Tuesday, June 30, 2009

ทำไมรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ?

เพราะเรารู้สึกว่าเราจะต้องทำอะไรสักอย่างแต่ว่าก็ไม่ได้ทำตามที่รู้สึกเอาไว้นั่นเอง หรือว่ามีความคาดหวังเพื่อที่จะทำอะไรออกมาบางอย่างแก่โลกนี้ก็ไม่ได้ทำสักที มันเป็นเหตุที่ทำให้เรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก

หลายต่อหลายคนคิดเอาไว้ว่าจะทำอะไรสักอย่างขาดแค่ว่าจะได้ลงมือทำหรือไม่เท่านั้นเอง แค่คิดก็ถือว่าได้กระทำการคิดแล้ว แต่การกระทำเพื่อให้เกิดผลที่โลกจริงนั้นจะต้องผ่านการกระทำเท่านั้นไม่อย่างนั้นผลก็จะได้แค่ในจิตนการเราอย่างเดียวแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย แม้ว่าเราจะวาดฝันเอาไว้สวยหรูเริดอลังการงานสร้างสักเท่าไหร่ก็แล้ว มันก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลออกมาแม้แต่น้อย ไม่ว่าผลนั้นจะเป็นผลที่เป็นไปตามที่คิดหรือไม่ก็ตาม

ผมเคยอ่านหนังสือเรื่อง The Secret แล้วก็ยังดู DVD อีกต่างหาก เค้าจะบอกให้เริ่มคิด และคิดอย่างแรงกล้าเพื่อที่คาดหวังผลนั้นออกมาได้ที่โลกจริงที่เราสำเหนียกรู้ได้ ผ่านกระบวนการคิดอย่างตั้งใจจริงราวกลับได้เกิดขึ้นแล้ว และรู้สึกเหมือนกับว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วเป็นประจำครับ วิธีการนี้จะได้ผลกี่มากน้อยก็แล้วแต่ว่าคนที่เอาไปทำจะคิดจนเกิดการกระทำได้หรือไม่เท่านั้นเองน่ะครับ เพราะแค่คิดเฉยๆอย่างไรก็ไม่เกิดผล มันอาจจะสะท้อนออกมาในภาพที่ว่า เมื่อคุณคิดแล้ว มันอาจจะพาไปหาคนหรือเหตุการณ์ หรือบทความใดๆต่อไปเพื่อทำให้ตัวคุณนั้นเกิดการกระทำอะไรต่อไป ตามที่หัวคุณคิดอยากจะทำหรือต้องการที่จะให้เป็นนั่นเองครับ เหมือนกับคุณที่ได้อ่านบทความที่ผมโม้ให้ฟังนี้ เพราะผมรู้ว่าคุณต้องคิดที่จะทำอะไรสักอย่างอยู่แล้ว เหลือแค่ว่าคุณจะทำมันเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

วิธีการหนึ่งเพื่อบังคับให้ตัวคุณเอง ทำสิ่งที่คุณอยากทำ หรือคิดว่าอยากจะทำก็คือ การเขียนมันออกมาแล้วก็วาดกล่องสีเหลี่ยมเอาไว้ด้านหน้าเหมือนกับเป็น todolist เป็น checkbox เมื่อคุณได้เริ่มทำมันแล้วก็ให้ติ้ก checkmark ซะว่าการกระทำนั้นได้ทำแล้ว วิธีการเขียน todolist ก็เหมือนกับที่ David Allen บอกน่ะหละครับก็คือ ให้เขียน action ที่เป็นกริยาแล้วก็ไม่ต้องผ่านการคิดอื่นอีกว่าคุณจะต้องทำอะไรเช่น ถ้าหากว่า จะเลี้ยงแมว คุณก็เขียน action ไปว่า "ไปเจๆมอล์ร้านแมวที่เคยเจอ" ครับ ไม่ใช่เขียนว่า ไปซื้อแมวมา เพราะคุณยังต้องมาคิดอีกว่าไปที่ไหน มันเป็นการกระทำที่ต้องมาคิดต่อยังไงล่ะครับ แค่บอกว่าไปเจๆมอล์เท่านั้นก็พอที่จะทำให้ action นั้นเกิดได้ไม่ยาก เพราะการไป JJ mall จะทำให้คุณได้ซื้อแมวนั่นเองครับ แล้วคุณก็จะได้เลี้ยงแมวสมใจอยากครับ ภาพในหัวที่คุณกำลังมีความสุขกะการเลี้ยงแมวน้อยก็ปรากฏชัดได้บนโลกจริง แหม แต่ก็อีกน่ะหละ โลกเรามันไม่ได้ง่ายเหมือนกับการจะซื้อแมวนี่หน่า ก็แหงล่ะซิครับเพราะว่าคุณไม่ได้พิมพ์เขียนบอกออกมาให้เป็น real next action จริงๆนั่นหละ มันเกินกว่าที่จะทำให้มันขยับเขยื้อนได้ครับ เช่น ผมบอกว่าผมจะลดต้นทุนโรงงานที่ทำอยู่ วิธีคิดผมก็คือ หา next action คือ "เขียนวิธีการว่าจะลดอะไรได้บ้าง!บนกระดาษหรือ notepad" เมื่อผมทำผมก็จะมีการขยับ action เข้าไปเกี่ยวกับการลดต้นทุนโรงงานเป็นเป้าหมายอย่างแน่นอนน่ะครับ แม้ว่ามันจะมีเวลาสักหน่อยก็เถอะ

ทำไมต้องมีเวลามาหน่วงเอาไว้ เพราะถ้าหากว่าผมแค่คิดแล้วทุกอย่างเป็นอย่างนั้นจะทำให้โลกเราสับสนเกินไปน่ะครับ เช่นถ้าหากว่าอยากจะขี่ช้างแล้วช้างปรากฏตรงหน้าใต้หว่างขาเราเลยก็คงไม่ดีแน่ โลกเราจะสับสนกับการคิดแล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆทันทีครับ ทุกอย่างต้องมีเวลาที่เหมาะสมครับ ในหัวคุณก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ ผมแทบไม่ต้องบอกด้วยซ้ำว่า หัวคุณกำลังคิดแบบนี้อยู่เพราะว่าเราๆท่านๆอยู่ในโลกที่คุ้นชินกับสภาพแบบนี้มานานตั้งแต่เกิดแล้วน่ะครับ เช่น ถ้าหากว่าเราร้องไห้หิวนมเราก็จะรู้ว่าอีกเวลาไปนานนักนมก็จะมายัดใส่ปากเรานั่นเองครับ เรารู้เองด้วยซ้ำว่ามันต้องมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย ทำให้หัวเราคิดไปซะอย่างงั้น แต่ว่าถ้าใครจะฝืนเรื่องนี้ก็ต้องฝึกว่ามันจะลด constrain เรื่องเวลาออกไปได้โดยกำหนดคิดว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วมากๆหรือเร็วมากขึ้นครับ เช่น เดี๋ยวนี้คนจะพูดว่า กรรมติด internet high speed มันเดินเร็วมากภายในชาตินี้ เราคิดแบบนี้เราก็จะได้ผลของมันตามนี้ก็เป็นเรื่องดีน่ะครับเราก็จะได้เชื่อเรื่องกรรมซะหน่อยน่ะครับ ซึ่งเป็นเรื่องน่ะครับ คนเราจะได้ไม่ทำให้คนอื่นเค้าเดือดร้อนสักเท่าไหร่ หรือถ้าจะทำก็ทำให้น้อยลงไปได้ไม่มากก็น้อยกับการที่คนคิดแบบนี้น่ะครับ ยังไงก็แล้วแต่เรื่องของเวลาหน่วงเพื่อให้ได้อะไรบางอย่างตามที่เราคิดแล้วจะเร่งมัน มันก็เป็นเรื่องยากอยู่เพราะโดนฝึกมาแบบนั้นจริงๆน่ะครับ

ย้อนกลับมาประเด็น เมื่อมีเวลาหน่วงทำให้สิ่งที่เราต้องการนั้น หรือ คาดหวังนั้นเกิดขึ้นได้ช้า ทำให้เรารู้สึกไปเองว่า เวลานั้นมันเดินเร็ว อีกเหตุผลที่ว่าทำไมเวลาเดินเร็วก็อาจจะเป็นเพราะว่าใจเราจ่อกับเรื่องบางอย่างทำให้เวลารอบตัวเราเร็วได้ครับ เช่น ถ้าหากว่าเราจ่อสมาธิกับการทำข้อสอบมาก ไม่สนโลก เราจะรู้สึกว่าได้ว่าเมื่อทำข้อสอบสามชั่วโมงหมด มันก็แทบจะหมดเวลาแล้วน่ะครับ เหมือนว่าทำไมเวลาโลกมันเดินได้เร็วมากนัก หรือ ในทางตรงกับข้ามเราก็ทำให้เวลารู้สึกว่าช้าได้น่ะครับ ก็โดยการที่รออะไรบางอย่างใจเราไม่ได้จ่อกับอะไรบางอย่างแต่ว่านั่งรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เวลาก็เริ่มหนืด เพราะเราจดจ่อเหมือนกันแต่ว่าเราไม่ได้จ่อกับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่เวลา การจดจ่อกับเวลาจะทำให้รู้สึกว่าเวลามันช้าลงได้ถ้าหากว่าเรารออะไรบางอย่างน่ะครับ เวลาเหมือนจะเป็นผลที่เรารับรู้ได้จากการสัมผัสและเปรียบเทียบเหมือนกับอุณหภูมิก็ได้น่ะครับ (เช่นเรารู้สึกร้อนได้ก็ต่อเมื่อตัวเราเย็นกว่าสิ่งนั้นเป็นต้น)

ยังไงซะขอให้เรารู้ตัวแค่ว่าคิดอะไรแล้วจะทำให้มันเกิดได้ต้องมีการกระทำเท่านั้นเองครับ การกระทำจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีวิธีที่จะทำให้ตัวเองกระทำการครับ หรือมีแรงผลักดันเราในการกระทำนั้น แค่นั้นมันก็จะเกิดแล้วเท่านั้นเอง

ทำไมต้องกางเกงในกลับด้านในเป็นนอก นอกเป็นใน? (เฉพาะท่านชาย)

ตอนที่โรงงานทำกางเกงในเพื่อนำเสนอเพื่อการขายแล้ว present ใน package เราจะดูจากรูปร่างภายนอกได้อย่างเดียว แล้วสินค้าประเภทนี้เป็นสินค้าที่ลองไม่ได้หรือว่าต่อให้มีให้ลองเราก็ไม่ลอง (เพราะว่า ไม่รู้ว่าคนที่จะเอามาลองนั้นมันมีคนอื่นใส่มาแล้วกี่มากน้อยแค่ไหนกันแน่ แล้วคนที่ใส่ก่อนหน้าเป็นอะไรเหรอป่าวก็ม่ายรู้ หรือแม้ว่าแต่ให้พนักงานจะบอกว่าซักมาแล้วหรือบอกว่าเป็นตัวใหม่เราจะมั่นใจได้แค่ไหนกันมามันสะอาด หรือว่าจะเอามาดม ก็ไม่ใช่ !) เพราะฉะนั้นแล้วผู้ผลิตก็จะทำให้กางเกงในใส่กล่องแล้วออกมาดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ต้องคิดถึงตอนที่ใส่มากนัก เพราะมันไม่ได้เป็นจุดตัดสินใจ ณ เวลานั้นครับ มันแค่รูปร่างภาพนอก แล้วก็ภาพถ่ายเท่ห์ๆหน่อยของคนที่กระปุกใหญ่เท่านั้นเอง วิธีการเลือกก็เท่านั้นเหมือนกันน่ะครับ ว่ามันมี Brand โอเคเหรอป่าวแล้วก็มันดูดีหรือเปล่า แล้วมันน่าจะใส่ได้สบายเหรอป่าว โดยดูว่าเนื้อผ้าทำมาจากอะไรครับ

ทีนี้คิดได้แบบนี้แล้วแน่นอนว่าสำหรับสินค้ากางเกงในระดับปานกลางก็พยายามทำให้ภาพลักษณ์ออกมาดูดีแต่ว่าไม่ต้องเน้นการใส่เท่าไหร่ (ไม่มีคนลอง) หรือว่ายิ่งเป็นสินค้าไม่ได้มี Brand แล้วด้วยไม่ต้องพูดถึงว่า เรื่องที่จะเอามาใส่นั้นไม่ต้องคำนึงถึงเลยก็ว่าได้ ทำให้คนออกแบบกล่องและกางเกงในเอาตะเข็บเย็บเก็บไว้ด้านใน ทำให้เนื้อผ้าด้านนอกดูดี ดูน่าจับสัมผัส หรือดูนุ่มนวลไม่หยาบกล้านเอาให้เหมือนอุปกรณ์ที่ห่อหุ้มมันน่ะหละครับ แปลว่าอะไรน่ะเหรอครับ ? มันก็แปลว่า เวลาใส่เมื่อเอาด้านปกติใส่เข้าไป (ด้านในสัมผัสกับกายา) มันก็จะมีการสัมผัสกับผิวเย็บตะเข็บและอื่นๆที่เป็นงานหยาบไม่ละเมียด ตรงกันข้ามส่วนที่นุ่มหนา ไร้รอยต่อหรือมองไม่เห็นก็จะอยู่ที่ด้านนอกแทนยังไงล่ะครับ เพราะฉะนั้นแล้ว วิธีการใส่กางเกงในที่ออกแบบมาเพื่อนำเสนอที่ดีนั้น น่าจะกลับทิศการใส่ก็คือ เอาด้านนอกใส่เป็นด้านในแทน จะได้สัมผัสที่ดีกว่ามากๆ กรณีนี้ทดสอบแล้วใช้ผลเป็นอย่างดี กับสินค้าที่ไม่มี Brand ครับมันจะให้การสัมผัสที่แตกต่างกันระหว่างด้านในและนอก ราวกับฟ้ากับเหวถ้าเป็นคนจับรายละเอียดของชีวิตน่ะครับ

ถ้าหากคิดต่อจะเห็นได้ว่าเมื่อเราใส่กลับด้านกันแล้วจะทำให้ภาพลักษณ์ที่เห็นผ่านหน้ากระจกจะตลกเล็กน้อยน่ะครับ หรือว่าถ้าหากว่าจะไปเปิดให้คนอื่นดูก็จะตลกมากเอาการ แต่สำหรับเวลาปกติที่ไม่ได้เอาไปโชว์ความแมนให้คนอื่นดูก็ไม่เสียหายอะไรที่จะเอาด้านน่าเกลียดๆหันออกนอกตัวน่ะครับ เพราะมันก็ไม่ได้มีคนดูอยู่แล้วถูกเหรอป่าวล่ะครับนั่น

เพราะงั้นแล้ววิธีการกลับในเป็นนอกนอกเป็นในนั้น แนะนำเป็นอย่างยิ่งสำหรับท่านชายกันเลยก็ว่าได้ครับ ถ้าหากว่ามีไอเดียอะไรเจ๋งๆอีกแล้วจะมาโม้ต่อให้ฟังเนื้อความหน้าแล้วกันนะครับ

Monday, June 29, 2009

ทำออกมาเป็นกล้วยปาด chocolate rocky banana แทน มันหน้าเกลียดเหมือนก้อนหิน

เง้อทำกล้วยออกมาแล้วมันไม่ได้ดูน่ากินสักเท่าไหร่เลยน่ะครับเพราะประสบปัญหาเยอะอย่างเลยล่ะครับ ปัญหาทีว่าก็ได้แก่

- การทำให้ chocolate ละลาย เพราะทำตามสูตรด้วย microwave แล้วมันไม่สามารถที่จะละลาย chocolate ให้เหลวได้มันออกจะเหมือนกับปูนตอนที่กำลังกวนอยู่น่ะครับแค่ว่ามันมีสีเป็นสีน้ำตาลเท่านั้นเอง

- ใจร้ายพอเอาไปทำการละลายที่กระทะสองชั้นแล้วก็พบว่า มันก็ละลายได้ดีกว่าเดิมน่ะครับแต่ว่าอยากจะทำเร็วๆ ทั้งๆที่มันยังไม่ได้เหลวเป็นน้ำเท่าไหร่ เป็นเหมือนกับครีมๆหนืดๆก็เอาและ เอาออกจากความร้อนทำให้มันจับตัวเร็วไปหน่อยแล้วก็เอามาไปที่กล้วยทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็น… “กล้วยปาด chocolate”

เอาเถอะครับแต่ว่ากินรวมๆแล้วรสชาติดีเหมือนกับที่ coat สวยๆน่ะหละครับไว้ทำดูใหม่งวดหน้าเรียนรู้ประสบการณ์งวดนี้แล้วก็เอาไปทำงวดหน้าแทนแล้วกันนะครับ ถ้าหากว่าทำอีกก็จะโม้อีกรอบ
IMAGE_276 น่าเกลียดที่สุดเลยน่ะครับแต่ว่ารสชาติใช้ได้เพราะว่าใช้ chocolate อย่างแพงมาทำเลยนะเนี่ยะ อิอิ ..

Sunday, June 28, 2009

กล้วยเคลือบ chocolate


เป็น project สำหรับวันว่างที่น่าทำมากๆเลยน่ะครับ ปกติแล้วจะชอบกิน chocoloate ที่กินกะกล้วยหอมน่ะครับ ผมคิดว่ามันเข้ากันมาก ถึงมากที่สุดแล้ว ระหว่าง chocolate และ Banana คนอื่นเคยเล่าให้ผมฟังว่าเค้ากินกล้วยเนียะนะ เค้าต้องเอาไปแช่เย็นมันจะอร่อยมากๆครับ แต่ว่าถ้าหากว่าทำเป็น Frozen Banana Coated with Chocoate นี่น่าจะอร่อยที่สุดเท่าที่สองสิ่งนี้จะรวมกันได้แล้วน่ะครับ แต่ก่อน Swensen มีทำขายอยู่แต่ว่าเลิกทำไปได้มากกว่า 5 ปีแล้วล่ะมั้งครับไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่อยากกิน หาที่กินไม่ได้เลย กทม เนี่ยะ หรือว่าร้านไหนมีทำขายมั่งก็บอกแล้วกันน่ะครับ แต่ว่านี่แน่ๆตอนนี้เกิดความอยากที่จะทำเองขึ้นมาเองแล้วซะ ดูเหมือนกะว่ามันต้องลองกันหน่อยแล้วน่ะครับ
อ่านขั้นตอนการทำได้ที่นี่เลยน่ะครับ

Thursday, June 25, 2009

ออกอาการตอนที่ไม่ได้เล่นเกมส์มันรุนแรงอย่างนี้นี่เอง

นี่เป็นอาการคนที่ติดเกมส์แล้วโดนยกเลิก account สำหรับการเล่นเกมส์น่ะครับ ออกอาการอย่างรุนแรงมาก แต่ว่าอย่างน้อยที่สุดก็เป็นเด็กดีไม่ทำร้ายหรือทำลายข้าวของน่ะครับ แสดงว่าพ่อแม่สอนมาดีครับ ให้รู้จักอดทนอดกลั้นเอาไว้สักหน่อย ถึงแม้ว่าพอจะแสดงอาการอยู่บ้างก็เถอะครับ ^_^ note : การรองเอา remote เสียบก้นนี่ไม่เป็นน่าจะเป็นการลงโทษตัวเองเท่าไหร่น่ะครับ เห็นอะไรที่ไหนมานะเนียะแปลกมากเลย อ้อ กะการเอาร้องเท้าตีหัวตัวเองด้วยน่ะครับ เป็นการระบายอารมณ์ที่แปลกใช้ได้น่ะครับนั่น

Sunday, June 21, 2009

เว็ปแคมมันมีอันตรายต่อสุขภาพ ..(ตรงไหนเนี่ยะ)

ไม่เคยเห็นคำถามอะไรแปลกๆแบบนี้น่ะครับ ใช้ webcam ไม่น่าจะทำให้เกิดอาการเสียสุขภาพได้น่ะครับ มีแต่จะเสียเวลามากกว่าถ้าหากว่าเราเอาไปคุยกะคนที่ไม่รู้จักแล้วก็ไม่ได้คิดจะสานสัมพันธ์อะไรต่อไปกับเค้าด้วย อ้อๆถ้าหากว่าคุยผ่านเว็ปแคมแล้วติดมากๆ ก็จะทำให้ไม่หลับไม่นอน จะเป็น effect มาจากการอดหลับอดนอนเสียมากกว่า webcam มันไม่ได้ปล่อยแสงอะไรที่เลวร้ายเข้ามาที่ตัวเราได้หรอกครับ มันก็เหมือนกับกล้องธรรมดาๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเองครับ ถามอะไรแปลกๆน่ะครับผม

Saturday, June 20, 2009

แนวคิดแปลกๆสำหรับการเลิกราเชิงชู้สาว : Optimal (minimum regret) ทำอย่างไรให้เกิดความเศร้าโดยรวมน้อยที่สุด

ปกติแล้วพวก music video จะบอกกับคู่กรรมของเราว่า "เธอดีเกินไป"  หรือ ในทางตรงกันข้ามก็แปลว่ากำลังบอกว่า "ตัวเองนั้นเลวเกินไป" ซึ่งถ้าหากว่าเป็นแบบนี้ตาม logic แล้วคนที่ฟังคำพูดแบบนี้จะเกิดอาการเสียใจเพราะว่า ชั้นมันเป็นคนดีทำให้เธอต้องเลิกรากับชั้นอย่างงั้นหรือ เสียใจหนักหน่วงเพราะเรื่องแบบนี้มันแก้อะไรไม่ได้เพราะถ้าไม่ดีทำไมต้องมาชอบตั้งแต่ทีแรก แหม ถ้าหากว่าชอบคนเลวๆไม่ดีแล้วไซร้ใยเล่าต้องมารักกัน อืม .. เหมือนกะที๋โน้ตอุดมมักจะเอามาเป็นมุขแซวน่ะหละครับ การบอกด้วยการใส่นิเสศน์ปกติแบบนี้ เหมือนจะบอกว่าคนบอกเลิกนั้นเลว แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการเน้นว่า ทำไมมาเลือกคนดีอย่างงี้ได้ โอ้ว เพราะว่าเค้ายังเห็นว่าดีอย่างงี้ยังบอกว่าเลวอีก ฟังแล้วอาจจะงงๆ คือง่ายๆดีกว่าครับ มันแปลว่า สิ่งที่ทำก็คือต้องการจะรักษาภาพลักษณ์ให้ออกมาดูดี แม้ว่าจะเกิดการเลิกรากันแล้วนั่นเอง แล้วแบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียใจครับ

ถ้าหากแบบนั้นลองคิดและทำกลับทางกันดูได้ไม่ยาก วิธีการก็คือ ถ้าหากว่าลองบอกเลิกด้วยการบอกว่า "ชั้นดีเกินไป" หรืออีกทางก็คือจะบอกเป็นนัยว่า "เธอนั้นเลวเกินกว่าจะรับได้" เป็นวิธีการที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียใจ แม้แต่น้อย ขอย้ำว่าแม้แต่น้อย แต่อารมณ์ที่พึงเกิดก็คิอความโกรธและเกลียดเข้ามาแทนที่ครับ หรืออีกทางที่เป็นไปได้ก็คือ ความรู้สีกดีเหลือเกินที่ทิ้งคนนี้ไปได้ เพราะ มันแย่เกินไปแล้วขนาดแบบนี้ยังจะบอกว่าตัวเองดีอย่างงั้นอยู่ดี แล้วก็มาว่าชั้นอีกว่าดีเกินไปยังไงอย่างงั้น และนี่ก็เป็นวิธีการที่ทำให้อีกฝ่ายที่ต้องโดนบอกเลิกไม่เสียใจครับ ถ้าหากว่าต้องการไม่ให้เกิดความเสียใจเพราะตัวเองรู้ว่าเรื่องนี้ที่เดิมหน้าไปด้วยกันไม่ได้นั้นมันเกิดเพราะตัวเองหรือตัวตนเองแท้ๆแล้ว อย่าทำให้คนอื่นเสียใจจะดีน่ะครับ จงรับความกดดันความรู้สึกที่จะต้องโดนมองว่าไม่ดีไว้กับตัวผ่านมุมมองของผู้ถูกบอกเลิกไว้เองจะดีกว่า อย่าไปทำให้คนอื่นต้องเกิดความทุกข์ใจ แต่กลับทำให้เค้านั้นรู้สึกดีและสาแก่ใจน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า อารมณ์เสียใจเป็นไหนๆครับ แต่เงื่อนไขอีกข้อก็คือว่า เค้าเหล่านั้นจะต้องไม่ได้อ่านบทความนี้ด้วยเช่นเดียวกันครับ เค้าต้องคิดเหมือนกับคนปกติที่คิดเท่านั้นมันถึงจะเป็นไปตามเงื่อนไขนี้ได้ครับ ไม่อย่างงั้นก็จะย้อนกลับทิศของความรู้สึกอีกครั้งได้ หรือ อย่างน้อยที่สุดก็จะเกิดความสับสนของอารมณ์ และ ความคิด หรือไม่แน่ใจว่าตนเองนั้นจะต้องคิดอย่างไรกันแน่

หลักๆแล้ววิธีการที่เล่าให้ฟังนี้ ผมเห็นน้อยคนนักจะใช้กันน่ะครับ แต่มีคนทำแบบนี้แน่นอนครับ คือ การทำให้ตัวเองดูแย่ เกินกว่าที่จะรับได้ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียใจแก่การเลิกราครั้งนั้นๆไป เช่น วิธีการทำตัวเหมือนเจ้าชู้ วิธีการบอกชื่อคนอื่นเป็นกิ้กเบอร์ 2 ,3 หรือ 4 วิธีการเมมเชื่อเบอร์ทุกคนเป็นผู้หญิงชื่อนั้นชื่อนี้ทั้งหมด ไม่ว่าใครก็ตามที่โทรมา หรือ วิธีการกดดันอื่นๆใดๆที่ทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพอันไม่พึงประสงค์ของอีกฝ่าย มันทำได้เยอะวิธีการมากๆ สุดที่จะบรรยายครับ ซึ่งการทำแบบนี้มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรมากมายนัก แต่ต้องเตือนหน่อยว่าคุณก็ต้องรับได้เช่นเดียวกันที่จะทำให้คนอื่นจากไปโดยไร้ความเสียใจแม้แต่น้อยได้ แล้วคุณนั้นก็อมเก็บงำความคิดความทุกข์นั้นเอาไว้เอง หรือ ไม่ก็คุณต้องปลงอารมณ์ได้จริงครับ แบบนั้นก็จะไม่มีใครอยู่สภาวะของอารมณ์เศร้าแม้แต่คนเดียว เป็น minimum regret ของทั้งสองฝ่ายด้วยกันทั้งคู่เลยครับ วิธีการนี้จะกินเวลาน้อยมากๆ สำหรับคนปกติทั่วไป แต่จริงๆแล้วมันก็มีวิธีการอื่นอยู่เหมือนกันแต่ว่ามันกินเวลามาก คือ การทำให้สภาพความเบื่อหน่ายเกิดความชินชาขึ้นมาและทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะผละจากกันโดยไม่เกิดอารมณ์เสียใจอย่างมากอออกมาได้ แต่อย่างว่ามันกินเวลาเหลือเกินแล้วก็กรณีผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากครับ เพราะการกินเวลาทำให้ผู้หญิงซึ่งมี bio-clock สำหรับการแต่งงานหรือสืบพันธ์ในวัยที่เหมาะที่ควรนั้นลดลงไปได้ นั่นก็แปลว่า นอกจากคุณผู้ชายจะเป็นคนที่ไม่สนว่าเค้าจะเสียใจแค่ไหนแล้วยังจะไม่สนด้วยว่า เค้าจะเหลือเวลาเพื่อไปเลือกคนอื่นๆต่อไปได้อีกมากน้อยแค่ไหน มันเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยเหรอป่าวครับแบบนั้น..

Friday, June 19, 2009

คุณเป็นต้นทุนหรือเป็นทรัพยากรขององค์กรกันแน่?

ต้นทุน มันก็คือสิ่งที่พึ่งลดหากการบริการหรือสินค้าสุดท้ายไม่ได้ทำให้ด้อยคุณภาพลงแต่อย่างใด

ทรัพยากร เป็นสิ่งทีมีคุณค่าต้องการที่จะมีและต้องใช้ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด

แล้วพนักงานหรือตัวเราเองนั้นมุมมองจากองค์กรของคุณเองมองเห็นคุณเป็นอะไรกัน ต้นทุน หรือว่า ทรัพยากรอันมีค่า พึงรักษาและอนุรักษ์ไว้

สำหรับผมแล้วคนที่คิดได้ สร้างสรรงานและเดินงานได้เอง ไม่ต้องกินเวลาคนอื่นเพื่อที่จะทำอะไรบางอย่าง หรือ เพื่อที่จะแก้ปัญหาของตัวเองได้นั้นคนๆนั้นเป็นทรัพยากรพึงรักษาไว้ เพราะคนๆนี้เป็น auto pilot นักบินแบบที่เดินทางได้เองไม่ต้องกินเวลาคนอื่นแล้วก็ออกงานที่คุ้มค่าอีกต่างหาก นี่ละครับทรัพยากรมนุษย์สำหรับองค์กร แต่ก็อีก องค์กรเพื่อเป็นการลดต้นทุนทั้งระบบ อาจจะเป็นไปได้ที่มีแนวคิดว่า ถ้าหากว่าจะลดต้นทุน ก็ต้องแปลงทรัพยากรให้เป็นต้นทุนไปค่อยไปลดต้นทุนเสีย เช่นว่า ถ้าหากว่างานๆนั้นเคยจำเป็นต้องพึงพาความคิดเห็นมากมาย หรือความรู้จำเพาะทางที่ผูกกับคนก็จะเอา tecnology เข้ามาแทนสำหรับส่วนที่แทนได้เพื่อที่จะพยายามทำให้ทรัพยากรเป็นแค่ต้นทุนแล้วเคยกำจัดต้องทุนลง แอ้ะถ้าคิดแบบนี้แสดงว่าก็อยากจะกำจัดทรัพยากรด้วยน่ะซิ มันก็ไม่เชิงหรอกครับ เพราะถ้าหากว่า asset ทำได้เหมือนทรัพยากรมนุษย์แปลว่า asset แบบที่ไม่ได้เป็นมนุษย์จะดีกว่า เพราะจะไม่ค่าใช้จ่ายเพิ่มต่อไปใดๆ มีแต่มันจะเสื่อมลงไปตามเวลา (concept ค่าเสื่อมราคา)

สำหรับคนที่เป็นต้นทุนจริงๆ คือ ทำงานอะไรที่มันไม่ต้องเป็นงานก็ได้อยู่แต่ก็จะทำเพราะว่าจะทำให้เหมือนกับว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ตัวเองมีความสำคัญต่องานนั้นๆทั้งๆที่มันมีวิธีการที่ดีกว่านั้นที่จะไม่ต้องเอาคนเข้าไปเกี่ยวข้องได้ คนที่เป็นต้นทุนที่ทำงานแบบนี้จะต้องโดนระบบกลั่นออกไปตามธรรมชาติครับ เหนื่อยหน่อยที่แต่ละองค์กรจะต้องมีคนแบบนี้อยู่เสมออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างงั้นองค์กรก็จะไม่มีต้นทุนที่ให้ลดได้อีกแล้วน่ะซิครับ ถ้าหากว่าไม่มีต้นทุนคนเหล่านี้เข้ามาฝังตัวเอาไว้

มุมมองอีกแบบคือ คนต้นทุนมีอยู่องค์กรเสียเปรียบ คนทรัพยากรมีอยู่องค์กรได้เปรียบคนเหล่านั้น เพราะ คนเหล่านั้นจะคายผลลัพธ์ออกมาได้ดีกว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการมีอยู่ของคนๆนั้นมีองค์กร

ดูเหมือนเป็นเรื่องหน้าเศร้าที่ว่า คนที่อยู่ใน coperate แบบนี้จะโดนแยกแยะออกเป็นแบบนี้ โดยไม่ได้ดูให้ลึกกว่านี้ว่า คนก็เป็นคนอยู่ดี คนเท่านั้นที่จะดำเนินเรื่องราวต่างๆไปได้ มีความคิดที่ซับซ้อนทั้งเกมส์การเมืองและการคิดวิเคราะห์งาน คนเราทำอะไรได้มากกว่าหุ่นที่ออกแบบเป็นไหนๆ หุ่นจะทำได้ก็แต่งานที่ไม่ต้องคิดแล้ว มีการกำหนดเอาไว้แล้ว แล้วก็เป็นงานที่น่าเบื่อที่คนไม่อยากจะทำหรือว่าเป็นงานประเภทที่มีอันตรายก็ต้องเอาหุ่นมาแทนเหมือนกันน่ะครับ

ผมไม่ได้มองว่ามันหน้าเศร้าอะไรมากมายน่ะครับ เพราะ ความจริงก็คือความจริงน่ะคครับ ไม่มีใครเก่งกว่าใครแท้จริงตลอดเวลาหรอก

ลองเก็บไปคิดละเมอดูเอาเองแล้วกันน่ะครับผม

ทำความเลวตัวเองไม่ทำ แต่ให้คนอื่นทำได้โดยไม่รู้สึกว่ามันไม่ดี (หรือรู้สึกก็รู้สึกน้อยกว่าที่ทำเอง)

มันเป็นเหตุว่าทำไมต้องว่าจ้างมือปืนรับจ้าง ทำไมไม่ทำอะไรเองไปเลยล่ะถ้าหากว่ามันแค้นนัก  หรือเพราะว่ายังคิดแบบคนดีอยู่ ไม่อยากทำเพราะว่ากลัวบาปให้คนอื่นทำให้จะได้ไม่บาป แท้ที่จริงแล้ว คนเราจะทำอะไรที่มันเลวร้ายอย่างงั้นได้ มักจะหาทางทำให้ตัวเองคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร เพื่อเป็นการลดความหนักใจหลังมีการกระทำนั้นเกิดขึ้นแล้ว เรียกได้ว่า เหมือนกับว่าคนอื่นทำ ตัวเค้าเอาไม่ได้ทำอะไร ทั้งๆที่เป็นคนสั่งหรือว่าต้นตอแห่งความคิดมาจากเค้าคนนั้น

มันเป็นเหตุผลอยู่เหมือนกันว่า ทำไมุการทำร้ายกันแบบว่าจ้างถึงเกิดขึ้น เพราะว่าคนทำก็ไม่ได้คิดว่าตัวเค้าเอาเป็นทำหรอก เพราะว่าทำไปเพราะต้องการหาเลี้ยงตัวเองต่างหาก คนที่ทำ คือ คนที่สั่ง ไม่ใช่ตัวเค้า แต่เค้าก็ไม่รู้หรอกหรือว่าถ้าคิดแบบนั้นมันก็เป็นการทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนปกติ หรือเป็นการทำให้ตัวเองไม่รู้สึกไม่ดี  สำหรับคนที่ทำให้เกิด action การทำร้ายกันนั้น ทางวิทยาศาสตร์เหมือนจะมีการทดสอบเอาไว้ คนที่ทำร้ายคนอื่นจะรู้สึกผิดน้อยลง เหมือนกับว่าไม่ได้ทำผิดอะไรด้วยซ้ำ และนั่นก็เป็นเหตุผลอีกอย่างที่ว่าทำไมระบบของทหาร สำหรับการสู้รบจะต้องมีระดับชั้นเพื่อสั่งการมากมายก่ายกองนัก ก็เพราะ จะทำให้พลทหารไม่รู้สึกผิดที่จะต้องทำลายทำร้ายคนที่ตั้งชื่อเอาไว้ว่าเป็นศัตรูทั้งๆเค้าเหล่านั้นก็เป็นคนเหมือนกันดีๆนี่เอง ณ ตอนที่ไมได้อยู่ในสภาวะสงคราม

เหตุการณ์เหล่านี้ผมรู้สึกได้กับตัวผมเองเลยก็มีน่ะครับ ก็เช่น เมื่อไม่นานมานี้ (ตะกี้นี้) คนขับรถผมจะ u turn รถแต่ว่าเค้าแซงรถคันอื่นๆที่ต่อคิวกันแล้ว ทำให้เราเป็นคนตัดหน้ารถคันอื่นๆทั้งๆที่มีคิว ผมเป็นคนนั่งผมไมได้เป็นคนขับ ถ้าหากว่าผมเป็นคนขับผมจะไม่ทำแบบนี้เพราะว่ามันรู้สึกผิด คนอื่นเค้าเข้าแถวกัน เรามาแซงแบบนี้ ความรู้สึกในใจก็ไม่ดีแล้วน่ะครับ แต่แล้ว พอคนขับรถเป็นคนทำ ในใจกลับคิดซะว่า อืม ..ก็เร็วดีไปซะอย่างงั้น อ้าวทำไม เราคิดอย่างงี้ล่ะ ทั้งๆที่การกระทำก็เหมือนๆกัน ก็เพราะว่า เราก็คิดว่าตัวเราไม่ได้ทำเองแต่ว่าเราได้รับประโยชน์จากการกระทำ ซึ่งถ้าหากว่าเป็นตัวเองก็จะไม่ทำยังไงล่ะครับ ผมก็เลยมาคิดต่อว่าทำไมมีระบบว่าจ้างเพื่อทำร้ายคนอื่น ทำไมคนว่าจ้างไม่รู้สึกผิดอะไร ทำไมคนรับจ้างไม่รู้สึกผิดอะไร เพราะแท้ที่จริงแล้วคนเราแต่ละคนล้วนมีความสำนึกผิด แลเป็นคนดี หรือ อยากเป็นคนดีต่อคนอื่นๆกันทั้งนั้น แค่ว่า เค้าต้องคิดอะไรไปแปลกออกไปจากปกติแน่ๆเท่านั้นเองครับ

ลองมอง case ที่เบากว่านี้สักหน่อยก็น่าจะดี การกินเนื้อสัตว์ เราในฐานะคนกิน (ผู้บริโภคน่ะหละถ้าหากว่าพิมพ์ให้ดูดีหน่อย) เราเกิดอยากกินไก่กินเนื้อกินหมู แต่ว่าเราก็คว้าเอาซากเนื้อสัตว์เหล่านั้นมาจาก super market ช่องแช่เย็นอยากไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อบ แค่รู้สึกแค่ว่ามันเป็นแค่อาหารของเราเท่านั้น นั้นก็แปลว่า ระบบการ distribute จากโรงปลิดชีวิตสัตว์ มาจนถึงมือคนกิน ทำให้ความรู้สึกผิด สำหรับการกินเนื้อสัตว์อันตธานหายไประหว่างทางได้ไม่ยากเย็น แม้แต่เด็กก็เลือกเนื้อสัตว์หรือยากกินไก่ทอดได้โดยไม่ได้รู้สึกถึงการทำลายชีวิตเลยแม้แต่น้อย

เหตุผลก็น่าจะเป็นเหตุลผเดียวกัน คือ คนสั่งไมได้รู้สึกผิด (ได้ผลประโยชน์ เช่น การกิน อร่อยเป็นต้น) คนปลิดชีวิตสัตว์ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเพราะว่าเป็นการได้รับคำสั่งมาหรือเป็นโรงงาน คนอื่นบอกให้ทำเราก็ทำ ไม่ผิดอะไรนี่หน่า ทั้งสองเหตุผลนี้ทำให้ระบบการทำลายชีวิตเกิดขึ้นได้โดยทุกคนรู้สึกดีเหมือนปกติ หรือ ถ้ารู้สึกไม่ดีก็แค่นิดหน่อย แม้แต่เด็กไร้เดียงสาก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรแม้แต่น้อยน่ะครับ

ว่าแล้วก็กิน steak เนื้อต่อไปด้วยความไม่รู้สึกรู้สาอะไร ..

Tuesday, June 16, 2009

ฟิตเนสเซ็นเตอร์กับออกกำลังกายทีสวนสาธารณะมันต่างกันยังไง ?

วันนี้ไปออกกำลังกายอีกแบบหนึ่งที่ไม่ได้ไปสวนสาธารณะ มันก็คือ Fitness center ครับ ไปดูแล้วตอนแรกคิดว่า กลุ่มคนใช้งานจะเหมือนกันระหว่าง สวนสาธารณะ กับ fitness center แต่ผลปรากฏว่า ลูกค้าของสถานบริการทั้งสองประเภทนี้นั้นมันแตกต่างกันลิบลับครับ เพราะ พวกที่ไปเช้าตื่นเช้าและเป็นอาม่าอากง รวมทั้งคนที่อยากมีสังคมที่แน่นอน เค้าจะเลือกที่จะไปสวนมากกว่า ไป Fitness Center ส่วน Fitness Center นั้นจะมีเอาไว้สำหรับคนที่ออกกำลังกายคนเดียวหรือไม่ได้สังคมเท่าไหร่ เรียกว่า ออกกำลังกายเพื่อออกกำลังกายกันอย่างเดียว (จริงๆมันได้มากกว่านั้นถ้าหากว่าไปที่สวนน่ะครับ)

ทำไมเป็นแบบนี้? เพราะที่สวนนั้นจะมีการออกกำลังกายเป็นหมู่เหล่า ณ เวลาที่แน่นอน เหมือนเดิมทุกวันซ้ำกันทุกวันไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เรียกว่าคนไหนทำจับช้วง (ออกกำลังกายแบบง่ายๆคนอายุเยอะเล่นได้) ก็จะทำเหมือนเดิมเจอหน้ากันทุกวัน คนไปก็จะเป็น routine ได้ดีกว่าคนที่ไปแบบ Fitness ครับ หรือมากกว่านั้นคือสวน ที่วิ่งมักจะวิ่งเป็นทีม คือไม่ได้วิ่วงคนเดียวโดดๆตัวใครตัวมันเหมือนกับลู่วิ่ง ที่เริ่มไม่พร้อมกันก็ได้ แล้วก็จบไม่พร้อมกันก็ไม่เป็นไร แล้วก็วิ่งกันคนละ speed ก็ยังอยู่ด้วยกัน แต่ว่าไม่ได้คุยกันเท่าไหร่หรอก เพราะว่าลู่วิ่งจะมี TV อยู่ที่ตรงหน้าแล้วเหนือไปกว่านั้นก็จะมีหูฟังเพื่อปิดรับสื่อทางสังคมอื่นๆไปอีก มันยิ่งกว่าที่ผมวิ่งโดยเอา ipod ยัดหูซะอีกน่ะครับ เพราะ มี TV นี่เรียกว่าไม่ได้มองอะไรอย่างอื่นหรือว่ามันไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นเลย แต่ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ลู่วิ่งจะต้องมีแบบนี้ เพราะ ใครต่อใครก็บอกผมเหมือนกันว่า ลู่วิ่งมันจะน่าเบื่อเอามากๆ เพราะแค่ฉากประกอบมันยังเหมือนเดิมเลย แล้วก็อากาศที่วิ่งมันเป็นห้องแอร์ เหมือนกะการอยู่ห้องอยู่เฉยๆก็เท่านั้น

นั้นก็หมายความว่า จริงๆแล้วการออกกำลังกายแบบ Fitness Room นั้นจะต้องมุ่งมั่นเพื่อการได้รับผลประโยชน์จากการออกกำลังกายเท่านั้น สังคม หรือ entertain อื่นๆจะไมมีเลยก็ว่าได้ เพื่อนๆที่โผล่หัวมา ณ เวลาเดิมๆนั้นก็จะไม่มี (ผมไปซ้ำเวลามาหลายครั้งแล้วก็ไม่เห็นหน้าเดิมเท่าไหร่) การมาใช้บริการไม่ได้เป็นเวลาแน่นอน แล้วก็ตอนเช้าคนจะน้อยมากๆ ยิ่งวันสุดสัปดาห์แล้วก็ยิ่งน้อยใหญ่สลับทางกับคนที่ไปใช้บริการสวนสาธารณะเป็นไหนที่วันหยุดจะมีคนเยอะกว่าเดิมมากนัก โดยเฉพาะวันอาทิคย์ครับ

โดยรวมแล้ว สถานบริการเพื่อการออกกำลังกายทั้งสองประเภทนี้ให้บริการแก่ลูกค้าคนละกลุ่ม ว่าแต่ว่าผมน่าจะเป็นกลุ่มที่เหมาะจะเข้า Fitness มากกว่าก็เป็นได้น่ะครับเพราะมันไม่ได้กินเวลาในการเดินทางใกล้บ้านสุดๆ แล้วก็มาออกกำลังกายแบบชัดเจนไม่ได้หวังอะไรอย่างอื่นกะเค้ามั่งเล้ย . .

Sunday, June 14, 2009

จะโกรธไปใย ? คิดยังไงไม่ให้โกรธแม้แต่น้อย…

ไม่คิดว่าเป็นเพราะพันธกรรมน่ะครับเป็นเพราะว่าคุณผ่านประสบการณ์ตอนเด็กที่ทำให้คุณมีความคิดและพฤติกรรมให้เกิดความโกรธหรือโมโหได้ง่ายมาก แล้วก็คุณก็อธิบายต่อมาแล้วว่ามันไมดียังไง เหมือนว่าจะรู้ตัวน่ะครับ ว่ามันเป็นการทำร้ายตัวเองครับ มันไม่ได้ทำร้ายแค่สภาพทางจิตมันเป็นการทำร้ายทำลายทางกายภาพด้วยน่ะครับ

แต่ว่าผมยินดีด้วยน่ะครับที่ว่าคุณรู้ตัวแล้ว คุณรู้ว่าคุณมีอารมณ์โกรธ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากทีเดียวครับ เพราะการสำเหนียงรู้ว่าคุณมีอารมณ์เป็นอย่างไร ทำให้คุณมองภาพสะท้อนตัวเองได้น่ะครับ

แนวคิดที่พึงมีคือ การโกรธไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นแม้แต่น้อย แล้วคนอื่นก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีไปกับคุณด้วย หรือว่าถ้าหากว่าคนอื่นเค้ารู้สึกไม่ดีจริงๆ มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรที่จะทำให้คนอื่นนั้นรู้สึกไม่ดีจริงเหรอป่าวล่ะครับ ทำไมคูณอยากให้คนอื่นเค้าเห็นภาพลักษณ์ของคุณว่าคุณกำลังโกรธหรือควบคุมอารมณ์ไม่ได้เหรอครับ สิ่งที่ต้องคิดคือ "รู้ว่าความโกรธมีแล้วระลึกซะว่ามันไม่ได้มีอะไรดีขึ้น แล้วจะโกรธไปทำไม"

สิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงคือ ความคิด! คุณเคยเป็นคนปกติที่ไม่มีอารมณ์โกรธอยู่ร้อยละ 95% ของเวลานะผมว่า แหม แค่โกรธ 5% ของเวลาเนี่ยะผมว่ามันเยอะมาเกินไปด้วยซ้ำน่ะครับ ยังไงซะก็แล้วแต่ เมื่อคุณโกรธขึ้นมา คุณลองนึกย้อนซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกับที่ผมพิมพ์ซ้ำไปซ้ำมาอยู่นี่เสียว่า แล้วจะโกรธไปทำไม มันโกรธมันทำให้คุณคิดอะไรไม่ออก มันไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาแม้แต่น้อย คุณชอบที่จะอยู่ในอารมณ์อย่างนั้นหรือ? ก็ไม่ สรุปคือ "แล้วจะโกรธไปทำไมกันล่ะนั่น เมื่อมันไม่ได้ทำอะไรให้มันดีต่อตัวคุณเองแม้แต่น้อย" คิดไปซะว่าอยากจะอารมณ์ปกติเท่านั้นเองครับ

ฝึกความคิดต่อเมื่อมีแรงกระทำจากภายนอก เริ่มเห็นความเป็นจริงว่าโลกเรามีแรงกระทบทางจิตเข้ากระทำเราที่จิต สิ่งที่เราต้องทำ คือ สร้างเกราะความคิดป้องกันตัวเราซะ เพื่อไม่ให้จิตเราหวั่นไหว เรียกได้ว่าไม่มีอารมณ์ไปตามกระแสแรงกระแทกทางจิตนั้นครับ ทำไมล่ะ ถ้ามันจะมีแรงกระแทกมา เราคิดซะว่าเอาหาทวนความโกรธ ! (ไม่ได้เอาหูทวนลมนะครับ) เพราะคุณต้องฟัง รับรู้ แล้ว เลือกที่จะไม่โกรธ ปล่อยวาง ฟังเข้าใจ รับรู้ แล้วนิ่งเฉย ฝึกครับฝึกได้แน่นอน

หากคุณโกรธอันเนื่องมาจาก"คน" หรือ "พฤติกรรม" หรือ "ความคิดที่ขัดแย้งของคนอื่น" ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่า คนเรานั้นมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันมาไม่มีการซ้ำกันได้แม้กระทั่งเป็นแฝดที่เกิดมาและอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เรื่องพฤติกรรมหรือความคิดขัดแย้งจะเป็นเรื่องธรรมดาโดยแท้ครับ ไม่มีอะไรที่จะคิดเหมือนกันได้ตลอดเวลา คุณต้องเข้าใจ จนกระทั่งไปถึง แปลงความเข้าใจเป็นความสงสารเค้าเหล่านั้นแทน ครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่า มีคนขับรถปาดหน้าคุณ คุณต้องเข้าใจเค้าว่า เค้านั้นมีโอกาสเกิดอันตรายมากกว่าเราเป็นไหนๆ สงสารเค้าที่ว่าเค้าอาจจะประสบอุบัติให้ไม่ช้า แล้วคิดหวังว่า เค้าคงจะปลอดภัยในการเดินทาง คิดอย่างจริงใจครับ แทนที่คุณจะคิดโกรธเดือดดาน คุณกลับคิดไปทางทำให้คุณรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำกลับกลายเป็นคนหวังดีอย่างแท้จริงที่ออกมาจากใจแท้ๆของคุณให้จงได้ ความสงสาร ความเมตตา อารมณ์อยากช่วยเหลือ คิดหวังภาวนาให้คนอื่นปลอดภัย มีความสุข เป็นเรื่องที่จะทำให้คุณรู้สึกดีต่อตัวคุณเองอย่างบอกไม่ถูก มันตรงข้ามกับความโกรธแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยก็ว่าได้ !

เรื่องแบบนี้ไม่มีใครฝึกให้คุณได้ คุณต้องฝึกฝนด้วยตัวคุณเอง แค่บอกเพื่อเป็น guide นำทาง แนะแนวความคิดที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์แก่ตัวคุณนั้น คนอื่นสามารถบอกคุณได้ เพียงแต่ คุณตัวคนเดียวเท่านั้น ต้องยอมรับฟัง เกิดเวทนา สงสาร แปลงความโกรธ (มันไม่ได้โกรธด้วยซ้ำ) เป็นความคิดที่ดีต่อไป ฝึกและฝึก และ ฝึก เท่านั้นครับผม

หวังว่า แนวคิดของผมจะช่วยได้ ผมสงสารคุณจริงๆที่ยังตกอยู่ในวังวนแห่งความโกรธนี้ ผมขอร้องให้คุณฝึกคิดในทางที่ดี มันเป็นการกำจัด จุดเริ่มต้นแห่งความโกรธกันเลยครับ อย่าให้มันก่ออกมาแม้แต่น้อย จนตัวคุณเองไม่ต้องไประงับความโกรธเมื่อคุณโกรธครับ เพราะคุณจะไม่โกรธอีกต่อไปแล้วครับ

เพิ่มเติมเกร็ดชีวิตกิจกรรมเพื่อการไร้ความโกรธ (just enjoy life)


- ฟังเพลง soft music , classic หรือแนว jazz น่าจะทำให้คนมีความรู้สึกละเมียดในดนตรีขึ้นได้
- ออกกำลังกายให้หนักเข้า Fitness แบบที่มี Trainer บังคับคุณเอาแรงคั้นออกมาให้หมดเอาให้เหนื่อยครับ แล้วออกกำลังกายเป็นประจำ
- นอนให้เร็วไม่เกิน 10 pm ตอนกลางคืนอ่านหนังสือประเภทให้กำลังเชิงจิตวิทยา เช่น "เข็มทิศชีวิต" เป็นต้น
- คุยกับคนอื่นอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะคนรัก และครอบครัวของคุณเองครับ หรือลูกๆ ใช้ชีวิตให้มีความสุข แค่คิดก็มีความสุขแล้วเหรอป่าวล่ะครับ
- อย่าเครียดกับการงานมากนัก สนุกการกิจกรรมในชีวิตทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่อง entertain ใดๆ คิดซะว่ามันมีชีวิตเดียวจะเครียดมากไปใย ไม่จำเป็นหรอกครับทีจะต้องกดดันตัวเองมากนักมันไม่ productive สักเท่าไหร่
- ช่วยเหลือคนอื่นๆต่อไปครับ ผมเป็นคนงกน่ะครับไม่ใช้จ่ายเงินสิ่งที่ผมช่วยได้ก็คือ บอกกล่าวความคิด ความรู้ แจ้งเรื่องดีๆให้คนอื่นได้รู้กัน ปรับแนวคิดให้คนรู้สึกดีขึ้น มีคุณค่าในตัวเองอย่างแท้จริงครับ
- คุยกับคนแปลกหน้า พัฒนา อัธยาศัยตัวเองครับ
(แหม เหมือนกะว่ามีอะไรให้ทำเยอะดีนะครับเนี่ยะ )

Saturday, June 13, 2009

กล้ามเนื้อต้องสร้างเอามาแทนการรับแรงของกระดูกเรา

เนื่องจากเป็นคนไม่ได้ออกกำลังกายโดยการเน้นไปที่กล้ามเนื้อ (ยก weight เล่น machine เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ) ทำให้เมื่อไปออกมาแล้วก็จะมีอาการเกร็งล้ากล้ามเนื้อเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิด แต่แล้ว นั้นก็ทำให้เราได้รู้ว่ากล้ามเนื้อเราอยู่ในสภาพที่แย่กว่าปกติ เพราะ คนไม่เคยฝึกกล้ามเนื้อไม่เคยใช้ ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าส่วนไหนของร่างกาย น้ำหนักหรือการออกแรงใดๆก็จะไปกระทำผ่านกระดูกแทน ซึ่งเท่าที่ผมรู้ก็คือว่า กระดูกเมื่อโตถึงระดับหนึ่ง (อายุไม่เกิน 30 ปี)มันจะไม่มีการสร้างขึ้นมาทดแทนอีกต่อไป เรียกว่ามีแต่ใช้เท่านั้นละลายสลายไป มันสะสมเพิ่มไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ จากการที่เรากินเข้าไป แต่ที่แน่ๆแล้ว ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ คนเราต้องทำการกระชับกล้ามเนื้อส่วนที่มีกระดูกอยู่ก็เกือบทั้งร่างกายของเราน่ะหละ เพื่อที่จะทำให้กล้ามเนื้อเป็นตัวที่รองรับแรงกระทำหรือน้ำหนักแทน คำว่าน้ำหนักของผมนั้นหมายรวมถึงน้ำหนักตัวด้วยซ้ำซึ่งตอนนี้หากว่ากล้ามไม่แข็งแรง กระดูกสันหลังก็จะรับไปแทนซะงั้น ยังไงซะ .. ออกกำลังกายแบบ fit กล้ามเนื้อกันไว้ด้วยก็จะดี นอกจากการวิ่งเพื่อ burn พลังงานแล้วน่ะครับ
ว่าแต่ว่าตอนนี้ผมว่าผมเมื่อยกล้ามเนื้อ Triceps น่ะครับ คน Train เอาซะหนักไปหน่อยน่ะครับผม

Wednesday, June 10, 2009

ธนบุรี fitness ร้านฟิตเนสแถวบ้าน เริ่มต้นการกระตุ้นกล้ามเนื้อก็วันนี้น่ะหละครับ ..

วันนี้ไปออกกำลังกายแบบ fitness center มาน่ะครับ ภาพที่เห็นก็คือคนอื่นๆจะทำอะไรกับเครื่องสักอย่างไม่ว่าจะเป็นการเดินอยู่บนเครื่อง หรือ ยกน้ำหนักกับ machine ที่หน้าตาประหลาดๆทั้งหลายแหล่ที่มีการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อที่จะสร้างเสริมกล้ามเนื้อบางส่วนเท่านั้น ซึ่งคนปกติก็ไม่คิดว่าจะมีซื้ออุปกรณ์พวกนี้มาตั้งเอาไว้ที่บ้านได้น่ะครับเพราะดูจากเครื่องแล้วไม่น่าจะถูกสักเท่าไหร่ การรวมกันเป็นกลุ่มแล้วก็เป็น center เพื่อให้ทุกคนผลัดกันใช้งานนั้นถือได้ว่า cost effective สูงกว่าที่คนๆหนึ่งจะซื้อมาแล้วก็เอาป้ะวางไว้ที่บ้านซะงั้นน่ะครับ
ทุกคนดูหน้าตาเหนื่อยๆแล้วก็ดูขมักเขม้นกับการทำท่าทำทางประหลาดอยู่บนเครื่องเหล่านั้น โดยที่ไม่มีคนเขินอายอะไรกัน แม้ว่าจะเป็นแบบที่ มีทั้งชายหญิงก้างกวางรวมตัวกัน ก็ไม่มีใครแสดงออกว่ามันน่าเขินแต่ประการใด ยกเว้นผมซึ่งเข้าไปเล่นวันนี้วันแรกครับ

คนที่ไปเล่นวันแรกจะมี trainner ติดตามตัวเราไว้เพราะกลัวว่าจะไปทำเครื่องเค้าพักหรือว่าในทางตรงกันข้ามก็คือกลัวว่าผู้เล่นจะได้รับบาดเจ็บครับ คิดว่าน่าจะเป็นกรณีสองมากกว่าเพราะว่าดูแล้ว machine พวกนี้ไม่ได้ดูบอบบางเอาซะเลยน่ะครับ คนที่ train ผมก็คือคุณเต้ .. เหมือนว่าจะพูดไทยไม่ชัดแต่ก็ไม่ได้ออกฝรั่งอะไรออกแนวกระเหรี่ยงเสียมากกว่าน่ะครับ ยังไงก็แล้วแต่ผมไม่ได้ว่าอะไรเค้าหรอกครับ เพราะว่าเค้าจะเป็นคนที่สอนผมใช้เครื่องนู้นเครื่องนี้อยู่ดี คนที่ไม่เคยออกกำลังกายแบบ weight lifting แบบนี้ก็จะมีกล้ามเนื้อไม่ดีเท่าไหร่นักน่ะครับ จะมีการ testing เพื่อดูผลการว่ากล้ามเนื้อเรานั้นดีหรือไม่ดีแค่ไหน ส่วนมากแล้วผมจะมาแนวไม่ดีสักเท่าไหร่เพราะกล้ามเนื้อทั้งหลายแหล่ไม่ได้โดนใช้งานเลยมานานแล้วตั้งแต่สมัยเรียนรด.เท่านั้นเองครับ ซึ่งมันก็นานมากแล้วจริงๆมากกว่า 4(มหาลัย) + 3(เรียนต่อว่าง) + 3 (ทำงานอีก) ปี (ทั้งหมดเท่ากับ10ปีเห็นจะได้แอ้ะทำไมมันดูเหมือนจะนานแฮะ ตอนแรกไม่คิดว่าน่าจะนานเป็นเก้าปีสิบปีน่ะครับไม่รู้ว่าคิดผิดเหรอป่าวนะ)

พอไปใช้เครื่อง Trainer ของผมก็บอกให้ทำนู้นทำนี่ มีท้าทางที่ประหลาดล้ำค้ำฟ้ากว่าคนอื่นก็มีเหมือนกันแต่ว่าไม่อยากจะคิดมากหรอกก็แค่เขินๆนิดหน่อยเพราะมีการขึ้นไปเหยียบแผ่นที่เค้าเอาไว้นั่ง (อธิบายไม่ถูกน่ะครับ) ก็ยกเเขนสูงๆไปอีกเดินขึ้นๆลงๆเพื่อเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อต้นขา นี่โหยออกแรงอย่างงั้นคืนนี้คิดว่าจะยังไม่มีอาการเท่าไหร่ก็จะมีอีกทีก็น่าจะเป็น tomorrow พอดีน่ะครับผม นอกนั้นแล้วก็เป็นการใช้เครื่องต่างๆนาๆ ดูแล้วผมเหมือนจะมีกล้ามเนื้อที่อ่อนแอจริงๆอย่างเห็นได้ชัด แล้วผมก็รู้สึกได้เลยว่า เครื่องบางเครื่องทำให้ผมใช้กล้ามเนื้อที่ผมไม่เคยใช้มาก่อนเช่น เครื่องที่ต้านแรงเพื่อการฉีกขา (อืม ผมก็ไม่เคยคิดจะใช้กล้ามเนื้อนั้นเพื่ออะไรเหมือนกันน่ะครับแต่ว่ามันก็มีเครื่องแบบนี้) ถ้าหากว่าทำแล้วมันดูเท่ห์ก็ไม่เป็นไรหรอกนะครับ เครื่องหลายตัวที่ทำแล้วดูดีมีชาติตระกูลแต่ก็อีกยังมีเครื่องหรือท่าทางการออกกำลังกายที่มันไม่ได้ทำให้ดูดีแต่อย่างใดก็มีน่ะครับ เฮอะๆ เอาเป็นว่า นายเต้คนนั้นที่เป็น trainner ให้กับผมเนี่ยะ พรุ่งนี้ก็จะกระตุ้นต่อมกล้ามเนื้อผมเพิ่มเติมไปอีกยังไงก็ลองดูแล้วกันน่ะครับ เหมือนกะว่าพ่อ(ป่าป๊า)เค้าก็ตั้งความหวังเอาไว้เป็นนัยๆเหมือนกันว่าอยากให้ลูกเค้าเนี่ยะมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ให้มันดูแมนๆกว่านี้ ดีกว่าเป็นมนุษย์หน้าคอมไม่มีแรงเท่าไหร่แบบนี้น่ะครับผม เนาะ ว่าเหรอป่าวล่ะ

Monday, June 08, 2009

ร้านเค้กของหวาน ร้าน afteryou

IMAGE_239 IMAGE_240 IMAGE_241
เหมือนกับ Follow me ใน Twitter แล้วอันนี้เป็น afteryou แทนครับ ร้านนี้ของกินเค้าขึ้นชื่อว่าเป็นเค้กหรือขนมที่มีราคา(แพง)ใช้ได้เลยน่ะครับ ผมไปกินก็ไม่ได้สั่งอะไรมากมายครับ แค่ chocolate pancake แล้วก็น้ำกาแฟปั่นสักแล้วก็ก็อีกรายการก็คือ Chocolate Lava ทั้งหมดนี้กินรวมๆกันแล้วได้รสทั้งร้อนทั้งเย็นแต่ว่าทั้งหมดคือหวานทั้งหมดน่ะครับ แค่ว่า Temperature ที่เอาเข้าปากมันวูบวาบไม่เท่ากันเท่าน้นเองครับ Pancake ที่อบออกมาใหม่นั้นจะหอมแล้วก็ร้อนนุ่มลิ้น กินตัดกับ ice-cream รสวนิลาทำให้อุณหภูมิมันคละเคล้ากันซะอีกกะไร แล้วก็ banana ที่หั่นเป็นแว่นราดกับน้ำ Hot Fudge chocolate ก็เข้ากันอยู่ด้วยธรรมชาติของมันน่ะครับ เอาเป็นว่าของหวานเหล่านี้เข้าได้อย่างลงตัว โดยธรรมชาติของมันเองอยู่แล้วไม่ได้ทำการปรุงแต่งอะไรมาก แค่เอามารวมไว้ด้วยกันจัดวางให้สวยๆ แล้วก็ up ราคาเข้าไปแค่นี้ก็ขายได้แล้วครับ
IMAGE_242

สำหรับค่าเสียหายทั้งหมดเท่าที่ผมสั่งมานี้ก็ค่อนข้างแพงมากเอาการน่ะคัรบ คือ ทั้งหมด 4 ร้อยกว่าแหน่ะ แพงกว่ากินข้าวมื้อดีๆด้วยซ้ำไปน่ะครับ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าคุณไม่ได้คิดอยากจะถลุงเงินเล่นหรือว่ามีเอาไว้เพื่อเล่นๆอยู่แล้วก็ไม่เป็นไรน่ะครับผม ผมว่ามันเป็นข้อเสียเพียงข้อเดียวที่ร้านนี้มีน่ะครับ นอกนั้น Perfecto ! อร่อยล้ำครับ

ร้านอยู่แถว J-avenue ครับ ซอยทองหล่อ 15 ลองแวะไปกินดูเองแล้วกันนะครับ

IMAGE_236 IMAGE_237

Thursday, June 04, 2009

คิดแหวกว่า "คนเราไม่ได้ต้องการความแตกต่าง แต่ ต้องการความเหมือนกับกลุ่มต่างหาก!"

reference article : กดอ่านก่อนที่นีเลยครับ

มีความคิดแวบออกมาชั่วครู่หนึ่งหลังจากที่อ่านบทความเกี่ยวกับ Brand ฮวงจุ้ย ซึ่งก็ในเนื้อหานั้นจะมีการเขียนบอกเกี่ยวกับความแตกต่างของ product สินค้า และมีอีกประโยคที่กล่าวเอาไว้สั้นว่า "ต้องเข้าใจถึงความรู้สึกของผู้บริโภค" ถ้าหากว่าคิดย้อนไปย้อนมา แล้วจะคิดออกได้ว่า คนเราไม่ได้ต้องการความแตกต่างของการใช้งานสินค้านั้นๆแต่อย่างใด แต่อยากจะเหมือนกลุ่มคนหรือคนที่อุดมคติตามความคิดนั้นๆต่างหาก

คิดง่ายๆเช่นว่า พวกเป็น Aspirers (จากบทความ) มีความต้องการขับรถราคาแพงดูดีโก้เก๋ เพราะ คนเหล่านั้นไม่ได้ต้องการความแตกต่างจากคนอื่นๆในสังคมแต่อย่างใด แต่กลับต้องการจะ "เหมือน" กับคนที่คิดว่าเค้าน่าจะเป็นหรือต้องการจะเป็นมากกว่า ลองคิดเล่นๆดูนะครับว่าถ้าหากว่ากลุ่ม Aspirers นี้หันมาขี่รถเพื่อประหยัดพลังงานกันหมด โดยโยนทิ้งความคิดเก่าๆว่าต้องเป็นรถที่ดูดีโก้เก๋ตามความคิดเดิมออกไป แต่กลับมองว่าการขับรถที่ประหยัดพลังงานกลับเป็นเรื่องโก้เก๋ฉลาดสุดๆเช่นเป็นรถเก็บพลังงานได้ตามเหยียบเบรคหรือเป็นการใช้ไฟฟ้าเข้ามาแทนการใช้น้ำมันเพื่อเผาเป็นพลังงานของรถยนต์ คนอื่นๆในกลุ่มนี้ก็จะคิดว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องโก้เก๋ หรือความรู้สึกๆใดๆที่ทำให้ตัวคนเหล่านั้นรู้สึกดีกลับมัน และแล้ว ความคิดนี้ก็จะ "แพร่ออกไป อย่างกับ virus H5N1" ยังไงอย่างงั้น

แม้กระทั่งผมคิดมาว่า ถ้าหากว่าพวกที่ต้องการความแตกต่างมันหน้าตาเป็นยังไง พวกศิลปินอย่างงั้นหรือ ? แล้วคิดหรือครับว่าเค้าอยากจะแตกต่างจากภาพลักษณะของการเป็นศิลปินที่ตัวเองรู้สึกไปเองว่าแตกต่างจากคนอื่นๆ (ที่ไม่ใช่ศิลปิน แต่กลับคิดว่าเค้าเหมือนกับศิลปินคนอื่นๆ) ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต การคิดและการมองเห็นสินค้าต่างๆเชิงคุณลักษณะและภาพลักษณ์

แล้วอย่างงี้จะคิดอีกเหรอครับว่า "คนเราต้องการความแตกต่างหรือต้องการที่จะเหมือนกลุ่มคน หรือ คนที่อยู่ในอุดมคติของเค้าเหล่านั้นกันแน่ !"

ขอบคุณสำหรับ concept ความคิดเพื่อให้คิดต่อแตกยอดครับ อาจารย์ สรณ์ จงศรีจันทร์ เจ้าของบทความที่ผมอ้างอิงมาจาก website Marketeer.co.th

Tuesday, June 02, 2009

ติดไวรัส msn งั้นหรือ? ทำประมาณนี้แล้วกันนะครับ

ขั้นตอนจัดการกับเรื่อง virus msn นี่แสนจะน่าเบื่อ(คนอื่น เพราะว่าตัวเองจะไม่รู้ตัวอะไรกะเค้าน่ะครับ)

install software ตัวนี้มันจะทำหน้าที่เอาไว้ scan Trojan (เป็นอีกประเภทของ Virus computer ทำให้เครื่องมันช้า)

โหลด MalwareByte ที่นี่ครับ เอาเป็น version Free ก็ใช้ได้แล้วครับ

เมื่อลงแล้วก็เปิดโปรแกรมแล้วก็กด scan กดแล้วถ้าหากว่ามี malware มันจะแสดงชื่อแล้วเราก็กด delete มันจะมีให้กดไม่ยากหรอก แล้วทีนี้มันก็จะสั่งให้เรา restart เครื่องเท่านั้น เครือ่งก็น่าจะโอเคแล้ว

แล้วก็หา antivirus ลงถ้าหากว่าจะเอาเป็น Freeware ก็แนะนำเป็น AVG antivirus ครับ

หลังจากนั้น msn ก็ทำการเปลี่ยน password   ซะก็น่าจะโอเคน่ะนะเท่านั้นเอง

วิธีการ sign in msn hotmail > option > More option >View and edit your personal setting > ที่ Password จะมีปุ่ม Change เปลี่ยนซะครับ

Monday, June 01, 2009

ว่าด้วยเรื่องการให้คำปรึกษาและทำไมถึงทำตามการให้คำปรึกษานั้น

หน้าที่ consult ก็คิอการทำตัวให้เป็นที่น่าเชื่อถือสำหรับความรู้หรือวิชาการอย่างใดอย่างหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา โดยอาศัย connection ที่มากกว่า และประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆถ่ายทอดและสอนคนอื่นต่ออีกทอดอย่างรวดเร็วด้วยระยะเวลาอันสั้น

แต่เหตุที่จะส่งผ่านความคิดจากคนที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับผู้บริหารหรือเจ้าของเงินทุนได้นั้นจำเป็นจะต้องผ่านเงื่อนไขต่อไปนี้ action ของการให้ปรึกษาเห็นผลลัพธ์ไม่ว่าผลลัพธ์นั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม ที่เป็นเนื้อความที่ได้จากการปรึกษาในครั้งนั้นๆ

1. คนที่เป็นที่ปรึกษาจะต้องมีความน่าเชื่อถือ
2. คนที่เป็นผู้รับคำปรึกษาต้องเชื่อ และ/หรือนับถือคนที่มาให้คำปรึกษา ในเรื่องนั้นๆ (เรื่องดำเนินการให้คำปรึกษา)
3. เจ้าของเงินหรือผู้รับการปรึกษาจะต้องเชื่อว่าตนเองคิดถูกด้วยเหตุผลว่าที่ เค้าได้ทำการว่าจ้างที่ปรึกษานั้นๆ ไม่ใช่เชื่อว่า ตนเองคิดถูกในเนื้อหาของเรื่องที่รับคำปรึกษานั้น

เรื่องนี้อาจจะฟังดูเข้าใจยากสักหน่อยแต่ว่า ถ้าอ่านดีๆแล้ว ทุกเงื่อนไขสามข้อนั้นจะต้องเป็น T,T,T จริงๆและจริงทั้งหมดครับ ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งตกไปหรือว่าไม่จริงขึ้นมาแล้ว การ implement จากเนื้องานการให้ปรึกษานั้นก็จะไม่เกิดผลลัพธ์แต่ประการใด