Saturday, February 28, 2009

Spiral marketing 1 (ตอนที่1) จากที่ไปเรียน KSME มา

ไปเรืยนที่ KSME มาหลักๆสำหรับเนื้อเรื่องที่น่าประทับใจก็คือ การตลาด Spiral 1 เป็นการสอนการตลาดที่ผมว่าแปลก เพราะฟังดูแล้วไม่เหมือนกับที่เคยได้ยินได้ฟังมามากอยู่ ผมก็เลยกะว่า สักวันเมื่อผ่านมาหลายๆวันแล้วมาอ่านทวนย้อมหลังว่าผมได้อะไรจากที่เข้าฟังสัมนาครั้งนั้นๆดูว่า ผมจะจำ หรือ ผมจะคิดอะไรออกอเพิ่มเติมกว่าที่เนื้อหาหรือว่าผมคิดอะไรที่เชื่อมกับเรื่องที่ได้เจอะเจอมาบ้างน่ะครับ อย่างว่าหละครับการพิมพ์ออกมาของผมก็คิอการคิด แม้ว่าความคิดจะเร็วกว่าการพิมพ์อยู่บ้างก็ตาม แต่ว่าแค่คิดเฉยๆมันมองความคิดตัวเองได้ไม่ดีเท่าไหร่นักน่ะครับ

สิ่งแรกๆที่ผม note เอาไว้ที่ PowerPoint note ที่หน้าแรกๆเลยก็คือ การแบ่งกลุ่ม หรือ secmentation ถ้าเป็นรูปแบบเดิมๆก็จะแบ่งตามกายภาพที่เห็นโดยคิดว่าความคิดแต่ละคนจะเหมือนๆกับไปตามรายได้ เพศ อายุ และอื่นๆ แต่ว่า แนวคิดที่ผมได้ใหม่ๆจากข้อมูลที่ให้คิดใหม่นี้ก็คือ การที่แบ่งแบบนั้นแท้ที่จริงแล้ว มันก็คือ การแบ่งตามทัศนคติ ดีๆนี่เองไม่ได้หนีไปไหนแต่ว่าเป็นการอธิบายที่ชัดแจ้งตรงประเด็นกว่า การที่เราจะ assume มาว่าคนที่อายุเท่านี้เพศนี้แบบนี้จะต้องมีทัศนคติแบบนั้นแบบนี้ เพราะมันผ่านการสมมุติมาแล้วอีกครั้งซึ่งแน่นอนว่าการสมมุตินี้อาจจะไม่ได้เป็นจริงก็ได้ครับ ประเด็นนี้มีการยกตัวอย่างคนที่ซื้อ brand รถเบนซ์ว่า คนที่จะซื้อของเหล่านั้นก็คือ คนที่ต้องการภาพลักษณ์ของความสำเร็จ หรือ ภาพลักษณ์อื่นๆอันผูกเนื่องกับ brand นั้นๆ เรียกคนเหล่านี้รวมๆได้ว่าเป็นพวก “image concious” หรือคิดถึงภาพลักษณ์(ตน ไม่ใช่คนอื่น) เป็นสำคัญ อย่างนี้ก็จะเห็นได้ว่า หากว่าเรา scope ได้ว่า คนที่จะเป็นลูกค้าหรือว่าจะทำสินค้าอะไรออกไปแล้ว กลุ่มคนแบบไหน ที่มีทัศนคติแบบใด ถึงจะเป็นลูกค้าของเราได้ หรือว่าน่าจะเป็นลูกค้าของเรา หรือในทางกลับกันก็คือถ้าหากว่าเรารู้อยู่แล้วว่าลูกค้าของเรามีทัศนคติแบบใด เราก็ออกแบบ product นั้นๆให้สอดคล้องกับสิ่งที่ทัศนคตินั้นสะท้อนออกมาได้

ด้วยภาวะเศรษฐกิจอย่างทีเป็นอยู่นี้ ที่อาจจะพูดได้ว่าเลวร้ายทั่วโลก สำหรับคนที่โดนจะรู้สึกว่าเลวร้ายแต่ว่า สำหรับคนที่ไม่โดน ก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรหรอกว่ามันเลวร้าย แค่ดูคนอื่นเค้ารู้สึกร้ายๆกันไปเท่านั้นเอง รายใหญ่จะบี้รายเล็กให้กระจุย เพราะ มันถือเป็นโอกาสที่จะ clear ขวางหนามเสี้ยนตำที่มันสะเปะสะปะออกไปจากสาระบบหากว่าทำได้ แน่นอนว่า รายเล็กๆเหล่านั้นหากว่าเป็นพวกที่ไปขวางทางน้ำอยู่ไม่ได้ปลีกตัวกระโดดหลบก็ต้องโดนน้ำฉีดล้างชะออกไปให้จงได้ เพราะอย่างว่า มันเป็นโอกาสสำหรับคนบางกลุ่มจริงๆ คนที่รวย(และอยู่ได้)ก็จะรวยมากขึ้นเพราะเป็นจังหวะให้กวาดเศษซากคู่แข่งรายยิบออกไปอันเนื่องมาจากแรงหนุนทางเศรษฐกิจ (ขาลง)

โดยมาแล้วหากว่าไม่คนเราไม่ได้คิดอะไรมาก สำหรับภาวะที่แย่ๆอย่างนี้ก็จะต้องตัดงบประมาณ หรือว่าตัดกิจกรรมอะไรบางอย่างออกไป ที่เป็นต้นทุนหรือ costing สำหรับองค์กร(เล็กหรือใหญ่ก็ตามที) costing ที่ทำได้ง่ายที่สุด ก็จะคิดเหมือนกะคนทั่วๆไปคิดก็คือ “การตัดงบประมาณเพื่อการส่งเสริมการขาย การตัดราคาเพื่อแข่งกันในตลาดแดงเดือด และการตัดคนออกเป็นเสี่ยง ให้เหลือน้อยลงไป” หากว่ามองเป็น Brand แล้วเหมือนทางวิทยากรจะแนะนำว่า อย่ากระทำ (แล้วก็บอกอีกว่ามันเป็นสิ่งแรกๆที่คนปกติจะทำ) แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่ได้มองอย่างงั้นเสียทั้งหมด เพราะ มันเป็นโอกาสที่จะต้องกลับมาพิจารณาให้ถี่ถ้วนมากกว่าต้นทนเหล่านั้นมันทำให้เกิดประโยชน์ที่มากขึ้นหากว่าลงทุนเท่าเดิมหรือไม่ หรือว่าการที่เราลงทุนไปแล้วมันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์หากว่าเรายังลงกับมันอยู่ครับ มีการกล่าวอ้างเรื่อง share of voice สำหรับเรื่องงบประมาณโฆษณา ผมก็คิดว่ามันอาจจะเป็นอย่างงั้นก็ได้ก็คือ หากว่าลงทุนเท่าเดิมโดยคนอื่นลง ads น้อยลง แปลว่า เราจะได้ share เพื่อการประกาศให้โลกรู้ที่สัดส่วนมากกว่าเดิม คิดเป็นเลขตรงๆมันเป็นแบบนั้นจริงๆน่ะหละครับ แต่ว่าการประเมินเรื่องคุณประโยชน์ความคุ้มค่าจะต้องมีการออกแรงคิดซ้ำเข้าไปอยู่ดีไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ตาม สองสิ่งนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันแต่อย่างใด แต่ว่ากลับสะท้อนภาพว่าเรานั้นต้องมองให้รอบต่างหาก หรือ พิจารณาให้ฉลาดกว่าเดิมต่างหาก

สำหรับ concept ของ Spiral Marketing นั้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมาผมเห็นการกระทำ action ของกลุ่มคนและผลสะท้อนจากการทำแบบนั้นมาแล้วส่วนใหญ่จะเป็นการกระทำผ่าน สื่อ online (internet) เสียมากกว่า เพราะผมติดตามเรื่องเหล่านั้นได้ผ่านทาง Firefox Browser นี่น่ะหละครับ ที่ห้องนอนไม่ได้ไปไหนเลย สิ่งต่างๆที่ว่ามาผ่านการพิมพ์ประกาศบอกต่อ ผ่าน blog (พิมพ์เอา) ,podcast (คุยเอา) , youtube (โชว์ clipเอา) , email (แล้วแต่ว่าจะส่ง link ไปไหน) ,twitter (text เอา) ทั้งหมดนี้เป็นการบอกต่อกันระหว่าง user ใดๆด้วยกัน โดยรวมทั้งหมดเรียกว่า “CGM” ( consumer generated media) เรื่องที่โม้โดย user ทั้งที่ใช้จริงและไม่ได้ใช้จริงครับ เพราะฉะนั้นเป้าหมายการตลาดแบบ worldwide ใหม่ๆแบบ low cost กลับกลายมาเป็นเรื่องของการประกาศให้โลกรู้ผ่านคนอื่น(ที่ใช้งาน)บอกต่อๆกัน สิ่งเหล่านั้นผมว่าจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วย factor ที่ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรนัก ถ้าหากว่า
- สินค้ามันดีจริงๆ แน่นอนว่าถ้ามันดีมากจริงๆ คนที่ใช้ก็บอกตัวอยู่แล้ว และมันต้องดีระดับที่ว่ามันสนองเสนอ needคนใช้ได้มากขนาดที่ว่าเค้าอยากจะพิมพ์ email บอกคนอื่นหรือว่าอยากจะเอามาเล่าเป็น blog content ไว้ หรืออยากจะอัด video ทำเป็น clip review เอาไว้ก็ได้เหมือนกัน
- มันมีเรื่องให้คุยเกี่ยวกับ product นั้นจริงๆ นอกจากที่มันจะดีจริงแล้ว มันก็ต้องมีเรื่องราวที่ เล่าสู่กันฟัง ได้ด้วยเพราะว่าดีแล้วไม่รู้ว่าจะเล่าอะไรยังไงหรือว่าเค้าคิดว่าเล่าไปคนอืน่ก็ไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะทำไปทำไมอยู่ดีน่ะคับ
- สินค้ามันสร้าง ego เพื่อให้บอกได้จริงๆ ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง(มีคนบอกมาด้วยเหมือนกันครับไม่ได้คิดเองหรอก) ว่า การบอกต่อเพราะต้องการแสดงความมีตัวตนหรือยอมรับจากคนฟังข่าวสาร ต้องการจะบอกว่าเรารู้แล้วเราใช้แล้ว เราอยาจะ “แสดง” ให้เพื่อนคนอื่นเห็นว่ามันดีหรือว่ามันแย่ยังไง เพราะลองคิดดูนะครับถ้าหากว่า คนที่คิดว่า อืม .. ผมไม่อยากมีตัวตนอะไรหรอก ผมไม่มี ego อะไรเลยแม้แต่นิด เราอยากจะบอกอะไรคนอื่นเหรอป่าวเนี่ยะ

ในเมื่อโลกมันเป็นแบบนี้ มันเกิดธุรกิจแบบใหม่ๆออกมาครับ ก็คือธุรกิจรับจ้างบอกต่อ ผมเห็นจากพวก blogger ทั้งหลายแหล่ที่พยายามทำตัวเป็น reviewer สินค้าหรือว่า product ประเภทใดๆเพื่อสร้างอิทธิพล (อันเป็นมูลค่า) ให้กับตนเอง ก็เหมือนกับสื่อประเภทอื่นๆนัน่หละ (TV มันก็มีอิทธิพลเป็นต้น) หรือว่า youtube.com เองก็จะเห็นว่า ไม่นานมานี้ คุณๆก็จะสามารถ promote vdo clip ตัวเองให้แสดงหน้าแรกได้เหมือนกันแต่ว่เสียเงิน สำหรับนักการตลาดเองนั้นผมว่า ต้นทุนเพื่อให้ได้ การบอกต่อจะเริ่มมี  เพราะจะต้องจ้างพวกนักคิดว่าจะสร้าง clip แบบไหนเพื่อให้เกิดการบอกต่อ หรือว่าจะจ้าง blogger คนไหนเพื่อให้บอกต่อ (มีการจ้างจริงๆน่ะครับ แต่ว่ามันก็อยู่ที่ product ด้วยอยู่ดีสุดท้ายเพราะว่าถ้าดีเค้าก็จะพิมพ์ว่าดีได้ไม่ยาก แล้วถ้ามันไม่ดีก็แย่หน่อยเค้าก็ไม่อยาก review ให้)  แต่ในทางตรงกันข้าม สำหรับสินค้าที่ทดสอบแล้วหรือออกตลาดแล้วไม่ดีขึ้นมา มันก็เป็นโรคร้ายได้รุนแรงอยู่น่ะครับ อย่างว่าล่ะ คนเชื่อคนกันเองได้ง่ายแล้วก็เรื่องร้ายๆ มันจ้างให้คนพิมพ์บอกกันมันก็ทำได้แต่ว่า เหมือนว่ามันน่าจะผิดกฏหมายน่ะครับ สำหรับเรื่องดีๆแล้วบอกกันได้ เรื่องแบบนี้ผมเจอมาแล้วน่ะครับว่า ผมซื้อเครื่องมาผมเอาเรื่องดี post ไว้ที่ youtube ผู้ผลิตเครื่องก็ไม่ได้พูดอะไรแต่ว่าพอผมพูดเรื่อง claim เค้าก็บอกว่าผมให้เอาออกด้วย ผมก็กลุ่มซิครับ อะไรเนียะ ผมซื้อมาแล้วมันก็น่าจะเป็นสิทธิ์ของผมว่า จะบอกต่อคนอื่นๆ (public) ว่ามันดีหรือไม่ดีตรงไหนอย่างไรได้  .. นะ . . มันไม่ได้เหรอผมก็งงๆนิดหน่อยน่ะครับ เลยไม่แน่ใจว่ายังไงนะ . แต่ว่าเอาเถอะครับผมก็อะไรไม่ดีก็ไม่เขียนไปแล้วกัน แล้วก็อะไรดีๆผมก็ไม่บอกหากว่าคนขายเค้าต้องการอย่างงั้น อย่างว่าล่ะครับมันมีดีมันก็ต้องมีไม่ดีเป็นเรื่องปกติน่ะครับ ผมว่าสักวันคนทำตลาดให้กับผู้ผลิตเครื่องนี้จะคิดออกว่า ให้ผมเขียนอยู่ดี (ล่าสุดก็มีเมล์มาถามว่าเหมือนกะให้เขียน testimonial ให้เค้าอืม .. คงพิมพ์บอกหรอกนะ)

ยังไงนัดเพื่อนไปพาราก้อน (ไม่ได้เจอนานน่ะครับ ต้องออกไปแล้วแล้วจะมาพิมพ์ความคิด ที่คิดให้ตัวเองฟังอีกวันหลังแล้วกันนะครับ see you)

Monday, February 23, 2009

เอ..เล่นเท่าไหร่มันก็ไม่หมุนตรงๆมันนี่หละเล่นไม่เป็นก็แบบนี้น่ะครับ

ล่าสุดอุตส่าห์เอากล้องไปด้วยจะได้ถ่ายว่าท่าทางที่โยนมันออกมาเป็นยังไง ดูๆแล้วมันก็เหมือนกะคนปกติโยนนะไม่ได้ดูน่าเกลียดหรือว่าแปลกประหลาดแต่อย่างไร แต่ว่าในใจคิดพยายามที่จะโยนให้มันหมุนแต่ว่าที่นี้เล่นไปแล้วหกเกมส์ติดก็ไม่เห็นว่ามันจะหมุนได้ ดูท่าทางว่าหกเกมส์หน้าที่จะเล่นเพื่อฝึกเนี่ยะ น่าจะหาความรู้ไปก่อนว่าจะโยนให้มันหมุนได้ยังไง ก็คราวนี้ก็เอาเป็นว่า .. เป็นการออกกำลังกายไปเท่านั้นเองก็แล้วกันนะครับ เพราะว่าฝีมือมันก็ไม่ได้พัฒนาอะไรขึ้นเท่าไหร่ เหมือนๆกับครั้งก่อนๆ เพราะว่าที่เล่นไปตั้งหกเกมส์แล้วก็ยังไม่ได้ strike ให้ได้สักสีครั้งติดเลย (แต่ว่าจริงๆ ก็ไม่ได้เป็นประเด็นอะไรหรอกครับ) ประเด็นคือว่าอยากจะทำให้มันหมุนให้ได้เท่านั้นเอง พอกลับมาที่บ้านก็เอามาให้ป่าป๊าเค้าดูว่าเราทำท่าทำทางเป็นยังไงเค้าก็บอกว่า . อืม .. เหมือนกะทอยลูกโบว์ลิ่งมากกว่า .. ก็เป็นไปได้น่ะครับเพราะว่าลูกมันนิ่งมากๆตรงสุดๆไม่ได้หมุนเลี้ยวเหมือนกะพวกเลนข้างๆเลย ไว้ครั้งหน้าฟ้าใหม่จะ Google , Youtube แล้วก็ videojug.com หาๆข้อมูลดูเอาเองแล้วครั้งหน้าจะเอาลูกโบว์ลิ่งให้มันเลี้ยวให้ได้ดูมันซิว่า เดี๋ยวนี้ coach โลก online อย่างเดียวจะทำให้ผมโยนลูกโบว์ลิ่งให้มันโค้งกันไม่ได้รึป่าวนะเนี่ยะ เฮอะๆ.

Sunday, February 22, 2009

Party รวมพลของกินสุดยอดทั่วสารทิศ

SANY3850

SANY3852 SANY3851 SANY3858

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่มีการจัด Party แบบว่าชวนเพื่อนๆคุณพ่อเค้ามากันหลายๆคนแล้วก็มีเงื่อนไขว่า ให้เอาของกินมาอย่างละ 1 แบบหรือมากกว่านั้น โดยถ้าคิดว่าอะไรอร่อยก็ให้เอามา แล้วพอมาถึงก็จัดแจงเอามาแกะกางวางไว้ด้วยกัน ทีนี้นั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยที่สุดอาหารหนึ่งอย่างก็จะมีคนคิดว่านี่เป็นของอร่อยหนึ่งคนหรือหนึ่งครอบครัวครับ แต่ว่าโดยมากแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียหน้า คนที่เลือกอาหารมาก็จะหาอาหารที่สุดยอดที่สุดที่ตัวเองหาซื้อได้สะดวกมาครับ แค่นี้ Party สังสรรค์ก็จะมีแต่ของอร่อยเหาะจากทุกสารทิศแล้วครับ ยิ่ง Party คนเยอะมากเท่าไหร่ของกินก็จะหลากหลายมากขึ้นไปตามลำกับน่ะครับ อย่างไรก็ตามหากว่าจะใช้วิธีนี้ ยังไงก็ต้องโทรหากันเพื่อถามดูก่อนว่าจะเอาอะไรมา หรือว่า จริงๆแล้วทางที่น่าจะมี Theme ให้แต่ละคนซะหน่อยเพื่อที่จะได้รู้ว่า แนวอาหารน่าจะเป็นประมาณไหนเพราะว่าไม่อย่างงั้นก็เหมือนกับกรณีล่าสุดน่ะครับ ก็คือว่า ได้กินอาหารทะเล กะเป็ดพะโล้ แล้วก็กินกับบะหมี่หมุแดงเป็น main course มันช่างเข้ากันซะยิ่งกะไร โอ้ว .. แต่ว่าทุกอย่างอร่อยเยี่ยมยุทธครับผม

Saturday, February 21, 2009

วิเคราะห์ promotion Major Bowl กับ "ความรู้สึกติดโบว์ลิ่ง"

bowling_pins

ที่ผ่านมาไม่เกินปลายปีที่แล้วผมหลงไปซื้อ package เพื่อโยนโบว์ลิ่งกับทาง major bowl มาตอนแรกไม่ได้คิดอะไรมากเพราะว่าอยากจะเล่นให้ถูกต่อเกมส์แต่ว่าไปๆมาๆเมื่อเราเล่นแล้วหลายครั้งทำให้เกิดการพัฒนาการเล่นได้ แม้ว่าจะไม่ได้มี coach สอนอย่างเป็นล่ำเป็นสันก็ตามที เกมส์นั้นประมาณ 50 บาทต่อเกมส์ แต่ว่าเมื่อใกล้หมดแล้วก็กลับมี promotion ตัวใหม่ที่ทำให้ค่าเกมส์เหลือแค่ว่า 33.33 บาทต่อเกมส์เท่านั้นทำให้ซื้อเป็น 30 เกมส์ (คิดเป็นเงิน 1000 บาทครับ) ผมรู้สึกได้เลยว่า ผมเกิดอาการติดออกมาซะแล้ว เพราะมีการคิดคะนึงถึง ว่า จะเล่นเมื่อไหร่ดี แล้วจะไปเล่นกะใครดี ทั้งๆที่หากว่าเราไม่ได้ซื้อ package นี้ไว้ เราก็ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนี้และไม่จำเป็นด้วยซ้ำที่จะต้องเล่น bowling ครับ นั้นหมายความว่าอะไรน่ะครับเหรอครับ package แบบนี้ทำอย่างได้อย่างได้ผลดีทีเดียว สำหรับ major bowl

ทำไมเป็นอย่างนั้น ?

ผมมานั่งจ๋องคิดว่า เอ .. เพราะอะไรมันถึงได้ผล และมีเหตุอะไรทำไมคนถึงได้ซื้อ package นี้

สำหรับความคิดว่า "ทำไมคนซื้อ package นี้?" เพราะแน่นอนว่าใช้ ราคาต่อเกมส์เป็นตัวกำหนดดูดความคิดคนเข้ามาเพื่อให้ติดกับ เหมือนกับผมที่โดนไปเพราะว่าไม่อยากจะเล่นราคาต่อเกมส์ที่แพง เพราะเหมือนกับเป็นการเล่นเกมส์กีฬา(หรือเปล่า)ที่เหมือนกับการเอาเงินโยนทิ้งไป มี costing เกิดทุกครั้งที่โยนครับ ทำให้หากว่าราคาต่อเกมส์ต่ำกว่า จุดคุ้มค่าทางจิตใจ ต่อเกมส์แล้วล่ะก็ การซื้อขาย package จะเกิดขึ้น

เมื่อติดแล้วเกิดอะไร และ ทำไมถึงติดได้?

การติดของเกมส์กีฬา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ มันมาจากความท้าทายตัวเอง และมีการตั้งมั่นว่า "ฉันจะเก่ง" กันกีฬาชนิดนั้นๆอย่างไม่มีเหตุผล เพราะ จริงๆแล้วคนเราจะเก่งกีฬาไปทำไม ก็เพราะมันก็แค่ภูมิใจว่าเราเก่งกีฬาชนิดนั้นๆ อาจจะคิดให้กว้างออกไปกว่านั้นได้กับการละเล่นหรือทักษะต่างๆ ด้วย่เช่นเดียวกัน เช่น ผมเล่น counter strike เก่งนะ หรือว่าผมพิมพ์เก่งนะ เขียนเก่งนะ เป็นต้น ความภูมิใจเหล่านี้จะทำให้คนยึดติด และ ติดกับการกระทำหรือกิจกรรมนั้นๆได้ด้วยครับ

ย้อนกลับมาเมื่อเกิดการตั้งเป้าและรู้สึกว่ามีการพัฒนา ทำให้ความภูมิใจในพัฒนาการนั้นๆ แล้วเมื่อภูมิใจแล้ว จะเกิดความอยากที่จะเล่น หรือ ฝึกเล่น หรือ ซ้อมขึ้นมาเพื่อที่จะรักษาหรืเพิ่มพูนความเก่งในทักษะนั้นๆต่อไปอีก ณ สถานะนี้เรียกว่า "ติด" ได้เต็มปากครับ เพราะจะเริ่มออกอาการถวิลหาอย่างที่ผมได้สังเกตตัวเองเอาไว้แล้วอธิบายไป ณ ตอนแรกๆของเนื้อความครับ

สุดท้ายแล้วผลก็คือ major bowl จะได้ลูกค้าที่เป็น long term customer มากขึ้นอย่างเป็นวัฏจักร โดยต้นทุนต่อเดือนไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพราะ ถ้าหากว่าคนไม่เต็มอยู่ ยังไงมันก็เหลือที่ว่างสำหรับคนใหม่ๆที่จะเข้ามา เพื่อทำให้มันเต็มได้มากขึ้นครับ

อย่างไรก็ตามคนเหล่านี้ที่เช้ามาใหม่ จะมองไปราคาต่อเกมส์อยู่ ถึงแม้ว่าจะ promotion แบบนี้จะทำให้ลูกค้าหรือเค้กกว้างขึ้นก็ตาม แต่นั่นก็หมายความว่า ราคาจะทำเป็นดึงและดูดผู้คนให้ไหลไปที่จ้าวอื่นๆได้ ผมว่า major bowl อาจจะไม่ต้องคิดมากประเด็นนี้สักเท่าไหร่ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ? ดูซิครับที่ไหนๆก็เหมือนว่าจะเป็น major bowl ไปซะหมด เรียกว่าไม่มีทางเลือกอะไรมากเพราะว่ามีวางดักไว้ทุก location ที่เหมาะสม โรงโบว์รายอื่นๆก็ได้แค่อานิสงค์เล็กน้อยของตลาดที่กว้างขึ้นนี้เท่านั้นเองครับ

สำหรับตัวผมเองแล้วนั้นผมกะว่าจะทำให้ตัวเองเก่งไประดับที่เรียกว่า "ดีเยี่ยม" ซึ่งผมประเมินเอาไว้ว่า คือการโยนให้โค้งแล้วโอกาส strike สูงมากหน่อย แล้วคิดว่าน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับความภูมิใจ และ จะไม่เล่นต่ออีกต่อไป เพราะผมเห็นเหตุและผลของการเล่น และที่มาที่มีของการติดของตัวผมเองครับ เอาเถอะครับผมก็เป็นคนทางโลกคนนึงเท่านั้นที่เข้าใจสภาพความคิดต่างๆของตัวเองได้ดีสักหน่อย ทำให้การหยุด ละการกระทำ กิจกรรมใดๆ หรือเริ่มต้นทำสิ่งใดๆนั้นไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก สั้นๆพักนี้ผมก็โยนต่อไปแน่ๆเพราะว่า coupon ยังเหลือดว้ยล่ะ เฮอะๆ .. ^_^

Thursday, February 19, 2009

ตอบคำถามบริหารหัวยามเช้าว่า ทำไมคนเราไม่คำนึงถึงสุขภาพ?

มีคนถามที่กระทู้ของ th.answers.yahoo.com ว่าทำไมคนเราถึงไม่คำนึงถึงสุขภาพเป็นประเด็นที่น่าคิดก็เลยตอบซะหน่อย เป็นการบริหารหัว และการคิดเขียนยามเช้าน่ะครับ

คุณคิดว่าคนส่วนใหญ่ใช้ร่างกายแบบลืมคำนึงถึงสุขภาพเพราะเหตุใด?

เพราะคิดว่าร่างกายไม่เสื่อมสภาพ และขาดความรู้ว่ามันเสื่อมสภาพได้หากว่าเราไม่ได้ดูแลรักษามันเอาไว้ให้ได้ นานมากที่สุด คนส่วนใหญ่ที่ใช้ร่างกายอย่างไม่คิดว่ามันจะเสียหายนั้น ก็เพราะว่าไม่เคยเจอว่าร่างกายมันเสียหายให้เห็นอย่างชัดเจน เอาความรู้สึกตอนเป็นเด็กมาคิดแล้วก็คิดว่ามันจะเหมือนกับตอนเด็กๆคือมแต่จะ ดีขึนและแข็งแรงขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องรักษามัน แต่ความเป็นจริงแล้วตอนเด็กเรามีกิจกรรมต่างๆนานาเพื่อให้ร่างกายเราแข็งแรง ผ่านกระบวนการ'เล่น' กิจกรรมที่ออกแรง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งไล่จับหรือเกมส์กลางแจ้งต่างๆ เมื่อยังคิดว่าร่างกายจะอยู่เหมือนเดิม คนเราก็จะไม่คิดที่จะรักษาหรือป้องกันความเสื่อมอันนั้น หรือแม้แต่พยายามยื้อเอาไว้ก็ไม่คิด
เรื่องเวลาล้วนเป็นข้ออ้างเพื่อการ "ขี้เกียจ" ดูแลตัวเองเท่านั้น เพราะหากว่าจะดูแลเสียอย่างแล้วไซร้ เราก็จะหาเวลาเพื่อทำการกิจกรรมเพื่อให้ตัวเราเองดูแลตัวเราเองได้อยู่ดี
การดูแลร่างกายหลักๆน่าจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเด็นใหญ่ก็คือ
1.การไม่ไปตรวจสุขภาพ : ความคิดเป็นโบราณ (เพราะว่าผมเคยเห็นคนที่คิดแบบนี้) คือ การคิดว่าถ้าเราไม่รู้ซะ เราก็ไม่ต้องมากังวล แล้วก็ไม่ต้องไปคิดค้นหามันไม่เสียเงินค่าตรวจอีกตะหาก ดีจริงๆ .. คนเราคิดแบบนี้ผมว่าน่าจะเป็นพวกคนอดีตชาติที่หลุดออกมาจากภพก่อน เพราะ คิดว่าร่างกายดีไม่เสียไม่หาย ถ้าหากว่าเสียหายก็สามารถซ่อมได้ และมองว่าอาการของปัญหาสุขภาพต่างๆมันเห็นได้อย่าชัดเจน แต่ความเป็นจริงนั้น หากว่าเราเจอก่อนและเจอได้เร็วแม้ยังไม่ได้ออกอาการของโรคมันน่าจะดีกว่า หรือไม ่? เพราะหลายโรคหากว่าเจอเร็วจะรักษาได้ง่ายกว่า หรือเรามีเวลาเพื่อปรับชีวิตการดำเนินชีวิตของเราให้เหมาะสมเพื่อป้องกัน อาการของโรคได้ไม่ยาก
2. การไม่ออกกำลังกาย : เรื่องนี้จะคิดกันว่าไม่มีเวลา แต่ผมก็บอกอีกน่ะหละว่าหากว่าไม่มีเวลาก็คงไม่มานั่งอ่านบทความนี้ก็เป็นได้ เพราะเค้าไม่รู้ว่า การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการดูแลรักษาสุขภาพให้มึความเสื่อมที่ลด ลง ผมเห็นกับตา กับคนรุ่นพ่อ ถ้าหากว่าคนที่อยู่รุ่นเดียวกันนั้น คนหนึ่งนั่งๆนอนๆ เพราะมีอันจะกิน (แน่นอนว่ามีเวลาแน่ๆแบบนี้) แต่ก็ไม่ได้ออกกำลังกาย ผลก็คือ ความ fit ของเรื่องกายแตกต่างกัน นั่นแค่สภาพภายนอก ยังไม่ต้องพูดถึงระบบทางไหลของเลือด(ท่อเลือดว่ามันตันหรืออุดไว้แค่ไหน) หรือว่า เรื่องโรคอ้วน หรือโรคอื่นๆที่คน "นิยม" เป็นกัน
3. การไม่ระวังการกินอาหาร : พวกนี้จะตามใจปาก เราไม่รู้ตัวหรอกว่า แค่ของหวานมันมีอาการเสพติด ต้องระวังในการกิน และยังมีแนวคิดอยุ่ว่าถ้าหากว่าไม่มันไม่อร่อย ทำให้ไม่เลือกว่าจะเป็นของมันหรือของหวานหรือเค็มจัด หรืออะไรก็สุดแล้วแต่ที่เราเองก็รู้ว่ามันอันตรายต่อสุขภาพสุดท้ายก็เอาเข้า ปากไป อืม ..แล้วก็ลืมๆมันซะเพราะว่ามันไม่ได้มีผลเดี๋ยวนี้นี่หน่า
ถ้าหากว่าขี้เกียจ ระวังการกิน ขีเกียจไปตรวจสุขภาพ และขี้เกียจออกกำลังกาย ก็หมายความแค่ว่าเราไม่ได้ดูแลตัวเราแม้แต่น้อย หรืออยากให้คนอื่นดูแลให้เหรอครับ ? การคิดขี้เกียจแบบนี้นะหละ ทำให้ตัวเราเองพยายามละเลยและลืมคำนึงถึงสุขภาพไปโดย เป็นการทำให้ตัวเราเองไม่รู้สึกผิด อันเนื่องมาจากที่ว่า เราน่ะหละ คิดหาข้ออ้างได้ร้อยแปด ไม่ว่า ไม่มีเวลา ต้องหาเงิน ต้องทำนู้นทำนี่ .. แต่เค้าเหล่านนั้นไม่รู้ตัวเหรอครับว่า อะไรสำคัญที่สุด .. กันแน่..

ที่มา:http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20090218035155AAO8rXl

Sunday, February 08, 2009

การเดินทางกับกลุ่มสมาชิกสมาคมพ่อค้าผ้าไทยไปเมืองกาญจนบุรี ชมโรงงานอัศวินฟอกย้อม

ล่าสุดผ้ามีเดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองกาญกับกลุ่มสมาขิกสมาคมพ่อค้าผ้าไทย เป็นการเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานครั้งที่สองประจำปี 52 กลุ่มนี้มีการจัดงานตลอดทั้งปีทั้งการสัมนาที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆกลุ่มสมาชิกและได้ท่องเที่ยวในราคาพิเศษต่างๆอีกด้วย การเดินทางโดยรวมถือได้ว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียวเพราะมีทั้งการ entertain ในรถ bus และการทัวร์ตามที่เที่ยวแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาแค่สั้นๆ (1วัน) เท่านั้นก็สร้างความประทับใจกับกลุ่มสมาชิกได้เป็นอย่างดีเลยครับผม หลักๆที่แปลกสำหรับผมแล้วก็คือ การเดินทางกินข้าวแบบลอยแพที่เมืองกาญครับ แต่ว่า มันก้เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วของคนที่นั้น เห็นพนักงานเค้าบอกมาว่า แพ วันที่ผมมานี้เป้นวันเสาร์ ทั้ง 300 กว่าแพออกมาล่องลอยอยู่ในแม่น้ำแควทั้งหมด แน่นอนว่าสัปดาห์ที่เป็นวันวาเลนไทน์ก็เต็มแล้วทุกที่นั่งทุกแพตั้งแต่สัปดาห์ก่อนหน้าแล้วครับ เรียกได้ว่าการท่องเที่ยวแบบนี้น่าจะเป็นที่นิยมมากสำหรับกลุ่มก้วนคนไทย(เพราะว่าผมไม่เห็นคนต่างประเทศเลยสักลำแพเดียว) ส่วนมากคนไทยก็จะนั่งกินลอยน้ำแล้วก็ dance กระจายกันอยุ่บนเรือ แต่สำหรับแพเรานั้นก็ไม่ได้ dance อะไรนั่งฟังเพลงกันชิวๆมากกว่า ตั้งแต่เพลงอลิสมัน ร้องแบบอมฮอล์ หรือว่าเพลง boy peacemaker เปิดครอคนอยู่บนแพตลอดเวลา ผมก็ทำอะไรมากไม่ได้นอกจากนั่งร้องเพลงไปด้วยเท่านั้นเองครับ

SANY3717SANY3734 SANY3757  SANY3736

แพทึ่เห็นจะมีเรือขายของมาจอดเทียบเหมือนกับเป็นปลิงเพื่อคอยดูดเงินจากคนในแพหน้าตาก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากเป็นแค่เรือเครื่องธรรมดา แต่ว่ามีขั้นวางเพื่อเอาของมาแสดงกันครับ แต่สำหรับราคานั้นจะแพงกว่าซื้อบนบกสักหน่อยไม่ว่าจะเป็นกาแฟเย็นหรือว่าขนมถุง (ผมซื้อชาเย็นมาแก้วละ 20 บาทแต่ก็โอเคล่ะเพราะว่าเค้าให้แก้วใหญ่น่าดูเหมือนกันครับ) พวกเราก็มีคนนึงซื้อลูกชิ้นหมูมา แต่ก็ไม่มีคนกินหรอกเพราะว่า ที่แพนี่เราก็กินอะไรกันมาเยอะแล้วอยู่เหมือกันน่ะครับ สรุปว่าซื้อมาก็ทิ้งเท่านั้นเอง เรือที่มาเทียบนี่เค้าเรียกว่า เซเว่นน่ะครับ ซื้ออะไรก็ได้มีหมดเหมือนกะ 7 น่ะหละแต่ว่าไม่มีหนมจีบซาลาเปาเท่านั้นเองครับ นอกนั้นก็คิดว่าน่าจะมีหมด อ่อ เหนือกว่าอีกเพราะว่า 7 ไม่มีขายส้มตำน่ะครับ เฮอะๆ .. คนที่เค้าขายก็ดูน่าจะลำบากอยู่เพราะว่าร่มที่เค้ากางเค้าไม่ได้กางเพื่อตัวเค้า เค้ากางเอาไว้เพื่อกันของเสียมากกว่า เพราะว่าพวกของสดตากแดดมากๆก็จะบูดเร็ว(แอะหรือว่าเค้าใส่สารกันบูดเยอะหน่อยเหรอป่าวน้า) SANY3744 SANY3723 SANY3763  ของกินที่เราได้กินเป็นมื้อกลางวันบนแพก็ถือว่าใช้ได้อยู่น่ะครับ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับการเดินทางครั้งนี้กับกลุ่มเพื่อนพ่อค้าผ้าไทยทุกท่านครับผม

Thursday, February 05, 2009

เดินงานที่ impact เมืองทองธานี้ งานPassion and Fashion 2009

SANY3705

วันนี้ไปเดินทาง passion & fashion ที่อิมแพ็คเมืองทองธานีมา แต่ไม่ได้ถ่ายภาพเอาไว้เพราะว่ากล้องไมได้อยู่กับตัว แต่ว่าอยู่กับน้องแนนนี่ครับ  กลับก็เลยถ่ายซากให้ดูว่า ซื้อของกินมาอย่างนึงก็คือ พิซซ่าญี่ปุ่น จากร้าน อาร์เบอร์เกอร์ (มีสาขาอยู่ที่สยามด้วยมั้งเห็นมีพิมพ์บอกอยู่ที่โบร์ชัวร์) ที่งานสนุกมากมายครับ เพราะ คนที่มาออกร้านจะเป็นพวกร้านเสื้อผ้า แล้วก็ร้านเกี่ยวกับอาหาร วัตถุดิบเพื่อเอามาทำอาหาร และแน่นอนว่าของกินอีกกระจุกหนึ่ง จะมีพวก wineๆ ด้วยน่ะครับ ยังไงว่างๆก็ไปเดินดูได้จัดถึงวันอาทิตย์นี้เองครับผม

Sunday, February 01, 2009

อัมพวาปี 2009 ไปเที่ยวกะแนนนี่ครับผม เย้.. ประทับใจดีจัง

SANY3623

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาป๊าม้าต้องไปวิ่งโดยป๊าลงรุ่น 21 โลไว้ แต่ว่าส่วนม้านีไม่รู้ว่าลงรุ่นอะไรเอาไว้ (หรือว่าไปเป็นกำลังใจเฉยๆเหรอป่าวน้า ) ตอนแรกผมก็ตั้งใจว่าจะไปกะเค้าอยู่เหมือนกัน ไปถึงระดับว่ากะว่าจะค้างคืนแล้วก็ไปวิ่งกะคนอื่นๆ แต่ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ขาขวามีอาการไม่ดีนัก คือ ขาออกแนวตึงๆ เหมือนกะเอ็นมันไม่ดีสักอย่าง แล้วถ้าหากว่าออกแรงวิ่งไปเยอะกว่าก็คิดว่าเรื่องนี้มันไม่ได้หายได้เองโดยไม่ได้พักแน่ๆ  ตอนนี้คิดเอาเองว่าต้องพักขาเอาไว้ก่อนเพื่อให้ร่างกายมันซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้มันหายได้เองครับ ดังนั้นเลยต้องหยุดแรงกระทำติดต่อกันเอาไว้สักพักนึง

SANY3618

วันก่อนเดินไปที่ห้องอาม่าเค้าจะมีตัวปั่น cycling เหมือนกะการปั่นจักรยานอยู่กับที่แต่ว่า เป็นแนวนอนคิดว่า ถ้าหากว่าอยากจะออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนัก (และปริมาณอาหารที่กินเข้าไป) ก็อาจจะออกแรงผ่านเครื่องนี้ก็น่าจะได้ แต่ว่ายังไม่เคยได้ลองดูน่ะครับ ยังไง สักวันจะต้องไปลองดูเพราะมันก็สะดวกดีอยู่ไม่ต้องเดินทางไปไหน แต่แย่หน่อยที่ว่ามันจะน่าเบื่อไปนิด  (ตอนลองคิดว่าจะเอาหนังสือไปอ่านด้วยน่ะครับ)

SANY3662 ย้อนกลับมาที่อัมพวาหน่อย ..  ผมเคยไปอัมพวามาเห็นจะได้สักประมาณ 2 ครั้งแล้วแต่ว่า ครั้งแรกไปก็เหมือนจะต้องรีบกลับไป ได้ไปดูหิ่งห้อยก็ครั้งแรกน่ะหละครับ มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกดีไปอีกแบบน่ะครับ แต่เรี่องนี้มันก็นานมากแล้ว แล้วคุ้นๆว่าภาพที่ไปมันไม่เหมือนกับการไปครั้งล่าสุด (ครั้งที่สามที่เดินทางไปกับแนนนี่น่ะน่ะครับ)  สำหรับครั้งที่สอง ผมต้องเดินทางไปเพื่อไปรอรับป่าป๊า เพราะป๊าเค้าเอาแต่รถจักรยานปั่นไปจาก กทม ตามถนน พระรามสอง ไปกะก้วนปั่นจักรยานของเค้าครับ เล่นไม่เอารถไปก็ต้องให้ผมขับไปรับทั้งคนทั้งจักรยานกลับมา เพราะเค้าไม่ปั่นกลับมา กทม เองหรอกนะครับ มันเยอะเกินไป (ดีแล้วล่ะ คิดได้อย่างงั้นน่ะนะ เพราะ ก็มีบางคนไม่ได้คิดอย่างนั้นน่ะซิ ที่เหลือ บางคนเค้าก็ปั่นกลับมาอีก ออกแรงได้เยอะมากจริงๆน่ะครับพวกนี้)

SANY3669 สำหรับครั้งที่สาม ครั้งนี้เป็นครั้งที่ผมว่าประทับใจกับการเปลี่ยนแปลงของคนที่นี่น่ะครับ (ผมว่าน่าจะเป็นพวก คน กทม ที่ไปเปิดเป็นร้านมากกว่านะ ) ครั้งนี้ผมไปตอนเย็นไม่ได้ไปเช้าเหมือนกะครั้งที่สองแล้วก็ไปวันเสาร์ซะด้วย เรืยกได้ว่าเป็น peak hour ของที่นี่เลยก็น่าจะได้ (เดาเอาว่าวันเสาร์น่าจะคนเยอะกว่าวันอาทิคย์เพราะว่า ไม่ต้องรีบร้อนเดินทางกลับมา กทม เพื่อทำงานต่อวันจันทร์น่ะครับ) มีการจัดเป็นโครงการ เปิดพิพิธภัณฑ์ครูเอื้อ (อัมพวา) ให้คนเข้าไปถ่ายรูปได้ มีโครงการพัฒนาทำการปูหินเหมือนกับเป็นสวนออกมา น่าเดินอยู่เหมือนกันน่ะครับ (ดได้จาก clip ตอนท้ายๆหน่อย) ส่วนนั้นผมก็ไม่เคยเดิน ก็ครั้งนี้น่ะหละครับที่ได้เดินๆดู เพราะว่าน้องแนนนี่แกเดินสำรวจหมดทุกที่ทุกทาง

นอกจากนี้ผมก็เดินไปส่วนที่เป็นห้องพัก มีทั้งห้องพักแบบที่อยู่เป็นกอง กันอยู่เป็นห้องๆ พวกที่อยู่เป็นกองก็คือ ไปเช้าห้องพักตามทางเดินริมน้ำ(คลอง) แล้วก็คิดเป็นหัว หัวละประมาณ 200-300 บาท จะมีแผ่นปูเหมือนกับเตียงเล็กๆ นอนกองๆกันเยอะๆเหมือนกับไปออกศึก มาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ ได้อยู่แบบนั้นเรียกว่า Home Stay ของแท้เพราะว่าเจ้าของเค้าก็น่าจะอยู่แบบนี้เหมือนกันน่ะครับ มีทีวี มีอะไรให้ดูก็ดูกะเจ้าของบ้านเค้าแล้วกันนะ .. อีกแบบก็อยู่เป็นห้องๆ เหมือนกับพวก resort ทั่วไปครับ ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง อ้อ .. อาจจะต่างที่ว่าห้องที่นี่พยายามทำให้เล็กเพราะเข้าใจว่ามันถูกดัดแปลงมาจากการเป็นบ้านธรรมดา หรือว่าพวกที่สร้างใหม่ก็จะเป็นพวกที่อยู่ในชุมชนเดิมอยู่แล้วมีพื้นที่เป็นบ้านก็สร้างบ้านเล็กๆขึ้นมาอีกแล้วก็จะได้ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปซุกหัวนอน( แต่ ก็ไม่ได้ถึงจะซุกหวัหรอกนะครับ มันดูดีอยู่ใช้ได้เลย แล้วแต่ราคา) อย่างที่ถามๆมาก็ประมาณ 800 บาทต่อห้องครับ . . บวกลบแล้วแต่สภาพความเป็นอยู่ที่ท่านๆพึงประสงค์อยากจะให้เป็นน่ะครับ ประมาณว่ามีเยอะแบบเลือกได้ไม่อั้นครับ แนะนำว่าต้องจองก่อนแน่นอนเพาะว่าที่ผมไปแบบนี้ผมก็ถามเค้าบอกว่าวันนี้เต็มกันหมด .. อืม .. ไปตายเอาดาบหน้าไม่ได้จริงๆน่ะครับของแบบนี้

SANY3665 มาครั้งนี้ผมไม่ได้มาดูหิ่งห้อยอะไรน่ะครับ เพราะว่าเคยดูแล้ว แล้วก็ไม่อยากดูเท่าไหร่ด้วย มีเรื่องเล่ามาว่า ชาวบ้านเค้านอนไม่หลับเท่าไหร่เมื่อมีนักเที่ยวเข้ามาดูหิ้งห้อยที่หน้าบ้านเค้า (เค้าจะหันหน้าบ้านเข้าน้ำ) ชาวบ้านพวกนี้ถ้าไม่ได้ย้ายออกไปไหนก็จะตัดต้น..ตะเคียน ไม่ช่ายแฮะ .. ต้นลำพู .. (น่าจะใช่นะ) ออกไปซะ ทำให้ไม่มีหิ้งห้อยแล้วคนก็ไม่ต้องแวะที่หน้าบ้านเค้าเพื่อที่จะดูครับ เป็นวิธีการแก้ไขที่ต้นเหตุจริงๆเลยครับผม ! แน่หละครับ คนที่ทำแบบนี้เค้าไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการกระทำแต่เค้าไม่รู้หรอกว่า .. ปัญหาจริงๆมันคืออะไร แล้วเหมือนกับว่าไม่ได้มีคนลงแรงเพื่อแก้ปัญหานี้ ..(ฟังเค้ามาน่ะครับไม่ได้คิดเอง แต่ไม่เชื่อซะทั้งหมด) คนเรามีอะไรก็ต้องคิดแก้ปัญหากันไปคิดว่าเรื่องแค่นี้ น่าจะมีทางออกที่เด็ดดวงได้ไม่ยากน่ะครับ

ทดสอบการ upload youtube clip ผ่าน Windows Live Writer

เครื่องที่ทำให้ปวดหัวมากที่สุด ในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะเครื่องมันออกอการเหมือนคนเมาหมัดครับ (เนื้อหาไม่รู้จะพิมพ์อะไรดีน่ะครับ)

ก็แค่อยากจะโชว์พรมเช็ดเท้าลิงน้อยน่ารักที่ผมเหยียบย้ำอยู่ .. ^_^ (ทำไปได้น่ารักขนาดนี้)

ของแถมจากเยาวราช เมื่อวานก่อน(นานแล้วจำไม่ได้ว่าวันไหน) ที่เคยไปเดินงานเยาวราชมา แล้วผมบอกว่าผมซื้อของมาชิ้นหนึ่งก็คือ แผ่นเช็ดเท้าลิงน้อย เป็นอะไรที่น่ารักมากๆสำหรับห้องนอนผม แต่ว่าการใช้งานมันไม่ได้ดูน่ารักสักเท่าไหร่ (เอาแผ่นลิงน่ารักมาเหยียบย่ำ) แต่ก็อยากจะโชว์ให้ดูว่ามันน่ารักแค่ไหนเมื่อมันอยู่หน้าห้องน้ำอันเลอะเทอะของผม

SANY3587

post นี้ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่อยากจะโชว์ว่ามันน่ารักเท่านั้นเองครับ แผ่นละ 80 บาทเองนะครับ ถ้าหากว่าใครซื้อมาแพงกว่านั้นขอให้เข้าใจว่าเป็นกำไรของพ่อค้าคนกลางครับผม เพราะ ตอนที่ผมซื้อมาเค้า(คนขาย)บอกว่า “มาจากโรงงาน” ซึ่งผมก็เข้าใจตามนั้นเพราะว่า คนขายแกขนมาเยอะมากจริงๆครับ แล้วก็ไม่ได้ขายอะไรอย่างอื่นนอกจากแผ่นเช็ดเท้ารูปสัพสัตว์น่ารักๆเหล่านี้น่ะครับ อ้อ .. เมื่อวานนี้ไปอำเภออัมพวามา ก็เห็นแว้บๆว่า มีคนเค้าขายเจ้าแผ่นเช็ดเท้าแบบนี้ด้วยแต่ว่าผมไม่ได้ถามราคาครับ