิดความเป็นตัวกูของกูมันกว้างออกไปมากกว่านั้นมาก และมันก็ครอบคลุมเรื่องความคิดซะด้วยซิ .. ทั้งๆที่มันเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ หรือ ความเชื่อ ก็เหมือนกัน นามธรรมจับไม่ได้ด้วย แต่ว่าคิดได้ เชื่อได้ สำหรับความคิดนั้นอาจจะพิจารณาในเชิง credit ได้น่ะครับ ทำให้วิธีการบริหารงานคน หากว่าใครก็ตามที่คิดอะไรออก หนังสือตำราก็จะบอกว่า เราก็ต้องชมให้ถูกคนแล้วก็ยอมรับในความคิดเค้าเหล่านั้นเพื่อให้เค้าออกความคิดมาอีก เหตุที่เ้ค้า้้อยากจะออกความคิดมาอีกเพราะว่า เค้าคิดว่าความคิดเหล่านั้นเป็นความคิดของเค้า ทำให้เกิดความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของคนคิด ทั้งๆที่ไม่ว่าใครคิดก็ตามมันก็จะกลายเป็นความคิดของคนอื่นภายในทันที ที่คิดได้โดยการฟังอ่านหรือวิธีการผ่องถ่ายความคิดวิธีการใดๆก็ตาม เช่น ผมบอกว่า จะเอาลูกปิงปองออกจากท่อเอสล่อนที่ปักแนวตั้งไว้กับพื้นคอนกรีดได้อย่างไร แค่ผมพิมพ์ประโยคที่ว่า "ก็เอาน้ำเทเข้าไปซิเ้ท่านั้นเองปิงปองก็ออกมาแล้วนิ" พออ่านจบความคิดนี้ถูกผ่องถ่ายผ่าน text ที่ผมพิมพ์ไม่กี่เคาะเข้าไปที่หัวคุณคนอ่านแล้วเรียบร้อย ความคิดแนวคิดวิธีการ มันโอนถ่ายกันได้ง่ายมากหากว่าเรื่องราวมันไม่ได้ซับซ้อนมากนัก แต่ความทคิดดีๆเหล่านี้ มันช่วยขยับโลกเรามานักต่อนักแล้วให้โลกมันหมุนไปในแนวคิดที่ทุกคนบนโลกช่วนกันคิด (ทั้งหมดเป็นแบบที่ลอยออกมาเองทั้งนั้นไม่ได้มีกระบวนการอะไรที่ซับซ้อนหรือต้องเบ่งหรือต้องโขกสับอะไรออกมา) ย้อนกลับมาว่า ความคิดเป็นแค่นามธรรมและมันเป็นเรื่องดี ทำให้คนเราส่งเสริมการคิด ถ้า basic สุดก็ด้วยการชมกับซึ่งหน้าก็จะเป็นการกระตุ้นให้คนคิดต่อไปครับ และพวกบริหารๆmba นี่ก็ชอบให้คิดซะด้วยซิเพราะก็มันทำให้องค์กรเดินได้น่ะครับ แต่การชมนี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อ คนเราจะต้องมีัควา่มคิดเรื่องตัวกูของกู เอาไว้เป็นฐานและคิดครอบคลุมไปถึงเรื่องความคิดและความเชื่อด้วยน่ะครับ มันถึงจะใช้ได้ ซึ่งก็เป็นคนส่วนใหญ่บนโลกเรานี่หละครับ ผมว่า .. (ผมก็คิดเอาเองอีกน่ะหละ ใครจะไปทำ poll สำรวจเหรอครับว่า คุณมีความคิดเป็นของตัวเองเหรอป่าว?) ที่ซับซ้อนกว่านั้นก็จะเป็นการตอบแทนด้วยระบบรางวี่รางวัลฐานะทางอื่นก็สุดแล้วแต่จะคิดกันไป

มาดูอีกประเด็นก็คือความเชื่อ ที่ทำให้คนเราแม้อยู่บ้านเดียวกันก็ต้องมาทะเลาะกันเพราะคิดว่า นี่เป็นความเชื่อของกู ตัวกูของกูแนวเดียวกันเลย .. (คิดยังกะว่ามันเป็นของอย่างงั้นนะ่หละ ) แต่เนื่องด้วยการไหลของความเชื่อหรือความคิดมันไหลได้เร็วตามืที่ได้โม้เอาไว้ที่พารากราฟก่อนหน้า ทำให้คนคิดกว้างออกไปอีกว่า(แบบไม่รู้ตัว)ว่า เฮ้ย.. ต้องโน้มน้้าวให้คิดและเชื่อเหมือนเรา เพราะเค้าเหล่านั้นจะได้เชื่อว่า ความคิดความเชื่อนั้นเป็นของกูตัวกู (แหมพิมพ์ไปพิมพ์มาผมวา่ไม่ชอบคำว่ากูเท่าไหร่เพราะว่าผมเป็นคนผู้เพราะน่ะครับ เฮอะๆ แต่ว่านะ ให้มันดูรุนแรงหน่อย) แล้วก็พยายามเหมือนเกินที่จะป้องกันความเืืชื่อกรูๆ เอาไว้ .. (พิมพ์แบบนี้ดูน่ารักขึ้นหน่อย) โดยไม่ฟังความคิดความเชื่อของคนอื่นครับ เ้อ้อ ..ดีเนาะ ... เฮอะๆ สนุกเลย .. แต่ทีี่คิดไม่ออกว่า จะเชื่อจะคิดจะป้องกันไปแล้วมันให้ผลที่ไม่แตกต่่างกันเลยนี่ซิครับ มันยิ่งทำให้ึิคิดนึกต่อไปได้ว่า .. เอ .. แล้วเราจะเชื่อแบบนั้น หรือ คิดแบบนั้น ไปเพื่ออะไร ผมยกตัวอย่างชัดๆของกรณีที่ผมเจอมาเยอะมากตามสถานที่ๆผมมีชีวิตผ่านผัสสะอยู่ที่โลกมนุษย์นี้สังเกตการกระทำของชาวโลก (เหมือนกะว่าเราเป็นพวกต่างดาว) ก็เรื่องเหลืองๆแดงๆนี่หละครับ แดงๆ มีคนบอกว่ามันไม่ีดียังไงก็ไม่ฟัง เพราะยึดความเชื่อเอาไว้ แล้วก็ไม่ได้คิดว่ามันก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ใดๆแตกต่างออกไปได้ หรือว่าพวกเหลืองที่ไปตบตีทะเลาะกันกับพวกเหลืองๆ ก็มันก็ไมไ่ด้ทำให้สถาการณ์อะไรเปลี่ยนแปลงไปหรอกครับ ที่แย่กว่านั้นการยึุดเชื่อความคิดความอ่านแบบทืี่เป็นแบบคิดเชื่อกรูๆอย่างว่า มันแพร่ลงไประดับรากหญ้า ทำให้สามีภรรยาอยู่ด้วยกันไม่ได้มองหน้ากันไม่ติด ครอบครัวพี่น้องต้องทะเลาะหมางใจ(แม้ว่าจะเล็กๆน้อยๆก็ตาม)ก็มี ทั้งๆนี้มันไม่ต้องออกแรงคิด ไม่ต้อวงกระดิกคิดแม้แต่สักแรมเดียวก็ได้ มันก็จะให้ผลออกมาเหมือนกันๆครับ เอาเป็นว่าถ้าสมองว่างอาจจะเสวนากับคนอื่นได้ก็ต้องคิดให้เหมือนคนอื่นร่วมคิดเข้ากระแส (อะไรก็ตามที่มันจะมีในอนาคต) ไม่ว่าคุณจะคิดเป็นกลางหรือฝักใ่ฝ่ฝ่ายใดก็ทำไปเถอะครับ เพราะมันก็ไม่ได้กระทบต่อผลลัพธ์อยู่แล้วเนาะ ... ว่ามะ .. ^_^

(ตอนที่พิมพ์อยู่บนทางด่วนขั้นสองหนา้ป้ายพรรคภูมิใจไทย .. เพิ่งเห็นตะกี้นี้เองมีป้ายด้วยเหรอ งง นั่งผ่านทุกที่ไม่ได้สังเกต สินแปดนาฬิกกาห้าสิบสองนาทีวันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนสองปีห้าสอง ที่ผมพิมพ์เป็นภาษาไทยหมดเพราะว่าผมมองแป้นตัวเองไม่เห็นน่ะครับ คัวเลขผมพิมพ์ไม่แม่นน่ะ .. มันไกลนิ้วไปหน่อย)

Brand แนวคิดที่ทำให้คนแยกความแตกต่างของคนที่มองโลกแตกต่างกันได้

คนที่มองโลกที่แตกต่างกันตามแนวคิดที่ผมว่า "มันน่าจะเป็น" จะโดนแบ่งออกเป็นสองพวก (หรือมากกว่าสำหรับพวกที่ยังคิดไม่ออก) หลักๆ ก็คือ พวกที่เห็นตัวเองผ่านคนอื่น กับพวกที่เห็นตัวเองผ่านตัวเอง แต่ละพวกเป็นยังไง ขอเล่าความคิดนิดนึง คือ พวกที่เห็นตัวเองผ่านคนอื่นก็คือพวกที่คิดว่าสิ่งใดๆที่ตัวเราเป็น อยู่ คือ ( Is am are was were ) อะไรก็แล้วแต่ .. พวกนี้จะเห็นตัวเองผ่านสิ่งที่คนอื่นเห็น ภาพลักษณ์โดนสะท้อนมาจากความคิดคนอื่นครับ ซึ่งพวกนี้เป็นกลุ่มเป้าหมายของการใช้ ตราสัญลักษณ์เข้าไปทำหน้าที่ใ้ห้คนอื่นที่เห็นตัวเค้าแตกต่างกันได้ อ่านแล้วงง ยกตัวอย่างดีกว่า คือ นาย ก. ซื้อกางเกงลีวายหรือแบรนด์อะไรก็แล้วแต่ที่เค้าคิดว่าคนอื่นเห็นว่ามันเท่ห์ หรือดูดีในสายตาคนอื่น โดยทีตัวเองไ่ม่ได้เป็นคนคิดตั้งแต่ต้นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับเขาแล้ว แต่ผมอาจจะโดนแย้งว่าแอ้ะ .. เค้าก็ต้องคิดว่า่เค้าใส่แล้วเท่ห์ซิเค้าถึงได้ซื้อมาใส่ ก็จะคิดแบบนั้นก็ได้น่ะครับ แต่ว่า สิ่งที่ทำให้เค้าคิดแบบนั้นก็คือ ความคิดของคนอื่นต่อสินค้าหรือตราสินค้านั้นต่างหากไ่ม่ได้เป็นที่ตัวเค้าิคิดออกมาตรงๆโดยไม่มีเหตุใดๆทืี่มาจากคนอื่นเลยครับ แล้วอีกพวกก็คือพวกที่เห็นตัวเองผ่านตัวเอง พวกนี้จะซื้อสินค้าที่ไม่มีแบรนด์เพราะไม่มีอะไรมาบอกเค้าหรอกว่ามันดีไม่ดีอะไรมันเหมาะกับเ้ค้าหรือไม่ ถึงแม้วา่ผลการกระทำจะออกมาเหมือนกันแต่ว่า พวกที่สองนี่จะเป็นพวกที่ใส่กางเกงในด้วยแบบหรือสีที่เ้ค้าชอบได้่ครับโดยไม่มีความคิดของคนอื่นมาเป็นประเด็นให้คิดว่าเค้าจะเลือกซื้อหรือใ้ช้สินค้าแบบใด ..

แท้ที่จริงแล้วตราสัญลักษณ์สินค้าใดๆ ก็มีเอาไว้เพื่็ขายความรู้สึกเท่านั้น แล้วมันก็เอาไว้ให้คนจดจำได้เพื่อทำการซื้อซ้ำเพื่อให้เงินเข้ากระเป๋าเดิมให้ถูกคนน่ะครับ มีคนเคยเล่าให้ผมฟังว่า ถ้าหากว่าเอารถบีเอ็ม(รุ่นใหม่มากที่ไม่มีการผลิตมาก่อนไม่ีมีการทำให้ใครๆรับรู้มาก่อนว่านี่มันของ BM ) แกะตรามันออกแล้วปะยี่ห้ออะไรอื่นก็ได้่เช่นพิมพ์ว่า TLC ก็แ้ล้วกัน .. ราคาของรถจะตกลงไปมากกว่าครึ่งเพราะ มวลค่าที่มากับตรานั้นได้โดนเอาออกไปตรงๆ (ก็เพราะว่าเค้าแกะออกไปจริงๆนี่หน่า ) ทั้งๆที่มันก็ของเดิมเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าคุณภาพ หรือความรู้สึกต่อรถคันเดิมนั้นมันได้เปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกนั้นอาจจะประกอบไปด้วย ความรู้สึกว่าเป็นรถมีราคาเพื่อสะท้อนฐานะทางสังคม (มุมมองผ่านคนอื่น) หรือ เรื่องของคุณภาพที่มองไม่เห็น รู้สึกว่าไม่ไว้ใจ TLC นั่นเอง หรือ อาจจะเป็นเพราะว่า ขับไปคนอื่นก็ไม่รู้จัก ก็คิดได้เหมือนกันน่ะครับ ไม่ผิดอะไรหรอกครับ .. .

ประเด็นที่ว่าราคาจะสะท้อนความรู้สึกน่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะ หากว่าเรากินอะไรที่มีราคาแพงกว่า เราก็คาดหวังว่าสินค้านั้นๆใ้ห้คุณค่าต่อจิตใจเราที่ดีขึ้นด้วย เพราะอย่างว่าล่ะครับ ขายความรู้สึกครับผม ยกตัวอย่างอะไรดีล่ะ .. เอาน้ำชาเชียวแล้วกัน เค้าจะโม้ออกมาว่า อืม .. กินแล้วดี ต่อสุขภาพ แต่ว่าคนกินไม่ได้ดูหรอกเหรอว่า กินแล้วมีนำ้ตาลซะมากทำให้เด็กๆติดได้ครับเพราะชากาแฟให้เด็กกินเด็กก็ติดทั้งนั้น ยิ่งหวานๆนี่ก็ติดได้ไม่ยากเลยน่ะครับ กินแล้วหากว่าเป็นผู้ใหญ่ก็จะทำให้ "รู้สึก" สดชื่่นดับกระหาย( ที่ดับกระหายเพราะว่ามันเย็นแล้วก็หวานเท่านั้นเอง ซึ่งถ้ากรณีเย้นจริงๆ กินแค่น้ำเย็นก็ัดับได้เหมือนกันน่ะครับ) แล้วุถ้าหากว่านไม่ได้คิดเรื่องน้ำคาลก็จะ"รู้สีก" อีกและว่า มันกินได้เพราะมันทำให้รู้สึกว่า สุขภาพดี (ก็แค่รู้สึกมันก็ทำให้เรารู้สึกดีกับคัวเราเองได้น่ะครับ) หรือ กรณีของการทดสอบเรื่องไวน์ว่า เมื่อกินเข้าไปแล้วที่ราคาไม่เท่ากัน ทำให้รู้สึกต่อรสชาติ หรือรู้สึกดีเมื่อกินเช้าไปได้มากน้อยเท่ากันหรือไม่ วิธีการทดสอบก็ทำได้โดยเอาไวน์ขวดเดียวกัน เหมือนกัน มา โดยเอาขวดหนึ่งมาถ่ายน้ำมันออกไปใส่ขวดที่ดูดีหรูหรากว่าแล้วก็ปะราคาไว้ว่ามันแพงเรื่อนแสนแล้วก็ให้คนมากินดูว่ารสมันเหมือนกันหรือไม่ ผลก็ไม่น่าจะเป็นอย่างอื่นไปได้หรอกครับก็คือ คนก็จะคิดว่าชวดแพงก็จะกืนแล้วอร่อยกว่า แล้วสมองเีราก็คิดแบบนั้นจริงๆซะด้วยซิครับ ทั้งๆที่น้ำมันเป็นน้ำเดียวกันแท้

เอาเป็นว่าเรื่องนี้หากว่า เราคิดออกว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามเราซื้อเพราะว่าความรู้สึก เราก็จะระวังได้มากขึ้น โดยไม่ซื้อของเพราะว่าความรู้สีก หรือ ให้รู้สึกให้น้อยลง คิดให้มากขึ้นครับ ก็จะทำให้เราไม่ต้องเสียเงินไปโดยใช่เหตุ หรืออีกทางก็คือ ไม่ว่าคุณจะใช้อะไรก็ตามจงรู้สึกดีกับมัน (อย่างเช่นซื้อมือถือที่่คุณใช้แล้วตอนแรกก็รู้สึกดีกับมันก็อย่าไปดูตัวอื่นหรือว่าไปถามรุ่นอื่นๆที่มีโอกาสว่าน่าจะดีกว่าเพราะจะทำให้เราเริ่มออกอาการว่ารู้สึกไม่ดีกับมือถือที่เราีีมีอยู่น่ะครับ) แล้วการรู้สึกดีกับมันนี้เราก็ต้องควบคุมให้มันแสดงออกให้ได้จริงๆครับผม หรือ อีกวิธีก็คือ ใช้แนวทางละมันให้หมดคือ พอใจสุดๆกับสิ่งที่เป็นอยู่มีอยู่คืออยู่ โดยรู้ตัวว่าอะไรก็ตาม เราก็ทำให้ตัวเรารู้สึกพอใจกับมันได้ แค่นี้ก็ไม่ต้องไปไขว่ตกเป็นเหยื่อการคลาดและการแปะตราสินค้าแล้วน่ะครับ

สำหรับพวกที่ทำหน้าที่ตรงข้ามคือ พวกที่ต้องคอยบอกผู้คนว่า สิ่งที่คุณมีอยู่เป็นอยู่คืออยู่มันเป็นสภาพที่ทำให้คุณต้องรู้สึกไ่ม่ดี แย่แล้วก็ต้อง.ซื้อสินค้าหรือบริการใดผมก็ไม่ได้ว่าเป็นพวกที่เลวร้ายอะไรหรอกนะครับ มันเป็นหน้าที่เค้าเหล่านั้นเพื่อให้โลกนี้มีคนที่คิดแตกต่างกัน รู้แตกต่างกัน แล้วก็เหมือนว่า ทำให้โลกนี้มีอะไรทำ ไม่อย่างงั้นทุกคนก็จะอยู่ว่างๆ ไม่ทำลา่ยสิ่งแวดล้อมแล้วก็ย่อยสลายตัวเองไป กินอยู่เรียบง่าย ซึ่งไม่ว่ามันจะเป็นกรณีไหนก็แล้วแต่ ผมก็รู้ว่าโลกเราต้องนี้เป็นอะไรอยู่แล้วก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก เพราะมันก็ทำให้ผู้รู้สึกดีอยู่แล้วนี่หน่า เนาะ ..ว่ามะ เฮอะๆๆ

(ข้อความนี้ถูกเชียนตอนนั่งรถกลับบ้านจากโรงงานทำให้พิมพ์แล้วไม่อยากอ่านมาก คิดอะไรไม่เป็นลำดับสักเท่าไหร่ก็.. ไ่ม่มีคนมาว่าอะไรผมหรอกเนาะ พิมพ์ในรถมันก็เพลินดีน่ะครับ ..ก็แค่อยากจะเล่าเท่านั้นเอง ชะเอิงเงิงเงย)

Monday, January 19, 2009

ของดีมีคุณภาพจากเมืองจีนอีกแล้ว ไม่ได้อคติหรอกนะ..

 

ไม่น่าเชื่อว่าของจีนจะทำ package ออกมาได้ดีจนน่าซื้อมาลองซะ..

ครั้งนี้ผมว่าเป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมซื้อของแบบรู้หรอกว่าเป็นของจีนแล้วก็ไม่ sure ใน quality เท่าไหร่ด้วยแตว่า ก็อีก . .ผมก็เผลอซื้อมาจนได้แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นของที่มีราคาก็ตามที่ สิ่งนั้นก็คือ "มีดโกนจีน" พันธ์แท้

คำว่าคุณภาพคือคุณสมบัติใดๆของสิ่งของหรือสิ่งที่เราซื้อมาแล้ว ที่ส่งผลต่อการใช้งานนั้น อย่างน้อยที่สุดมันก็ต้องทำงานเหมือนกับที่เราคาดหวังได้ด้วยระยะเวลาที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น หากว่าผมซื้อที่โกนหนวดมา มันก็ต้องโกนหนวดได้ครับ แล้วถ้าโกนได้ดีก็เรียกได้ว่าคุณภาพดี ด้ามจับและส่วนประกอบอื่นๆไม่ว่าจะเป็นสีของด้ามหรือว่าด้ามจับที่เป็นยางไม่ได้สะท้อนถึง Quality ของ product นั้นๆเท่าไหร่เลยครับ (มันไมได้เกี่ยวกันเลยก็ว่าได้ )

สังเกตผม package ของมีดโกนหนวดที่ผมทิ้งไปแล้วเนียะ มันดูดีเอามากๆ แล้วก็รูปลักษณ์อันไม่เกี่ยวกับคุณภาพมันก็ดูดีอีกต่างหาก ผมว่าคนที่ทำ product ออกมาตัวนี้ เค้ามีต้นทุนพวกนี้มากกว่า "ใบมีดโกน" เป็นไหนๆ แต่เค้าไม่รู้หรอกเหรอครับว่า "ใบมีดโกน" ต่างหากทีจะบอกว่า คณภาพของที่โกนหนวดเป็นอย่างไร ?

เอาล่ะผมว่าผมจะไม่คิดมากเรื่องนี้หรอก เพราะต้นทุนที่ผมซื้อมามันราคาต่ำมาก ถูกกว่าสเลิฟบี้ที่ขายที่ 7-11 ขนาดกลางซะอีก แล้วมันก็ราคาๆพอๆกับทาโร่ แต่ว่ามันแย่อย่างที่ว่า สิ่งเหล่านั้นเอาเข้าไปในตัวเพื่อกินแล้วให้ความพึงพอใจได้อยู่แต่ว่านี่ .. ใช้ก็ไม่ได้แล้วก็ยังจะสร้างความไม่พึงพอใจ(ชั่วครู่ให้เกิดขึ้นในใจผมได้ .. ถือว่าเก่งจะได้ แม้จะเป็นความไม่พึงพอใจอันน้อยนิดก็ตามอ่ แต่ว่าที่ผมพิมพ์นี่ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไรหรอกนะครับแค่อยากจะมานั่งคิดว่า อะไรเป็นอะไรเนี่ยะ .. ) ราคาที่ซื้อมา 18 บาท ครับ นั้นก็แปลว่าต้นทุนจะถูกกว่าอันละ 2 บาทด้วยซ้ำ โห .. ที่ผมได้ราคานี้เพราะว่าผมมี bank พัน เค้าไม่อยากจะทอน ถือว่าเป็นค่าประหยัดเวลาการทอนผมไป 2 บาท น่ะครับ เฮอะๆ ..

สรุปคือ ถ้าหากว่า เจออะไรน่าเสี่ยงอีกก็คงคิดว่าจะเสี่ยง(มั้ง)(.. พูดมั้งเหมือนโต๋วสักสิด ..) เพราะอะไรน่ะเหรอครับ package กับราคามาเย้าซะเหลือเกินน่ะครับ คิดว่าจะหลุดพ้นไปได้เหรอ ? ผมคิดว่าไม่น่ะครับเพราะว่าถ้าหากว่าคิดแล้วมันก็น่าจะได้ใช้งานก็อาจะเผลอซื้อสินค้าที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมอีกก็ได้น่ะครับผม

Sunday, January 18, 2009

พิมพ์นามบัตรแบบลำลองใช้เอง คิดว่าน่าจะได้แจกเร็วๆนี้

 
อยากจะมีนามบัตรๆเจ๋งๆออกแบบเองก็ได้เลยครับ วันนี้วันว่างไม่ได้คิดจะทำอะไรเป็นพิเศษ อยู่ๆเมื่อเช้าก็นอนนึกออกมาว่า ... เราทำนามบัตรเองดีกว่า เพราะว่า แบบที่ใช้อยู่มันดูเป็นทางการเกินไปหน่อย อยากจะทำแบบว่าไม่เป็นทางการ เอาไว้แจกคนอื่นเพื่อที่จะได้ติดต่อกันผ่าน IM หรือว่าการคุยกันผ่าน online ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (ยกเว้นฮิห้าน่ะครับ เพราะว่าผมไม่ได้เล่น ไม่อยากเอารูปตัวเองโชว์สักเท่าไหร่) ใน นามบัตรก็จะพิมพ์บอก gmail,blog ทั้งหลายแหล่ที่ผมพิมพ์เอาไว้ (แหมมันก็แค่สองแห่งเองไม่มากหรอก) แล้วก็โทรศัพท์มือถือ แล้ว msn และ skype ครับ คิดว่าคงจะได้แจกลองดูถ้าเจอคนที่ไม่เคยรู้จักแต่ว่าไม่ได้ติดต่อกันแบบ ธุรกิจ อะไรผมว่า นามบัตรแบบลำลองอย่างงี้ก็น่าจะใช้ได้ดีน่ะครับ
มีคนบอกผมว่า .. อืม .. น่าจะมีรูปปะเอาไว้ที่นามบัตรเลยก็ดีนะ ผมก็มานั่งคิดนอนคิด ..เอ .. มันไม่น่าจะดีเท่าไหร่ เพราะว่าปกติแล้วคนที่เจอกัน แบบที่เอานามบัตรให้ได้เค้าก็ต้องเห็นหน้าเราอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเอาภาพเรา(ตัวเป็นๆ)ปะเอาไว้ด้วยมันจะไม่เข้ากับ icon อื่นๆที่อยู่บนบัตรน่ะครับ เหตุผลอันเนื่องมาจาก design เนี่ยะหละเลยไม่เอาปะลงไปครับ อีกอย่างผมว่ามันแปลกๆน่ะครับ เพราะ คนที่เจอผมออนไลน์ก็จะเห็นแต่หน้าหมีแพนด้าของผม ยังไงผมว่านะ .. เค้าก็ต้องจำหมีแพนด้าได้อยู่ดีไม่จำเป็นต้องจำหน้าตัวจริงผมหรอกครับ เฮอะๆ . .
Posted by Picasa

Tuesday, January 13, 2009

ไปงาน concert Boyd Love Hope and Hapiness

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้ไปดู concert Boyd ที่ผมได้รับบัตรฟรีๆจาก AIA เหมือนกับว่าเป็นโครงการขอบคุณลูกค้าที่ผมว่าน่าจะประทับใจระดับต้นๆเลยก็ว่าได้ แล้วมันก็ดีกว่าการที่เราได้ไปดูหนังฟรีกว่าเป็นไหนๆ เพราะส่วนมากแล้วลูกค้าประกัน หรือไม่ก็ลูกค้ากองทุนรวมมักจะได้หนังฟรีมาดูกัน (แหม มันก็ราคาไม่เท่ากันแล้วเนาะเพราะว่าถ้าดูหนังก็แค่ 80 บาทอ่ะ .. แต่ว่าถ้าหากว่า ดู concert นี่แบบนี้ก็ พันบาทได้ ) ไม่น่าเชื่อว่าเค้าจะทุ่มทุนได้มากขนาดนี้เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้ายังไงก็จัดอีกแล้วกันนะครับอะไรที่เป็นของฟรีนี่เราก็ต้องชอบเป็นเรื่องธรรมดาน่ะครับ โดยเฉพาะการที่ได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆที่ไม่เคยทำนี่มันก็เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับของฟรีนั้นอยู่แล้วน่ะครับ คิดไปคิดมา ผมก็นั่งแปลกใจว่า ถ้าหากว่า อะไรก็ตามที่เป็นของฟรี มันจะพลังดึงดูดเพื่อที่ทำให้เราต้องออกแรงเพื่อไปหรือทำอะไรเพื่อให้ได้ของฟรีนั้นมา ยกตัวอย่างเช่นเราอาจจะต้องยืนรอคิวนานๆเพื่อให้ได้ไอติมฟรีมากิน หรือว่า ต้องเดินไปแลกที่ร้านค้าที่ระบุเท่านั้น

สำหรับกรณีของบัตรที่ได้จาก AIA ที่ว่าฟรีๆนี้มันก็ไม่ได้ได้มาฟรีๆเท่าไหร่นักหรอกครับ เพราะเริ่มต้น ผมได้รับมาอย่าวแรกจะเป็นจดหมายครับ แล้วในนั้นก็มีรหัสอะไรสักอย่างเพื่อเอาไว้อ้างอิง แล้วก็ต้องโทรไปหา thaiticketmajor ที่เป็น call center มันก็จะมีระบุเอาไว้ในจดหมายนั้น เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น เงื่อนไขทางเวลาถึงแม้ว่าจะกำหนดเป็นช่วงเวลาแต่ก็อีก เพราะว่า ผมรู้ว่า demand จะต้องเยอะแน่ๆ ทำให้ต้องตั้งหน้าตั้งตารอคอยเพื่อที่จะโทรทำการ "ยืนยัน" บัตรที่ตัวเองมีสิทธิ์ที่จะได้มันอยู่แล้ว แต่ว่าแปลกเนาะทำไมต้องยันกันอีกทีด้วยไม่ส่งมาเป้นตั๋วเลยก็หมดเรื่องนะนั่น .. หรือว่าเค้ากลัว่าจะหลุดไปที่อื่น (เป็นไปได้เหรอป่าวน้า ) แล้วตอนที่โทรก็โทรไม่ติด เรียกว่า ระบบของ call center มันก็ล่มจมไปจริงๆเพราะว่าเค้าไม่รู้เหรอครับว่า "Free!" หรือของ ฟรี เนียะมันมีแรงดึงดูดมากแค่ไหน ? ตอนที่โทรไปก็โทรไม่ติด ข้ามวันแล้วก็โทรไม่ติด ผมก็เริ่มออกอาการสงสารว่า ถ้าหากว่าเบอร์นี้เป็น call center เพียงเบอร์เดียว(ซึ่งปกติมันก็ควรจะมีเบอร์เดียวอยู่แล้ว) แล้วคนอื่นเค้าจะโทรไปจองตั๋วอื่นๆได้อย่างไร แสดงว่าคนที่โทรเข้ามาเพื่อยันสิทธิ์ concert นี้มันก็เยอะทำให้กระทบต่อการทำงานปกติของ call center แห่งนี้ แล้วมันก็เป็นอย่างงั้นจริงๆน่ะครับ ที่ผมรู้ก็เพราะว่า ผมออกแรงพิมพ์ email ออกมาอีกฉบับหนึ่งเพื่อร้องขอ สิทธิ์ที่ผมต้องได้อยู่แล้ว ไปกับทาง call center อีกทีพร้อมทั้งแสดงความสงสัยด้วยว่า ทำไมๆ ถึงได้โทรไม่ติดขนาดนี้ .. แล้วเช้าวันถัดไปก็มีโทรศัพท์มาหาผมแล้วก็บอกว่า ผมได้รับตั๋วแล้ว แล้วให้ไปติดต่อที่ Booth อีกครั้งเพื่อเอาบัตร แน่ะๆเห็นปะครับว่ายังไม่จบ เพราะต้องเดินทางเพื่อไปเอาบัตรเท่านั้นเอง ไม่มีการส่งมาให้ที่บ้านอะไรน่ะครับ อืม . การเดินทางเพื่อทำแค่นี้ก็ถือว่าเป็นการออกแรงอีกอย่างหนึ่งน่ะครับ (ออกแรงน้ำมันครับผม) และเมื่อไปถึง Booth ก็ได้รับบัตร ทำให้บัตรนี้เริ่มมีคุณค่าขึ้นมามากกว่าของฟรีที่ได้มาฟรีๆแบบอยู่เฉยๆแล้วซิครับคราวนี้เพราะว่ามันได้มาด้วยความไม่สบายเท่าไหร่นัก หรือเรียกได้อีกอย่างว่า เป็นของฟรีที่เริ่มต้นทุนแล้วยังไงอย่างงั้น

พอถึงเวลา concert เริ่มก็ต้องไปล่วงหน้าเหมือนกับที่มันควรจะเป็นเพราะว่ากลัวคนเยอะ รถเยอะเพราะได้รับคำขู่จากคุณพ่อป่าป๊าว่าถ้าหากว่าจะไปดูต้องระวังรถติด แต่ว่าตอนเดินทางไปรถุไม่ได้ติดเท่าไหร่เลย แม้ว่าเราจะไปถึงที่นั่นก่อนล่วงหน้าแค่ไม่เกินประมาณ 1 ชั่วโมง ทำให้มีเวลากินข้าวกินปลาได้อีก (แต่ว่าผมก็กินอะไรต่อมิอะไรมาแล้วจาก BigC แถวบ้านน่ะครับ) เมื่อถึงเวลาผมก็ต่อคิวเพื่อเดินเข้า Arena ที่ Impact น่ะหละครับ แต่ว่า ผมเดินผ่านระบบคนที่คอยดูว่ามีคนเอากล้องเข้ามาเหรอป่าว แต่ว่าผมไม่ได้พกติดตัวเอาไว้หรอกครับ ผมอ่ะเอากล้องไปฝากน้องสาวผมเอาไว้ ทำไมเค้าเมื่อผ่านระบบตรวจตรงนี้ก็โดน reject ออกมาให้เอา battary กล้องไปฝากไว้ก่อน .. แหม .. ถ้าตอนนั้นคิดออกแต่แรกว่า จริงๆ แค่ว่าบอกเค้าว่าฝากแล้ว แล้วก็ให้แยก battary กล้องออกไปไว้กับอีกคนหรือว่าเอาฝากกะผมก็ได้เพราะว่าผู้ชายไม่มีกระเป๋าเค้าก็ไมได้ตรวจอะไร แต่ว่าถ้าจะให้มิดกว่านั้นผมก็แค่เอาใส่ในกกนก็ได้ไม่เห็นจะแปลกอะไรน่ะครับเนาะ .. (หรือว่าแปลก) นั่นหละครับ ยังไงก็แล้วแต่น้องผมก็เข้าคิวอีกครั้งเพราะว่าเค้าออกจากคิวเพื่อเดินไปฝากของที่ห่างออกไปประมาณ 100 เมตร แล้วก็ถึงจะเข้ามาบริเวณงานconcert ได้ครับ

เข้ามาได้ไม่นานนักก็เริ่มร้องกันเลยไม่มีปี่มีขลุ่ยเริ่มคือ เริ่มดีแล้วน่ะครับ เป็นพวกที่รักษาเวลาดีมาก ไม่ต้องรอนาน ร้องก็ร้องเริ่มก็เริ่มดีมากครับอันนี้ผมชอบน่ะครับ นักร้องที่มาร้องก็จะเป็นพวกที่เรารู้จักกันอยู่แล้ว ก็กลุ่มก้วนคนร้องเพลงเพราะๆที่มาร้องไม่ว่าจะเป็นเบนชรา บอยไต กรูฟไรเด้อ.. โต๋วศักดิ์สิทธิ์แท่งทอง ก็มากันทั้งหมด แต่ว่าสังเกตไม่มีพรูมา เข้าใจว่าไม่เข้ากะพวกนี้สักเท่าไหร่ หรือว่าอาจจะทำตัวไม่ดีก็ได้แต่ว่าไม่อยากคิดอะไรอย่างงู้นอย่างนี้หรอกนะครับไม่มาก็ไม่เป็นไร

ผมก็อัดเสียงสั้นๆมาตอนหนึ่งตอนที่โต๋วเค้าร้องเพลง (กะโขกสับเปียโนอิเล็กโทรนิกส์อย่างสะใจ) พร้อมทั้งบรรยายเก็บเอาไว้ (ไม่แน่ว่าผมจะ post ไว้ที่นี่ได้เหรอ่ปาวน่ะครับถ้าหากว่าไม่มีก็ไม่มีน่ะครับ หาทางลองดูก่อนแล้วกันนะครับเพาะว่าผมไม่เคย post อะไรที่เป็นเสียงมาก่อน) concert นี้เป็น concert ประเภทตรงเวลาเรียกว่าจัดการเรื่องเวลาได้ดีเอามากๆครับ คือ เข้า 7 ครึ่งออก 10 ครึ่งเป้ะ เหมือนตั้งเวลาไว้อย่างไงอย่างงั้น กลับมาบ้านแล้ว สรุปว่า ผมก็ประทับใจกับ project นี้น่ะครับ .. แล้วก็เลยมาจดไว้ซะหน่อยว่าอะไรเป็นอะไร อ้อ .. น้องแนนนี่บอกว่าเค้าชอบเพลงเจงกิสข่าน แต่ว่าต้องเป็น version Korea หรือว่า Japanese ก็จะดีกว่า Thai version เพราะว่าที่งานมันมีร้องเพลงนี้ด้วยน่ะครับ เจ๋งครับผมคงหาดูก่อนว่าจะหามาได้เหรอป่าวถ้าได้แล้ว ก็จะเอาเพลงนี้ให้แนนนี่เค้าเอาไปทำเป็น ringtoneเวลามีคนโทรมาจะได้ร้องเพลงนี้ดังลั่น (น่าจะน่าเกลียดอยู่เหมือนกันนะ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก มันก็แสดงความเป็นตัวตนได้ดี ... ไม่ได้ว่าว่าน่าเกลียดอะไรหรอกนะแต่ว่า เป็นคนสนุกสนานต่างหาก เฮอะๆ )
 
ร้านไอติมที่ impact ก่อนที่จะเข้าไปดูแม้ว่าอากาศจะหนาวแต่อยากกินติมน่ะครับ (คนซื้อเยอะเหมือนกันแต่ว่าจ้าวนี้ไม่มี menu ดว้ยซิ)
 
คนก็เริ่มมากันเยอะและเนียะ
 
อาหารที่กินกันก่อนที่จะเข้าไปที่งาน concert ครับ (น้องปลากินน่ะครับ)
 
ภาพโรงอาหารที่เรามากินก่อนที่จะเข้างานครับ
Posted by Picasa

ดูดวง

ดวงประจำปีอันที่เกี่ยวเนื่องกับวันเกิดของผมอ่านๆดูแล้วเหมือนว่าจะดีน่ะครับ ยังไงก็ขอให้มันดีอย่างว่าก็แล้วกันเนาะ แต่ว่าเอ .. เรื่องความรักนี่ไม่น่าจะดีเท่าไหร่ แหม แต่ว่าทั้งปีทำไม predict มาให้แค่นี้เองอ่ะครับ แปลกจัง .. ยังไงลองหาผลการทำนายของคนอื่นๆดูเทียบน่าจะดีกว่า เพราะว่า ดูดวงก็เหมือนกะการเดานั่นเอง (แต่ว่าทำให้เหมือนกับว่ามีหลักการก็เท่านั้นเอง ) แต่ผมก็ชอบดูอยู่หรอกนะ แบบที่ไม่เสียเงินน่ะนะ ..เฮอะๆ ..

ดูดวง ปี 2552 กับ อ.ธีระ พึ่งนิล

ท่านที่เกิดระหว่างวันที่ 17 ต.ค. – 15 พ.ย.
การ งาน จะหยิบจับอะไรเกี่ยวกับงานดูเหมือนโชคจะเข้าข้างท่านสำหรับในปีนี้ หากคิดจะลงทุน หรือขยายกิจการก็มีแนวโน้มที่จะประสบผลสำเร็จที่ดี
การ เงิน จะติดต่อเรื่องใดเกี่ยวกับการเงินอย่ามัวแต่ชักช้า โอกาสทองอาจจะหลุดลอยไปได้ หากเห็นช่องทางใดในการทำเงินขอให้เร่งดำเนินการ
ความรัก ระวังจะมีการสูญเสียในเรื่องของความรัก หรือของสูญหาย
อื่น ๆ การทำงานร่วมกัน หรือขอคำปรึกษาก่อนดำเนินการใด ๆ มีโอกาสสำเร็จ


(ที่มาได้จาก fwd mail ทั่วไปน่ะครับ จำไม่ได้แล้วด้วยว่าได้มาจากใครเอ .. น่าจะมีแค่ไม่กี่คนล่ะ แต่ว่าขอบคุณสำหรับแหล่งที่มาน่ะครับ แต่ก็ต้องขอโทษด้วยที่ระบุชัดๆไม่ได้น่ะครับ แย่หน่อยเนาะเรา ..)

วิธีหาขูดเงินออกจากกระเป๋ากับแนวคิดการตั้งราคาของร้านโชคชัยสเต้กเฮ้าส์

 
 
 
 
ตอนที่เดินทางกลับบ้านหลายครั้งที่หิวระหว่างทาง ผมเดินทางจากโรงงานที่สระบุรีแล้วก็เข้ามาที่กทม เพราะว่าบ้านพักอยู่ที่กทมแต่ว่าก็ต้องดูงานที่โรงงาน อืม อ่านแล้วไม่น่าจะงงอะไรนะครับ ก็วันไหนหิวผมก็แวะไปกินร้านสเต้กโชคชัย เพราะมากับนายทุน (คุณพ่อผมเอง) เป็นประจำ แต่ว่าผมเนี่ยะก็ไม่ได้สั่งอะไรที่มันมีราคาหรูหรานักหรอกเพราะว่า มันไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องกินอะไรที่แพงเท่าไหรน่ะครับ แล้วแนวคิดของการตั้งราคาขายสำหรับร้านนี้เหมือนว่าจะเป็นอาการแบบ starbuck ครับ คือ ออกมาแนวที่ถ้าหากว่าคุณมีเงินจ่ายเท่าไหร่หรอืว่าคุณพอใจที่จะจ่ายเท่าไหร่ คุณก็น่าจะเลือกรายการอาหารที่มีราคาเท่าที่คุณพอใจจะจ่ายครับ หมายความว่า ราคาที่แสดงที่หน้าเมนูไม่ได้สะท้อนถึงราคาที่มาจากต้นทุนสักเท่าไหร่นัก เพราะอะไรน่ะเหรอครับ สังเกตได้ว่าเนื้อที่ผ่านการ aging หรือเรียกง่ายๆว่าเก็บเอาไว้ที่ห้องเย็นให้นานกว่าเดิม มันก็ไม่ได้เป็นเพิ่มต้นทุนสำหรับทางร้านอาหารเท่าไหร่ แต่ว่าคนซื้อเนี่ยะ จะต้องเสียเงินไม่เท่ากันอย่างแน่แท้ แล้วก็คนซื้อก็ไม่ได้รับรู้สักเท่าไหร่ด้วยว่าของมันดีกว่ากันมากมายนักสมราคาที่จะต้องจ่ายเพิ่มเติมเข้าไปอีกหรือไม่อย่างไร เพราะฉะนั้นคนที่คิดจะเลือกเมนูก็จะเหลือแนวคิดแค่ว่า อืม .. วันนี้เรามีเงินเท่านี้แล้วก็พอใจจ่ายเท่านี้สำหรับอาหารมื้อนี้ก็จะเลือกอาหารรายการนั้นๆที่มีราคาเหมาะสมกับที่อยากจะจ่าย หรือมองกลับกันทางร้านอาหารก็จะได้ประโยชน์เชิงว่า เค้าก็จะได้ขูดเงินออกมาจากกระเป๋าสำหรับคนที่พอใจจะจ่ายได้มากที่สุดเท่าที่จะมากด้วยวิธีการตั้งราคาให้มี range ที่กว้างแตกต่างกันออกไปมากๆ (แบบไม่ต้องพิจารณาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย) ไม่รู้ว่าผมคิดถูกหรือผิดยังไง แต่ว่าผมคิดอย่างงี้น่ะครับ ใครมีความเห็นอะไรอื่นก็เม้นท์กันได้น่ะครับไม่ว่ากัน เม้นท์ได้นะครับผม ^_^

โทรศัพท์แปลงเสียงจีนๆ..ซื้อมาได้...

เมื่อวานก่อนผมโทรศัพท์ไปหาสาวคนนึงไม่ได้โทรติดต่ออะไรผ่านการพูดคุยกันแบบจริงๆ มานานหลายเดือนแล้วเพราะปกติแล้วผมจะเจอผู้คนก็ต่อเมื่อ online ไม่ว่าจะเป็น skype หรือว่าเป็น msn ก็สุดแล้วแต่ว่าเพื่อนๆหรือคนรู้จักเค้าใช้อะไรผมก็จะ online อันนั้นดูว่าจะได้คุยกันหรือไม่ จนเหมือนกับว่าไม่ได้มีการโทรศัพท์พูดกันเลย ทั้งหมดเป็นการพิมพ์ผ่านระบบ IM ทั้งหมดแต่ว่าเสียงปกติตอนที่เคยคุยโทรศัพท์หากันผมก็พอจำได้หรอกครับว่ามันเป็นยังไง

แต่แล้วอย่างที่ว่าล่ะครับก็โทรไปแล้วคนรับเสียงไม่เหมือนกับเสียงที่ผมคุ้นหูสักเท่าไหร่ เหมือนกับว่าคนรับเป็นเพื่อนสนิทของเค้า (เพื่อนคนนี้เค้าจะเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ) ทำผมเมื่อได้ยินเสียงรับโทรศัพท์แล้วก็นึกว่าเอาเป็นเพื่อนเค้าแทนที่จะเป็นตัวเค้าเอง สิ่งที่ผมทำได้ก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะว่า ถ้าหากว่าเพื่อนเค้าจะเล่นปลอมตัวมาเป็นเจ้าของโทรศัพท์ ก็แสดงว่าต้องขี้เล่นเอามากๆเพราะว่าคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแล้วมารับแกล้งทำเป็นคนรู้จักกันนี่ก็ถือได้ว่า สาระแนโชว์ยังยอมแพ้น่ะครับ แต่ถึงแม้ว่าผมจะคิดได้อย่างงั้นก็ตามผมก็ไม่แน่ใจอยู่ดี ผมก็เลยลองโทรศัพท์ไปอีกเบอร์ แล้วก็ปรากฏว่าก็ได้เสียงคนเดิมรับสายเหมือนเดิม แต่ว่าคราวนี้ผมลองคุยดูว่า เป็นตัวจริงเหรอป่าว เช่นการถามเนื้อหาใดๆที่เพิ่งคุยกันเมื่อกลางวันผ่าน skype หรืออะไรแล้วแต่ขุดเรื่องมาพูดแล้วปรากฏว่า เสียงนั้น เป็นเสียงของคนที่เป็นเจ้าของเบอร์จริง ! แต่ว่า ทำไมล่ะ เสียงถึงได้เป็นอย่างงั้น ? ผมก็สงสัยอยู่กับตัวเอง ผมก็ถามเค้าไปว่า นี่ .. เธอ อาการป่วยทางคอเหรอป่าวน้า .. หรือว่า เป็นอะไรไม่ได้คุยนานทำไมเสียงเปลี่ยนไป แต่แล้ว ผลลัพธ์หรือสาเหตุก็สุดแล้วแต่จะเรียกกลับกลายเป็นว่า สาเหตุที่ทำให้เสียงเปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนีก็เพราะว่า"โทรศัพท์จีน"ที่ซื้อมาใหม่ล่าสุดเครื่องเดียวสองซิมนี่เอง ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่สองพันกว่าเท่านั้น (แสดงว่าต้นทุนต้องถูกกว่านั้นเอามากๆ) พูดง่ายๆก็คือ ความดีงามของมันเมื่อมาหักลบด้วยราคาแล้วก็จะได้เท่ากับจุดด้อยที่มองไม่เห็นตอนที่ซื้อ แนวคิดแบบนี้น่าจะเอามาคิดกับสินค้าจีนได้ไม่ยากนัก เพราะ มันดีอะไรอย่างมันก็น่าจะไม่ดีอะไรอีกหลายอย่างแทนนั่นเอง (สำหรับสินค้าจีนเท่าที่เห็นมาน่ะครับ) ปรากฏว่า การที่โทรศัพท์ทำให้เสียงเปลี่ยนไปนี่เป็นผลรุนแรงมากถึงขนาดป้าแท้ๆของตัวเค้าเองก็โทรมาแล้วคุยกันก็นึกว่สาคุยกับคนอืน่ แล้วถึงกับวางสายตกใจไปเลยก็ว่าได้ เพื่อนๆที่คุยกันถึงแม้ว่าจะแน่ใจว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงก็ยังไม่อยากจะโทรไป รวมถึงผมด้วยน่ะครับ ยังไง โทรศัพท์มือถือจีนระวังให้ดีก็แล้วกัน เดี๋ยวซื้อมาแล้วก็จะกลายเป็นมือถือแปลงเสียงสำหรับสายลับไปซะงั้นน่ะครับ เฮอะๆ..

Tuesday, January 06, 2009

hachi ร้านอาหารแนวเทปันยากิ

 

 

 

 

เหมือนกับว่าร้านนี้พยายามจะทำตัวให้เหมือนกับว่า จะมีการผัดอาหารตรงหน้าให้ดูแต่ว่าการผัดนั้นก็ไม่ได้ฟู่ฟาหวือหวาอะไรสักเท่าไหร่ ทำให้อาหารดูไม่มีรสชาติมากนัก น้ำจิ้มที่เอามาวางก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย นอกจากนี้น้ำจิ้มที่เป็นมายองเนส ก็เป็นแบบที่มีการแช่เย็นแข็งเอาไว้แล้วเกิดอาการแยกชั้นของมันออกจากกันทำให้ดูไม่น่ากันเท่าไหร่นัก

ลักษณะของเนื้อความนุ่มไม่ได้โดดเด่นอะไร หากเมื่อเทียบกับราคาด้วยแล้ว ที่ราคาระดับ 380 บาทต่อ 200 กรัมนั้นยังมีร้านอาหารอื่นที่ให้ความคุ้มค่าได้มากกว่าอยู่มากมายหลายร้านนัก ทำให้ review โดยรวมแล้วถือว่าเป็นร้านที่พยายามทำตัวให้หรูหรา แต่ว่าคงต้องปรับปรุงวิธีการปรุงอาหารน้ำจิ้มแล้วก็พื้นของร้านให้ดูมีราคามากกว่านี้ ถ้าหากว่าค้องการจับตลาดราคาบนประมาณนี้ เพราะเห็นที่ เมนูจะมีเนื้อราคา hi end ด้วยแต่ไม่กล้าที่จะสั่งเพราะมันต้องมั่นใจเสืยก่อนว่าร้านสามารถทำออกได้อร่อย เพราะหากว่ามีเนื้อดีแล้วแต่การทำอาหารปรุงรสออกมาได้ไม่ถึง ก็ถือได้ว่า เอาเนื้อไปทิ้งพร้อมกับราคาค่างวดที่แพงลิบตามเอาไว้ด้วย

โดยรวมแล้วร้านนี้ต้องมีการปรับตรงอีกมากครับไม่ว่าจะเป็นรสชาติหรือการปรุงอาหารที่ผมเข้าใจว่าอยากจะเอามาเป็นจุดขาย แต่สำหรับตอนนี้ยังห่างไกลความจริงอยู่ครับ

คนที่ search ผ่าน Google คิดว่าน่าจะเจอเนื้อความที่ผมเขียนเอาไว้แต่ว่ามันก็เป็น review ส่วนตัวน่ะครับหวังว่าคงไ่ม่คิดมากอะไร(แต่ว่าแหม ..บอกประมาณนี้ผมว่าก็ถ้าเข้ามาอ่านจริงๆก็น่าจะมีผลกระทบต่อความคิดว่าจะไปกินดีหรือไม่ว่าไม่กินดี) ทำไมผมถึงเขียนเอาไว้ที่ Blog ผมด้วยน่ะเหรอครับ ? เพราะว่าอยากจะทดสอบว่าเมื่อไหร่ keyword คำว่า "hachi" จะแสดงหน้า BLog นี้ของผมครับ เพราะผมเคย search ดูแล้วมันมีการ review ไปในทางที่ดีมาแล้ว แต่ว่าผมไปกินแล้วมันก็ไม่ได้ดีถึงขนาดนั้นหรอกนะครับ เพราะฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่า การ Blogging สีส่วนมากสำหรับร้านอาหารหรือว่าธุรกิจใดๆที่ ผู็บริโภคหาข้อมูลได้ผ่านทาง Google และมันจะมีผลมากหากว่า มันเป็น positive feedback ครับ เพราะมันเหมือนเป็นการบอกต่อๆปากต่อปากแต่ว่าไ่ม่ได้แบบเห็นหน้าเห็นตากัน แล้วคนที่บอกปากต่อปากนั้น ไม่ต้องรู้จักกันมาก่อน ถ้าอย่างงั้นแล้วแนะนำว่าหากว่า ใครก็ตามที่มีความคิดที่จะทำธุรกิจให้ สร้าง BLog ดักเอาไว้ก่อนแล้วก็คอยดูเรื่องๆว่า มี review ที่ไม่ดีอะไรแสดงออกผ่านทางการ search หรือไม่ หากว่ามีต้องสร้าง content ออกมาเพื่อดักหรือดันเนื้ัอความเหล่านั้นให้อยู่ที่หน้าถัดไป (เพราะคนส่วนใหญ่ไม่กดหน้าสองสักเท่าไหร่ ถ้าหากว่าไม่ไำด้อยากจะค้นหาข้อมูลจริงๆจังๆหรือว่าต้องส่งเป้นการบ้านให้กับครูน่ะครับ) .. แล้วผมละรอดูว่า keyword ของผมที่แปะเอาไว้จะแสดงที่ Google ในเวลากี่วันกันแน่อยากรู้เหมือนกันน่ะครับผม

Monday, January 05, 2009

สรุปความอ่าน Increase your Financial IQ แล้วได้อะไรยังไงมั่ง?

ผมอ่านหนังสือเรื่อง "พ่อรวยสอนปลุกอัจฉริยภาพทางการเงิน" (Increase your Financial IQ) แล้วจบเล่มปุ้บก็มาลองพิมพ์ดูว่า จำอะไรหรือว่ารู้อะไรเพิ่มเติมจาก ตาโรเบริ์ต ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ออกมาน่ะครับ

คิดๆ ... อืม ... ได้ไม่มากเท่าไหร่ครับ เพราะถ้าหากว่า เคยอ่านเรื่องพ่อรวยสอนลูกมาแล้ว .. มันก็ไม่ได้อะไรแปลกใหม่หรือเป็น concept ใหม่อะไรมากนัก หนังสือเล่มนี้เหมือนกับว่าจะแต่งแค่ไม่นานมากนักแล้วก็ออกพิมพ์ทันทีเพื่อแปลงเป็น ทรัพย์สิน เพื่อสร้างรายได้ ในอนาคตของ Robert เค้าเองน่ะหละแล้วก็เพื่อเอาไป promote สินค้าอื่นๆ ของเค้าไม่ว่าจะเป็น เกมส์กระแสเงินสด หรือหนังสือเล่มอื่นๆของเค้าก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีสำหรับคนที่ฉลาดทางการตลาดอยู่แล้ว เค้าไม่ได้ผิดอะไรหรอกครับ แต่ว่านั่นก็แปลว่าคุณก็ซื้อหนังสือเล่มนี้มาก็เป็นการซื้อ ads มาด้วยส่วนหนึ่งครับผม (ก็เหมือนกับตอนที่เราซื้อ magazine นั่นหละครับ)

โดยรวมแล้วสิ่งที่ต้องการจะสื่อก็คือว่า ตัวเค้าไม่อยากจะอยู่ในสภาพของคุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่ามาตราฐาน(มันไม่มีมาตราฐานอะไรจริงๆหรอก) สำหรับตัวเขาเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนผมก็ว่ามันก็น่าจะมีมาตราฐานสำหรับการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนแตกต่างกันไป เรียกง่ายๆว่า ความพอใจ ในการดำเนินและใช้ชีวิตเสียมากกว่าครับ ตา Roburt เหมือนจะผ่านประสบการณ์ที่เกิดความกดดันในชีวิตมาได้หลายเรื่องหลายราว แล้วเค้ากระตุ้นตัวเองเพื่อให้หลุดพ้นจากปัญหาเหล่านั้น เหมือนกับว่าเรื่องการเจอปัญหาเป็นเรือ่งปกติ ซึ่งนั้นก็เป็น เรื่องปกติจริงๆครับ สำหรับการใช้ชีวิตเพื่อให้เกิดความหวือหวาสนุกสนานเดือดร้อนและกดดัน พลุ่งพล่านไปกับอารมณ์ความตื่นเต้นที่ได้เจอะเจอมากอันเนื่องมาจากการลงทุนครับ เค้ามองว่าสิ่งนี้เป็นความตื่นเต้นซะมากกว่า เหมือนในใจบอกตัวเองได้ว่า ปัญหามันเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นก็ตื่นเต้นไปกับมันจะได้สนุก แล้วดูท่าทางว่าเค้าก็คิดแบบนั้นจริงๆน่ะหละ

ความพอเพียงของเค้าก็คือการได้ใช้ชีวิตที่หรูหราเป็นแรงขับซึ่งมองแล้วอาจจะแปลกๆขัดๆกับความรู้สึกของคนเมืองพุทธสักกะหน่อยที่บอกว่า เราควรพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่มีอยู่ แต่ว่าให้มาตามหา นิพพานกันจะได้บุญกว่า .. พุทธบอกว่า ทุกข์สุขอยู่ที่ใจจริงๆ แต่ตาโรเบริ์ตเค้าก็ดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้อยู่ว่า ทุกข์สุขอยู่ที่ใจ แต่เค้าจะไม่อยู่ในสภาพที่ในสายตาเห็นว่ามันเป็นสภาพการใช้ชีวิตที่ต่ำกว่ามาตราฐาน(สำหรับเค้า)

ตาโรเบิร์ตให้มุมมองต่อการเป็นหนี้ที่แปลกออกไป และเรียกสิ่งนั้นว่า พลังทวี ซึ่งฟังดูดีเอามากๆ ยกตัวอย่างเช่น หากว่าเราเอาเงินคนอื่นมาลงทุนโดยการกู้(เพราะเราหาทางอื่นไม่ได้แล้วไม่ว่าจากพ่อแม่เพื่อนฝูงเพื่อให้ไม่มีดอกเลยจะดีกว่า)แล้วก็เอาไปลงทุนอะไรก็ได้ที่ "ควบคุมได้" แล้วหักจบลบหนี้แล้ว ได้กำไรต่อเวลามา กำไรนั้น คือพลังทวีระดับ infinite ตรงข้ามกับการเอาเงินตัวเองทั้งหมดไปลงทุนแล้วได้กำไรมา 1 หน่วยที่เท่ากัน แต่ว่าพลังทวี คือ 1 ต่อ 1 เท่านั้น (เพราะไม่มีสัดส่วนของเงินคนอื่นอยู่เลย OPM : Other people money) นั้นก็มีการอธิบายว่า คนที่ใช้เงินคนอื่นจะ Financial IQ มากกว่า (ในหัวข้อเฉพาะพลังทวี) ผมว่าเรื่องนี้มันสะท้อนความจริงที่ดีอย่างหนึ่งคือว่า ถ้าคุณเป็นคนที่มีความสามารถฉลาดทางเงินแล้ว การทำงานบริหารเงิน งาน ธุรกิจไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ หากก้อนลงทุนมันกว้างกว่า มันก็เป็นตัวคูณที่สูงกว่าอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากอะไรเพราะมันก็เหนื่อยเท่าๆกันระหว่างการเป็นหนี้ร้อยล้าน กับการเป็นหนี้พันล้าน (ผมก็เคยคิดแนวนี้อยู่เหมือนกันว่าการเป็นหนี้นั้นเป็นสิ่งที่ดีแน่นอนหากว่าคนจัดการสามารถสร้างผลกำไรงอกเงยออกมาได้ดว้ย % ที่เท่าๆกัน) เรียกง่ายๆว่า Think Big เป็นแนวคิดเดียวกันกับเรื่องพลังทวีนี้นั่นเอง

จริงๆแล้วพลังทวี ถ้าคนอ่านปกติจะคิดว่าต้องกู้เพื่อให้ได้พลังทวี แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่าน่าจะเน้นที่ "เงินคนอื่น" จะดีกว่าการกู้ (แต่ว่า case ที่เค้ายกตัวอย่างมาเป็นการกู้น่ะครับ) เพราะ โดยหลักการแล้ว การขอเงินจากคนอื่นที่ไม่ต้องจ่ายดอกนั้นย่อมดีกว่าขอจากคนที่ต้องจ่ายดอก เพราะฉะนั้นการกู้จาก bank จะเป็นทางเลือกหลังๆ โดยดูว่าต้องจ่ายกลับไปเท่าไหร่ต่อเวลามากกว่าประเด็นอื่นๆ ครับ

ความฉลาดทางการเงิน ตาโรเบริ์ต แบ่งออกมาได้เป็นข้อๆ โดยเริ่มประเด็น คิดแบบไม่ยาก common sense สุดๆ คือ

หาเงินให้ได้มากขึ้น
จ่ายออกไปให้น้อยลง(ในหนังสือเรียกว่า ปกป้องเงินที่หามาได้)
จัดทำงบประมาณ
สร้างพลังทวี
จัดการกับข้อมูลข่าวสารทางการเงิน

การหาเงินให้ได้มากขึ้น เน้นหนักไปที่การแก้ปัญหา ไม่ได้แก้ปัญหาตัวเองหรอกครับ แก้ให้คนอื่นต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาอะไรก็ตามที่มีอยู่แล้วล้านแปด หรือว่าปัญหาที่มันไม่เคยมีมาก่อน แต่ว่าก็ทำให้มันเป็นปัญหาได้ไม่ยาก (เหืมอนที่ผมเคยรู้ว่า แต่ก่อนน้ำยาบ้วนปากหรืออาการปากเหม็นมันไม่ได้เป็นปัญหาหรอก แต่ ads ของน้ำยาบ้วนปากก็ทำให้มัเป้นปัญหาซะงั้นน่ะ) หา solution มาเพื่อแก้ปัญหา มันเป็นการหาเงินได้ให้เพิ่มมากขึ้นครับ สำหรับคนเขียนเค้าบอกว่า ภรรยาเค้าแก้ปัญหาให้คนที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่ดีได้ในราคาที่ต่ำกว่าการซื้อนั่นก็คือการเช่า แล้วให้ค่าเช่า refresh ค่าเงินต่อเวลาออกมาเอง แล้วเอาไปจ่าย costing ทั้งหลายครับ

ปกป้องเงินที่หามาได้ เล่าถึงว่า เงินมันออกจากกระเป๋าไปได้ยังไงแบบไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นการหลุดออกไปจากระบบภาษี หรือ ระบบตัดเงินเพื่อเตรียมแก่ ที่เก็บจากลูกจ้างและนายจ้างไปก่อน หรือ แม้กระทั่งแนวคิดแบบสุดโต่ง(แต่ว่าสำคัญ) คือ การเอาเงินออกไปจากคู่รัก(แฟน หรือว่าไม่ได้รักกันจริง หรือรักกันจริงแต่ตอนหลังไม่ได้รักกันแล้ว) ก็ต้องระวังเอาไว้ เหมือนกับว่าเรื่องการเงินก็ต้องมีแผนการ A และ แผน B เอาไว้แล้วเช่นเดียวกัน แยกเงินแยกอะไรกันไว้ให้พร้อมแยกทางกันว่าอย่างงั้น ผมว่าคิดแบบนี้เป็นการคิดของคนฉลาด เพราะมีการอ้างอิงสัดส่วนการหย่าร้างที่สูงมากของพวกฝรั่งมังค่าว่า มีถึง 50 50 แต่ว่าผมว่าไทยไม่น่าจะถึงนะ (เดาเอา) concept อีกประเด็นที่สำคัญก็คือ เมื่อเงินเป็นกระแสเงินตรา currency แล้วค่าเงินจะด้อยค่าไป (สำหรับเงิน US Dollar) แต่ว่าของไทยอันนี้คิดว่าน่าจะด้อยน้อยกว่าครับ ไม่น่าจะเหมือนกัน แต่ว่าอยางไรก็ตาม concept ที่เอามาใช้ได้ก็คือ อย่าคิดว่า การลงทุนแล้วตัวเลขทรัพย์สินประเมินมันสูงขึ้น มันไม่ได้แปลว่าคุณมีเงินมากขึ้นแต่อย่างใด แต่มันอาจจะเป็นเพราะว่าเงินมันด้อยค่าลงไปก็ได้ ตัวเลขที่เห็นมันก็แค่สะท้อนที่ทรัพย์สินอันนั้นมันยังมีมูลค่าประมาณเดิมด้วยตัวเลขใหม่ที่ดูเหมือนเยอะขึ้นเท่านั้นเอง ซึ่งส่วนตัวแล้วผมก็ตีความเป็นลักษณะของเงินเฟ้อนั่นหละ สมมุติว่าคุณได้เงินเดือนมาแล้วคุณด้วยอัตราเงินเฟ้อ ออกมาเป็นตัวเลขใหม่ นั่นก็แปลว่ามูลค่าตัวคุณไม่ได้เพิ่มต่อบริษัทเอาซะเลย (หรือว่าเพิ่มแต่ว่าแน่นอนว่าบริษัทใดๆ จะต้องขูดเลือดเนื้อการทำงานและผลงานที่มีมูลค่าเป็นอย่างน้อยสิบเท่าของเงินที่จ่ายไป ไม่อย่างงั้นบริษัทก็อยู่ไม่ได้ต้องออกจากธุรกิจไปครับ หรือในทางกลับกันถ้าหากว่าคุณเป็นลูกจ้างก็ต้องรู้เอาไว้ว่า มันเป็นนโยบายแบบทีไม่ต้องแจ้งแถลงไขอะไรว่าคุณต้องทำงานเพื่อให้ได้มูลค่าออกมาเป็นสิบเท่า เพื่อให้ถึงจุด optimal ของการว่าจ้าง แหม .. แต่ว่ามันเหนื่อยอยู่หรอกนะกับสิบเท่าเนียะ แต่ว่าได้เงินเท่าเดียว เฮอะๆ เข้าใจๆ )

การจ่ายเงินออกไปนั้นอาจจะต้องเริ่มคิดว่า "เอ .. ไปสินค้าหรือว่าบริการที่ซื้อเนียะมันทำให้รวยขึ้นเหรอป่าวน้า .." ถ้าหากว่าซื้อแล้วจนลง (แล้วจะไม่ซื้อเหรอ เพราะมันสะท้อนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ต่ำกว่ามาตราฐานของนายโรเบริ์ตอยู่ . เหมือนจะขัดๆกันยังไงไม่รู้) แต่ที่แน่ๆหากว่าการซื้อนั้นมีแนวโน้มว่าจะทำให้รวยขึ้นก็น่าจะซื้อเอาไว้ เช่น หนังสือ สมาชิก online ราคาทอง ( ผมเคยหาแล้ว ถ้าเป็นของฟรีเนียะไม่ได้เรืองไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าของเสียเงินรายเดือนมันจะได้เรื่องเหรอป่าว) เป็นต้น

จัดทำงบประมาณ เหมือนกับเป็นการแบ่งเงินรายได้จ่ายตัวเองก่อนที่จะจ่ายคนอื่น แล้วเอาความเดือดร้อนที่จะต้องจ่ายคนอื่นถ้าหากว่าไม่ครบมาเป็นแรงกดดันเพื่อที่จะรักษามาตราฐานความเป็นอยู่ให้เหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิมให้ได้ การจ่ายให้กับตัวเอง เค้าก็จะเอาเงินก้อนนั้นไปลงทุนย้ายไปส่วนใดๆที่เป็นทรัพย์สิน (เพื่อสร้างรายได้ต่อไป ) เค้าว่าเค้าทำแบบนั้นน่ะนะ .. เค้าจะไม่เลือกที่จะลดมาตราฐานการดำเนินชีวิตของเขาหรอก แต่ว่าเลือกที่จะกดดันเพื่อเพิ่มหารายได้มากกว่า แน่ล่ะครับ เป็นวิธีการกดดันที่รุนแรงดีมากเอาการครับ เรียกว่าทุบหม้อข้าวกันเลยครับนั่น แนะนำทำอยู่น่ะครับสำหรับคนที่มีไฟจริง (แหมแต่ก็อีกล่ะจะทำให้ได้ก็ต้องมีไฟน่ะหละครับ)

สร้างพลังทวี ผมก็เล่าไปแล้วน่ะครับก็คือทำตัวคูณรายได้เยอะๆ โดยใช้เงินคนอื่นให้มากที่สุด แล้วเอาเงินตัวเองไปขยายทำอย่างอื่น ที่สร้างรายได้จากการลงทุนอื่นๆอีก .. มีการ refinance ของอสังหาริมทรัพย์ (กรณีตัวอย่าง) เพื่อที่จะเอาเงินตัวเองออกมาให้หมด แล้วให้เงินค่าเช่า โปะดอกจากกการกู้ จ่าย costing แล้วเหลือเอาเงินเก็บเข้าตัวได้โดยสมบูรณ์ไม่มีเงินตัวเองเข้ามาเกี่ยวอีกต่อไป เกี่ยวแค่ตอนที่มันเป็นรายรับเข้ากระเป๋าเท่านั้นโห .. ทำได้อย่างงั้นนี่ก็เรียกว่า พลังทวีระบบ infinite

จัดการกับข้อมูลข่าวสารการเงิน การคิดแบบนี้จะต้องรู้ก่อนว่า ข้อมูลที่ลอยคว้างอยู่นี่ไม่ว่าจะ online หรือว่า offline มันมีข้อมูลแบบความคิดเห็น และ ข้อเท็จจริง ผมว่าเราแยกแยะออกได้ไม่ยาก แลวแยกได้แล้วทำไม ข้อเท็จจริง เราก็ต้องเอามาคิดเพื่อให้ได้ข้อคิดเห็นที่เป็นแนวโน้ม(เป็นสิ่งที่ทำกันอยู่แล้วสำหรับพวกเล่นทองเล่นหุ้นเสี่ยงกับกราฟ ที่ตัวเองไม่มีอำนาจควบคุมใดๆยกเว้นสั่งซื้อและขายเท่านั้น ผมลืมเล่าเรื่องการควบคุมไป มันก็คือ การกำหนดได้ว่าจะเอารายได้เท่าไหร่ (กรณีตัวอย่างคือกำหนดค่าเช่า) รายจ่ายเท่าไหร่ costing ต้นทุนการบริหาร เป็นต้น สังเกตมันควบคุมได้เพิ่มขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ทั้งๆที่จริงแล้วยังมีส่วนที่ควบคุมไม่ได้อีก แต่ว่าหนังสือไม่ได้เล่าว่าถึงแม้ว่ามันจะควบคุมได้อย่างงั้นจริงๆ มันก็มีสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ปะปนกันมาอยู่แล้ว เช่นค่าเช่าที่เค้ายกตัวอย่างควบคุมได้ แต่ผมยกตัวอย่าง ปัจจับที่คุมไม่ได้ที่กระทบต่อการกำหนดราคาค่าเช่าที่คิดว่าควบคุมได้ เช่น บ้านถูก คนซื้อเป็นบ้านมาอยู่กัน คนรวยเยอะกว่าเดิม เป็นต้น ฟังดูไม่ make sense เท่าไหร่แต่ว่านั่นหละมันอย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่คุมไมได้ถ้ามันจะเป็นอย่างงั้น ไม่อย่างงั้นทักษิณคงไม่อยากควบคุมในสิ่งที่คนปกติคุมไม่ได้หรอก เกี่ยวกันเหรอป่าวน้า . .) การรู้ข่าววงใน หรือเป็นคนวงในให้ได้ (แอ้ะนี่ผมก็คิดถึงเรื่องตอนเงินบาทแข็งค่า แหม ถ้าหากว่าผมรู้ว่าจะการก้าวกระโดดของเงินไทยต่อ USD เนียะนะ .. แหม แต่ก็อีกก็มีคนในที่รู้ได้เงินไปนับไม่ถ้วนอีกน่ะหละ ความจริง ก็คือ insider อย่างไรก็ดีกว่าพวกที่อยู่นอกวงโคจรวันยังค่ำ ความจริงที่ต้องยอมรับล่ะนะ ) รู้ข่าวที่เกี่ยวข้องให้มาก แยกแยะและประมวลออกเพื่อสรุปเป็นความคิดของตัวเองอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วเชื่อมันไปก่อน (เพราะก็อีก ถ้าหากว่าเป้นความคิดเห็นปุ้บมันไม่ถูกเสมอหรอก)

มีเรื่องแปลกใจที่ได้จากการอ่านก็คือ(เป็นเรื่องที่ไม่ได้เคยคิดแบบนี้มาก่อน) การออม เก็บเงินเป็นรูปเงินไม่ใช่เรื่องฉลาด แต่ว่าต้องเอามาวางเป็นรูปทรัพย์สินที่อย่างน้อยมันก็ต้องคงค่าเอาไว้หรือขยายค่าได้ด้วยตัวของมันเอง จะดีกว่า การเอาเงินไปซื้อกองทุนรวมๆให้คนอื่นบริหาร เป็นการเพิ่มความเสี่ยงเพราะ ควบคุมไม่ได้ หรือ เราเสียโอกาสที่จะฉลาดทางการเงินเพิ่มขึ้น (หากว่ามันไปเจอเรื่องไม่ดีเข้าก็จะได้ฉลาดกว่าเดิม แต่ว่าที่แน่ๆคือเอาไปให้คนอื่นควบคุมให้ เค้าไม่ได้คิดหรอกว่าเป็นเงินเค้า สิ่งที่เค้าตอ้งทำก็คือ เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองให้ได้มากที่สุด ) การลงทุนมักคิดด้วยระบบ model ที่สร้างจากคนที่ฉลาดทางตรรกะที่สุด แน่นอนว่าทุกคนใช้เหมือนกับ ทำให้โลกเราเจ้งไป ความคิดเห็นนี้เป็นความคิดเห็นเดียวกับ คนแต่งเรื่อง fooled by randomness (นักสถิติ) ที่อธิบายเอาไว้เหมือนกันว่า สถิติปัญญาอ่อนเนี่ยะมันใช้กับสิ่งนี้ไม่ได้หรอก (ผมอ่านบทสรุปแล้วมันมีเหตุผลของมันที่ใช้ได้ทีเดียว) ราคาทองมีราคาเดียวทั่วโลก (อันนี้เป็นความรู้ซ้ำจากการสัมนา เค้าก็บอกผมแบบนี้เหมือนกันว่า โลกเรามีราคาทองราคาเดียว ณ เวลาหนึ่งๆ) โลหะอื่นๆที่น่าสนใจคือ โลหะเงิน .. แล้วก็คนที่เรียนเก่งหากว่าไม่ได้กล้าเสี่ยงทำอะไรเค้าก็จะมีแนวคิดที่ปลอดภัย ทำงานให้กับคนที่ได้เกรดซี เป็นอย่างต่ำ .. เกรดโรงเรียนไม่ได้เป็นตัวแปรเพื่อขอกู้กับ bank ได้เลย แต่ว่าเป็นอย่างอื่นที่เกี่ยวกับความสามารถทางการเงินต่างหาก . .อืม .. น่าคิด ๆแต่ประเด็นนี้ผมรู้มานานแล้วว่าการเรียนมันก็แค่ train ความสามารถในการเรียนต่างหาก ทำให้รู้ได้ว่า เราเรียนรู้ได้ดีแค่ไหนมันก็เท่านั้น .. พวกที่ได้เกรดเอ เนี่ยะ พวกนี้เค้าเรียนรู้ได้ไวแตกฉานได้เร็ว นั้นก็แปลว่า ถ้าหากว่าเค้าคิดแบบพวกเกรดซีที่ต้องเสี่ยงเพื่อที่จะได้เงินรวยขึ้นมา โอกาสที่จะไปได้แรงหากเรียนรู้เหมือนกันแล้ว IQ มันก็จะเริ่มมีผลอย่างแน่นอน แต่ว่าแย่หน่อยที่ระบบการเรียนปกติมันไม่ได้สอนกับให้คิดเกี่ยวกับการเงิน หรือการดำเนินชีวิตอย่างงั้นสักเท่าไหร่เนาะ .. (สำหรับภาษาไทยนะ ไม่ค่อยเห็น ) แต่ว่าถ้าเป็น ภาษาอังกฤษแล้วเนียะ ผมว่า คนที่รักการอ่านยังไงๆ ก็จะต้องรู้เรื่องพวกนี้แน่ๆ อีกประเด็นก็คือ แนวคิดหลายๆประเด็นที่มีในหนังสือ จะถูกถ่ายทอดผ่านพวกที่ทำ MLM มาแล้ว(นั่นก็แปลว่าคุณเข้าไปคลุกกับ MLM แล้วจะทำให้ financial IQ มากขึ้นได้ไม่ยาก) ที่รู้เพราะว่าไปคลุกมาด้วยเหมือนกัน เฮอะๆ

"มีช่องว่างระหว่างการรู้ กับการทำ" เพราะคนเราขี้เกียจน่ะหละ . .ไม่ใช่อะไรหรอก ..

ประเด็นอื่นๆผมว่าคงเขียนเอาไว้ไม่ครบหรอกแต่ว่า สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือตระกูลเล่มม่วงอ่านสักเล่มก็จะทำให้คุณคิดไปอีกแบบ แล้วมันจะเป็นประโยชน์มากเลยหากว่าคุณไม่เคยคิดอะไรแบบนี้มาก่อน แต่มันจะไม่ได้เป็นเรื่องทีมีประโยชน์อะไรหากว่าคุณเป็นคนที่คิดแบบนี้อยู่แล้วเนียะ . .( ก็ต้องจริงอยู่แล้ว แล้วจะพูดทำไมเนี่ยะเรา ) .. เฮ้อ ..

ดีเหมือนกันน่ะครับ ผมอ่านแล้วปกติไม่ได้เคยมา recap ว่าผมได้อะไรจากการอ่านเลย ได้แค่นั่งนึกผมว่าผมเสียเวลาสัก 1/2 hrs แบบนี้มาพิมพ์ก็น่าจะดีน่ะครับ อย่างน้อยผมก็จะได้ซับมันได้แรงกว่าเดิม แรงกว่านั่งนึกเฉยๆ น่ะครับ

Saturday, January 03, 2009

อาการการติด wine และอาหารหวาน หรือโครงสร้างความคิดการติดอะไรสักอย่าง : แนวคิดของ product เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิดในการบริโภค


แนนนี่ดูเหมือนว่าจะชอบกิน wine หรือว่าทำท่าทำทางเหมือนกับ wine testing แต่ว่าเค้าไม่รู้ตัวหรอกว่าเค้าเริ่มมีอาการติดแล้ว เพราะทุกครั้งที่เค้าไปไหนมาไหนกับ papa แล้วพก wine ไปด้วย เค้าจะเลือกตัดสินใจที่จะขอชิม wine ทุกครั้ง (หลังๆไม่เห็นมีครั้งไหนว่าจะไม่กินน่ะนะ)

อาการแบบนี้สมัย papa เค้าก็รู้ตัวว่า มันเป็นอาการเริ่มต้นของคนที่ติด wine เพราะเค้าเป็นคนบอกผมเองว่า .. การเริ่มต้นมีเงื่อนไขต่อไปนี้  (ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่ได้มาเป็นข้อๆแบบนี้ก็ตาม แต่ว่าอันนี้เอามาแกะดูว่าอาการเริ่มต้นนั้นเป็นอย่างไร)

1 . จะเริ่มกินทีละน้อย
2 . กินแล้วจะเพิ่มความถี่หรือปริมาณทีละน้อย
3 . คนที่เริ่มติดจะบอกว่าตัวเองไม่ติดหรือแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองติดแต่อย่างใด
4 . จะเริ่มหาโอกาสเพิ่มปริมาณในการกินทีละน้อย (เพราะว่าดูเหมือนตัวเองไม่ติดนี่หน่า )

อาการติดแบบนี้น่าจะเหมือนกับอาการติดหวานหรือขนมหวานในเด็ก (หรือโตแล้วก็ติดเหมือนกัน) คือ เมื่อหลังอาหารก็อยากจะกินอะไรหวานๆ หรือเรียกได้ว่าหาของหวานกินหลังอาหาร  ทั้งนี้มันดูเหมือนกับว่า การกินของหวานหลังอาหารเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งนี้ การกินอะไรหวานๆ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันไม่ได้เป็นเรื่องดีต่อสุขภาพแต่อย่างใด รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดีหรือว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ แล้วเอามันใส่มาก มันก็เหลืออยู่แค่เหตุผลเดียวที่สมองสั่งการให้กินก็คือ อยากจะกิน ! หรือเรียกอาการนี้ว่า "ติด" นั่นเอง

ผมมามองดูตัวเองว่าผมติดของหวานเหรอป่าว ? ปรากฏว่า ผมติดของหวานครับ เพราะ ผมมีอาการอย่างที่ผมว่าไปแล้วก็คือ เมื่อถึงหลังอาหารค่ำเมื่อไหร่แล้วอยากจะกินโอวันติน แบบสำเร็จ ผมรู้ว่าในนั้นมันมีน้ำตาลผสม แต่ว่าผมไม่ได้เป็นคนใส่ในรูปน้ำตาลลงในแก้ว มันเป็นแค่ทำให้ผลไม่เห็นเท่านั้นตอนที่ใส่ เจ้าโอวันตินสำเร็จที่ผสมเสร็จมาแล้ว มันเป็นการลดขั้นตอนการรู้สึกผิดได้เป็นอย่างดี นอกจากจะสบายในการเอาของหวานหรือน้ำหวาน(น้ำตาล)เข้าปากแล้วก็ตาม มันยังเป็นการลดความรู้สึผิด (guity) จากการกินอะไรหวานๆได้อีกทางหนึ่งด้วย ก็เพราะมันลดขั้นตอนการกระทำ หรือ ทำให้คนทีคิดจะหลีกเลี่ยงของหวาน ไม่รู้สึกว่าตนเองกระทำผิดต่อร่างกายตนเองด้วยการเอาของหวานหรือน้ำตาลใส่แก้วให้เห็นคาตานั้นเอง

แนวคิดนี้มาจากการที่ว่า คนเราคงไม่กล้าที่จะกินน้ำตาลเพียวๆเป็นสองหรือสามช้อนชาลงคอไปได้ แต่ถ้าหากว่าเอามาละลายหรือปะปนแล้วไม่เหลือรูปแบบของน้ำตาลเอาไว้ คนเรานั้นก็จะเทกลืนกระเดือกลงคอไปได้โดยไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นปริมาณน้ำตาลที่ใส่เข้าสู่ร่างกาย เหมือนกับ การเทหรือกลืนน้ำตาลเข้าคอนั้นเอง ปริมาณไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย

เฮ้อ.. คิดได้แบบนี้แล้วผมว่านะ .. หลีกเลี่ยงอะไรหวานๆ ให้มากที่สุดจะดีกว่า คงต้องคิดแบบสุดโต่งลักษณะหักดิบของคนติดยามาใช้ เพื่อเป็นการลดปริมาณน้ำตาลในชีวิตลงได้บ้างก็น่าจะดี แต่คงต้องหาความหวานในชีวิตรูปแบบอื่นเข้ามาแทนที่จะดีกว่าน่ะครับ เฮอะๆ .. ฝันละเมอไปนั่นแล้ว เอ้อ ..
Blogged with the Flock Browser