Tuesday, September 29, 2009
รวม viral clip : จาก youtube ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
Friday, September 25, 2009
หนังเรื่อง "ฝันโครตๆ" : ถ้าดูไม่รู้เรื่องอ่านทางนี้ได้น่ะครับ
เนื้อความนี้สำหรับคนที่ดูมาแล้วและไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น !
ไม่แนะนำสำหรับคนที่คิดว่าจะดูแล้วอยากรู้เรื่อง เพราะ หนังเรื่องนี้ไม่ได้สร้างมาเพื่อสื่อสารให้รู้เรื่องแบบทันทีทันใด มีการสลับของเวลาระหว่างความจริงและความฝันทำให้คนดูงงเอาการกันเลยก็ว่าได้ แต่ว่าผมจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันว่า เรื่องมันจะบอกอะไรเรา ?
เนื้อหาจะเน้นถึงความฝันของคนที่คิดย้อนมาแต่อดีต ผู้หญิง(ตัวเอกของเรื่อง) ชื่อ เปิ้ล เหมือนจะมีความคิดระลึกถึงเรื่องราวของตัวเองในอดีตที่เคยมีความสุขกับชีวิตคู่ ที่ดูเหมือนจะลุ่มๆดอนๆ โดยสามีของเค้าก็จะเป็นผู้กำกับหนัง แน่นอนว่าตัวเธอเอาก็เป็นนางเอกหนังเหมือนกัน (ในเรื่อง) ความจริงผู้หญิงคนนี้เป็นดาราหนัง แต่คิดแต่เรื่องความสุขเก่าๆกับคนที่ไม่ได้มีเชือเสียงอะไร ได้แต่เต้นกินรำกินไปวันๆ (แต่ว่ามี six pack รู้หรอกว่ามีเพราะว่าเปิดโชว์เยอะฉากสุดๆแล้ว ก็คนเล่นเป็นคนกำกับซะเองนี่หน่า เค้าจะเอายังไงก็ได้น่ะครับ) ส่วนตัวผู้ชายก็จะคิดถึงแต่เรื่องอนาคตเป็นความฝันว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้กำกับชื่อดัง มีสาวเป็นดารานอนกรกอยู่ข้างกายเป็นประจำ ทำตัวเป็น playbou ไปวันๆ เพราะเงินและรายได้ชื่อเสียงนั้นหามาได้ง่ายเสียเหลือเกิน
การดำเนินเรื่องโดยสรุปจะบอกว่า ตอนที่คนหนึ่งฝันจะเป็นเนื้อหาที่เป็นความจริงของอีกคนหนึ่ง (เรื่องนี้ตัวละครหลักมีแค่สองคนเท่านั้นก็คือ ชาย หญิงคู่นี้น่ะหละ นอกนั้นเป็นตัวประกอบดำเนินเรื่องเท่านั้น) การเล่าเรื่องจะมีความสับสนทางเวลาเป็นอย่างมาก สำหรับคนดูเพราะมันสลับเวลาไปมาตลอดเวลา เรื่องความจริงของผู้ชายจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน และต่อเนื่องด้วยความจริงของผู้หญิง โดยจุดต่อคือ ตอนที่มีการสร้างหนังเรื่องโครตรักเอ็งเลยนั่นเอง ถ้าหากว่าดูดีๆแล้วไม่คิดเรื่องเหตุการณ์อะไรเกิดก่อนหลังและเรามาลำดับความคิดเองในหัวเรา จะพบได้ว่าเรื่องเป็นเรื่องแบบธรรมดาเล่าเรื่องไปเรื่อยๆเท่านั้น ก็คือ ผู้ชายอยากเป็นคนกำกับหนังชื่อดัง ก็แสดงถึงพื้นเพ แสดงถึงความพยายาม และระหว่างนั้นก็มีสาวหน้าตาดี (นางเอก) มาติดตาม ไล่ไปเรื่อยจนได้ทำหนังและได้อยู่กินกะนางเอกเท่านั้นเอง
ความคิดสะท้อนของหนังจะบอกว่า คนเรายึดติดกับความฝันไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคตก็แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง (สำหรับตัวละคร) แต่ว่าไม่ได้ยึดติดหรือต้องการจะอยู่กับปัจจุบันสักเท่าไหร่
เวลาที่โดนบิดเบือนไประหว่างเวลาที่ฉายๆ (เวลาโลกจริงของคนดู) เวลาที่ย้อนกลับมาของตัวนางเอก เวลาที่เร่งคิดไปสำหรับตัวพระเอก ทำให้คนดูที่คิดและดูด้วยเวลาบนโลกจริงสับสนอย่างรุนแรงครับ เอาเป็นว่าอย่าคิดมากดูขำๆแล้วก็มาลำดับความคิดกันเอาเองแล้วกันน่ะครับ
Thursday, September 24, 2009
idea : อาชญากรรม 2.0 บอกต่อให้คนทำตาม
อย่างว่าล่ะครับเดี๋ยวนี้เราจะได้รับ forward mail หรือว่า web เอาเรื่องว่า มีการหลอกลวงหรือทำร้ายคนด้วยวิธีการอย่างนู้นอย่างนี้ วัตถุประสงค์ผมเข้าใจได้ดีกว่า เพื่อเป็นการเตือนเพื่อให้การป้องกันตัวหรือ ระแวดระวังเสียมากกว่า แต่ว่ามันยังมองได้อีกทิศหนึ่งก็คือ มันเป็นการบอกวิธีการหลอกลวงหรือทำอาชญากรรมใดๆก็ตามเพื่อให้คนที่ไม่มีไอเดียว่าจะทำอย่างไรให้ได้รู้ด้วยเช่นเดียวกัน แปลว่า เรื่องการบอกต่อๆกันของสื่อ social network หรือ email marketing แบบที่เราได้รับข้อมูลอยู่นั้นมันเป็นดาบสองคมที่มีคมของดาบไม่เท่ากัน ทำไมผมว่ามันไม่เท่ากันน่ะเหรอครับ? ก็เพราะว่า ตนดีมีมากกว่า แต่สิ่งที่เค้าทำได้ก็คือการรู้ตัวไหวติงทันเท่านั้น ซึ่งถ้าหากว่ารู้ตัวเหตุการณ์ร้ายๆก็จะไม่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ แต่หากว่าคนที่คิดไม่ดีรู้วิธีการแทนที่จะไม่รู้ เค้าเหล่านั้นจะเริ่มดำเนินการดังกล่าวได้ และแน่นอนว่าคนเราฉลาดจะดัดแปลงวิธีการดังกล่าวได้ด้วยนั่นก็แปลว่า คนที่ได้รับข้อมูลเพื่อเฝ้าระวังตัวเองจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้อีกต่อไปสำหรับวิธีการหลอกลวงที่มีการดัดแปลงมาแล้วยังไงอย่างงั้น เพราะ เราไม่รู้หรอกว่า "มันจะมาไม้ไหน?" ทำให้ความสามารถในการป้องกันการเกิดเหตุนั้นต่ำลงไปมากเมื่อเทียบกับโอกาสของคนที่จะกระทำการไม่ดีแล้วได้ทำไม่ดีขึ้นมาจริงๆนั่นเอง
ถ้าหากว่าสังเกตการหลอกลวงต้มตุ๋นจะใช้วิธีการที่แตกต่างกันออกไปโดยใช้ concept ้เดิมๆไม่ได้แตกต่างอะไรมากมายนัก แต่ว่าก็มีคนตกเป็นเหยื่ออยู่ดี คนที่จะทำการไม่ดีเหล่านั้นเค้ามี concept หลักแล้วเพียงแต่ต้องแต่งบริบทเพื่อให้เกิดการกระทำหลอกต้มตุ้นได้โดยสมบูรณ์ คนที่รู้แกวและป้องกันได้นั้นถ้าหากว่าได้เจอเรื่องราวในการหลอกลวงนั้นจรืงๆก็จะเป็นการป้องกันเฉพาะตัวเพราะ การที่จะดำเนินการใดๆเพื่อตามจับตัวคนก่อเหตุนั้นจะต้องออกแรงเพื่อให้เกิดการตามหรือติดตามได้อย่างจริงจังต่อไป คิดว่าคนส่วนน้อยเท่านั้นจะทำอย่างงั้น เพราะ แค่รอดมาได้ก็ถือว่าบุญแล้วไมได้คิดต่อไปหรอกว่า จะต้องไปป้องกันคนอื่นเค้าด้วย สิ่งที่เค้าเหล่านั้นจะทำได้ก็คือ การเผยแพร่ข้อมูลและวิธีการกับคนกระจายออกไปอย่างสุ่ม (mail forward เหมือนเดิม) และแล้ววงจรอุบาทว์ก็เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
ผมไม่ได้บอกว่าอย่าบอกต่อน่ะครับ แต่ว่าให้คิดแบบนี้จะดีกว่า วิธีการป้องกันก็คือ การ forward mail เรื่องราวลักษณะนี้จะต้อ่งไม่เกิดขึ้นอย่างสุ่มหรือเอาไป post ไว้ในที่สาธารณะ คนที่คิดว่าจะได้รับหรือได้อ่านนั้นคุณต้องยืนยันได้ว่าเค้าเป็นคนดีพอที่จะไม่กระทำการตาม concept ของ email forward นั้นเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของข้อมูลไปตกยังมือคนไม่ดีลงไปได้ ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญเพื่อเป้นการตัดวงจรอุบาทว์ที่ผมได้ว่าไปแล้วในเนื้อความก่อนหน้านี้น่ะครับ ยังไงก็คิดก่อนที่จะบอกต่อๆกันไปแล้วกันน่ะครับ
สิ่งแวดล้อม : ปัจจัยที่คนขนขวายเพื่อปลดเปลื้องความรู้สึกรับผิดชอบต่อการทำลายโลกของมนุษย์
ผมต้อ่งบอกเอาไว้ก่อนว่าส่วนตัวแล้วถ้าหากว่าคนเราจะอยู่บนโลกนี้ไม่ว่าจะมีปริมาณคนมากหรือน้อยก็แล้วแต่ลุ้นเป็นการให้โลกเราไม่สมดุลไม่มากก็น้อย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนเราเหมือนเกิดมาเพื่อทำลายสิ่งแวดล้อมและใช้เผาทรัพยการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อันเนื่องมาจาก technology ที่มีขีดจำกัด ณ ขั้นตอนของการพัฒนาเพือ่ให้ได้สินค้าหรือบริการที่ทำลายสินค้าได้น้อยลง (Green product ซึ่งก้ไม่ได้แปลว่ามันไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมมันก็แค่ทำลายน้อยหน่อยเท่านั้นเอง) ผมจะไม่สาทยายว่าทำไมคนต้องทำลายโลกถ้าหากว่ายังมีคนอยู่บนโลก เก็บเอาไว้วันไหนอยากเล่าแล้วจะเล่าให้ฟังอีกทีแล้วกัน กลับมาที่ประเด็นว่า "สิ่งแวดล้อม" เป็นเรื่องที่กำลังเป็น Trend ปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ 10 ปีนี้ดีกว่าน่ะครับ
คนเราทำลายสิ่งแวดล้อมกันอย่างเอาเป้นเอาตายทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวและไม่อยากจะรับรู้มัน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่ เราจะเผาผลาญพลังงานของตัวเอง(ที่ได้มาจากการบริโภค)หรือน้ำมัน(ทรัพยากรใดๆ)อย่างใดอย่างหนึ่งทำให้คนเรามีความรู้สึกว่า ฉันน่าจะทำให้สิ่งแวดล้อมมันดีขึ้นกว่าหรือไม่ก็ทำลายมันให้น้อยลงกว่านี้ได้หรือไม่ ถ้าหากว่าทำได้ มันจะเป็น "ความรู้สึกผิดลึกๆ" ที่ฝังอยู่ในตัวเรา เพราะ ภาครัฐและเอกชนก็ทำการ promote เรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เพราเค้าเหล่านั้นอาจจะเห็นว่า ถ้าหากว่าไม่ได้ทำอะไรสักอย่างโลกจะต้องเสียหายขั้นรุนแรงอย่างแน่นอน (แต่ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอยู่ดีในท้ายที่สุด) การที่ให้คนใดๆลดการกระทำใดๆเพื่อให้มีผลต่อกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง คนละนิดละหน่อยจะต้องกระทำกันอย่างจริงจังและทำกันในระดับจิตสำนึกเท่านั้น เพราะทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้นครับ แต่ว่าถ้าหากว่าคนทำได้เยอะคนรวมๆกันมันก็เยอะ ก็เหมือนกับที่ว่าแต่ละคนก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่เป็นปกติแล้วมันก็ทำลายโลกเราได้อย่างที่เป็นอยู่ยังไงอย่างงั้น
เพราะฉะนั้นแล้วความรู้สีกนี้จะโดนแปลงออกมาเป็นความต้องการแบบโหยหา และปลดเปลื้องความรู้สึกผิด เหมือนจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้มากขึ้น สินค้าและบริการเริ่มที่จะจับ Trend นี้ได้แล้ว ณ เวลานี้ และมันจะเป็นอย่างงี้ไปเรื่อยในอนาคต และมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ เท่าที่ผลลัพธ์ของการทำลายสิ่งแวดล้อมมันให้ผลที่เลวร้ายต่อเนื่องไปเรื่อยๆนั่นเอง สินค้าและบริการจะต้องออกแบบมาและสร้างเรื่องราวที่สะท้อนความเป็น eco. มากขึ้น เพราะมันเป็นมูลค่าเพิ่มที่ซ่อนตัวอยู่และคนยอมจ่ายเพื่อลดความรู้สึกผิดนั้นด้วยมูลค่าระดับหนึ่ง (และจะเพิ่มค่าขึ้นเรื่อยๆเมื่อโลกโดนทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ) ยังไงเสีย การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะแก้ไม่ได้ในระยะเวลาสิบปีนี้อย่างแน่นอน เพราะการทำลายนั้นมันง่ายกว่าการทำลายให้น้อยลงอยู่มากโขอยู่ คนเราก็แสดงออกได้ด้วยการใช้สินค้าหรือบริการที่คิดึกเรื่องนี้เท่านั้นเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลว่ามันจะให้ผลได้ 100% อยู่ดีในที่สุด
Tuesday, September 22, 2009
กับดักความคิดอย่างงั้นเหรอ ? มันไมได้ make sense มาแต่แรกแล้วนี่หน่า ..
ในห้องเรียนวันหนึ่ง ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า
มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด อีกคนตัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน
นักเรียนคนหนึ่งตอบว่าก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ
ไอสไตน์ พูดว่า งั้นเหรอ
คุณลองคิดดูให้ดีนะคนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควันเขาก็ ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆเลย ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า ตัวเองก็สะอาดเหมือนกันตอนนี้
ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่
นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า
อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรกเห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย
..... ถูกไหมครับ....
ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคน ต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้
ไอสไตน์ ค่อยๆพูดขึ้น อย่างมีหลักการและเหตุผลคําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก นี่แหละที่เขาเรียกว่า ตรรก เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจน สะดุด ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ ตรรกจะหาตรรกได้ก็ต้อง กระโดดออกมาจาก พันธนาการของความเคยชิน หลบเลี่ยงจากกับดักทางความคิด หลีกหนีจาก สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริงขจัด ทิฐิแห่งกมลสันดานจะหา ตรรก ได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัดหมากทั้งหมดที่คนเขาจัดฉาก วางล่อคุณไว้
copy มาจาก http://puritech.blogspot.com/search?updated-max=2008-12-11T15:37:00%2B07:00&max-results=1
Monday, September 21, 2009
lifestyle ที่เปลี่ยนไป : ทำอะไรก็สะดวกขึ้นเรื่อยๆ ทำอะไรได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
คนเมืองจะทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนความต้องการ แล้วจะมี lifestyle ที่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก เพราะคนเหล่านี้จะมีความสามารถที่ในเการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้เร็วมากขึ้น โดยเค้าเหล่านั้นต้องการความสะดวกในการดำรงชีวิตมากกว่าเดิมอันได้แก่ การสื่อสาร การกิน การนอน การ entertain ตัวเอง (และคนอื่นๆที่อยู่รอบด้าน) รวมถึงการทำงานด้วยเช่นเดียวกัน
"ความสะดวก" จะเป็น keyword สำคัญที่สุดสำหรับการออกแบบบริการและสินค้าใหม่ๆ ในโลกปัจจุยันและอนาคนอันใกล้ไม่เกิน 10 ปีนี้ ความสะดวกที่ว่าครอบคลุมทุกส่วนของการใช้ชีวิต และ แน่นอนว่าครอบลุมในส่วนการทำงานด้วยเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
ERP ใดๆจะต้องทำการใช้งานได้ผ่าน internet (ERP มันก็เหมือนกับ software ที่บอกว่า องค์กรทำงานอะไรอยู่ตอนนี้ได้เงินไหลมาเท่าไหร่ ออกไปเท่าไหร่ แล้วผลิตภาพเป็นอย่างไรบ้าง การออกเอกสาร PR , วางบิล และอื่นๆที่องค์กรเล็กๆถึงใหญ่โตก็ต้องทำเหมือนกันหมด )
software จะโดนออกแบบมาเพื่อใช้กับ computer ที่ต่อ internet แล้วเล่นได้จากเครื่องใดๆที่ไหนก็ได้ เพราะมันสะดวกเอามากๆ ไม่จำกัดว่าจะใช้เมื่อไหรที่ไหน คุณไม่ต้องทำงานทำการที่ office เท่านั้น คุณสามารถที่จะทำงาน หรือหาเงินได้จากเตียงนอนเลยได้ด้วยซ้ำ (ตอนนี้คนที่ทำงานในชุอนอนเริ่มมีเยอะขึ้นเรื่อยๆน่ะคัรบไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ Freelance หรือเป็น coperate ก็ตามแต่ว่าติดต่อสื่อสารผ่านหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งหมด) ตอนนี้สำหรับ software เองนั้นใครๆก็เห็น Trend นี้ได้อยากชัดเจนอยู่แล้วเพราะไม่ว่าจะเป็น microsoft หรือว่าจะเป็น software house ใดๆก็พยายามที่จะสร้าง software application ที่ใช้งานผ่านหน้า browser ได้ทั้งหมด
การสื่อสารที่สะดวก การบอกต่อที่สะดวก จะได้ว่า คนเรารับความไม่สะดวกได้น้อยลง ถ้าหากว่าจะใช้งาน computer นอกพื้นที่ office ก็อยากที่จะใช้เป้น net book แทนเพราะว่ามันไม่หนัก (สะดวกกว่า) และเลิกคิดมากเรื่องเวลาของ bat. ออกไป (ตอนนี้มันเล่นได้มากกว่า 6 hrs ต่อการ charge 1 ครั้งแล้ว) ทำให้คุณๆต่อ internet เล่นอะไรก็ได้หรือทำงานทำการผ่าน software ใดๆที่ใช้งานผ่าน internet โทรศัพท์จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้มากรองจาก computer แล้วมันก็จะทำหน้าที่เป็น computer ย่อมๆอยู่ในมือตลอดเวลา
ของกินก็ต้องสะดวกกว่าเดิม จะเห็นได้ว่าอาหารแช่เเข็งจะมีทำตลาดกันเยอะขึ้น แค่ข้าวหน้าไก่ก็ยังต้องเอามาทำแช่แข็งกันเพราะว่า คนเราอยากสะดวกขนาดที่ว่ามีคนทำอาหารให้แล้วโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก น้ำจิ้มสำเร็จรูปเริ่มออกมาวางขายมากขขึ้น น้ำซอสผัด หรือ ซอสอะไรที่มีการผสมแล้วก็ผลิตทำออกมามากกว่าเดิม จนแทบไม่เหลือความเป็นดั้งเดิมเอาไว้ว่ามันทำมาจากอะไรกันแน่ ทำให้คนทำอาหารไม่รู้ที่มาที่ไปของอาหารเหล่านั้นหรือว่าถึงแม้ว่าจะรู้ก็ไม่อยากทำไปยุ่งกับมันเพราะว่ามันเหนื่อยกว่านั่นเอง ง่ายๆคือ ของจะพร้อมกินมากขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ เราไม่ได้ต้องการทำอะไรให้เร็วหรอก แต่ว่าเราอยากได้เวลาเพื่อการนั่งๆนอนๆมากกว่า
ความสะดวกในการเดินทาง ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากจะขับรถไปไหนมาไหนเพราะว่ามันก็ต้องกินแรงก้าวขาแล้วก็บังคับรถมันเหนื่อยเอาการน่ะครับ ที่ต้องเคลื่อนที่ไปไหนมาไหน ยกเว้นเหตุที่ว่า เคลื่อนที่เพื่อให้ตัวเองไม่เบื่อเท่านั้นเอง นั่นก็แปลว่า การบริการถึงที่บ้านจะเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นความต้องการของคนปัจจุบันนี้และอนาคตต่อไปเรื่อยๆ
เอ .. ผมยกตัวอย่างมาทั้งหมดมันเป็น concept กว้างๆว่า ทำอะไรให้สะดวกกว่าเดิมก็จะเป็นสินค้าหรือบริการที่มันจะเป็นมาตราฐานความต้องการไปเสียแล้ว และมันจะเป็นอย่างงั้นเรื่อยไปในอีก 10 ปีหน้านี้ ส่วนมากจะเป็นเรื่องของการใช้งานใดๆอันเกี่ยวเนื่องกับ computer & internet เสียมากเพราะ internet นี่น่ะหละทำให้โลกเราเปลี่ยนมาแล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จนระยะ 5 ปีหลังสุดที่มีเรื่อง social network และ web2.0 เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวืตมนุษย์อย่างรุนแรง
เรื่องความสะดวกนี้ไม่ได้เป็นความต้องการของคนเราแต่แรกหรอก แต่ว่าถ้าหากว่าเคยสะดวกแล้วจะทำให้เกิดพฤติกรรม"ติด"ความสะดวกนั้น เพราะไม่เคยมีไม่เคยสะดวกอย่างนั้นก็ไม่รู้หรอกว่ามันสะดวกได้สบายได้ จนกว่าจะเคยใช้งานสินค้าหรือบริการนั้นๆ นั้นก็แปลว่า แท้ที่จริงแล้วสินค้าหรือบริการโดยเน้น"ความสะดวก"เป็นตลาดที่ต้อง idea เข้ามาประกอบค่อนข้างมาก เพราะ มันไม่เคยมีมากกว่า คนที่จะใช้สินค้าหรือบริการนั้นก็ต้องได้ลองในลักษณะเหมือนกับเสพติดในที่สุด อะไรก็ตามที่ทำใหคนสะดวกขึ้นได้น่าจะเป็นสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความต้องการของคนเราทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน
Sunday, September 20, 2009
Trend โลกมุมมองของผม ตอนนี้ว่ามันน่าจะวิ่งไปทางไหน (ตอนที่หนึ่ง) : สุขภาพ และการดูแลตัวเอง
ผมเป็นคนอ่าน blog เยอะ แล้วก็ดูว่าคนอื่นเค้าพิมพ์เค้าพูดอะไรำกันอย่างไรผ่านสื้อ online เสียมาก แต่ว่าพวกนี้ก็ไม่ได้เชื่อถือได้เสียทีเดียวแต่ว่าภาพที่ได้ออกมาให้หัวจะเป็นภาพแบบรวมๆเสียมากกว่า ผมก็เลยเกิดคำถามขึ้นในใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ตอนนี้คนบนโลกเราสนใจเรื่องอะไรกันเป็นพิเศษ เพื่อว่าจะได้เอาไว้ต่อยอดความคิดออกมาเป็นสินค้าหรือบริการอะไรก็สุดแล้วแต่คนอ่านน่ะหละครับ รวมถึงผมด้วยที่เป็นคนคิดว่าจะเอาไปคิดต่ออะไรได้อีกหรือไม่
คนบนโลกตอนนี้กำลังคิดอะไรกัน อะไรเป็น Trend ในอีก 10 ปีนี้?
ประเด็นแรก : ผมว่าคนเราจะ "ดูแลสุขภาพกันมากขึ้น" ไมว่าจะเป็น fitness หรือว่า spa หรือแม้แต่เรื่องของสวยด้วยแพทย์และสินค้าหรือบริการใดๆที่มีแนวโน้มเพื่อการดูแลตัวเอง จะมีแนวโน้มว่าน่าจะขายได้ง่ายและขายดีขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ได้เป็นแค่ fashion เพราะว่าสื่อต่างๆก็ให้ความรู้ความเข้าใจว่าทำไมต้องดูแลตัวเอง หรือว่าภาครัฐก็มีการออกประ promote เพื่อให้คนหันมาดูแลตัวเอง ทั้งๆที่เหมือนว่ารัฐจำไม่ได้อะไรนอกจากจะไม่ต้องเสียเงินเพื่อดูแลคนป่วยน้อยลงไปเท่านั้น คนที่ได้หรือว่ามีแนวโน้มว่าจะได้ก็จะเป็นผู้ให้บริการต่างๆที่ผมได้เกริ่นเอาไว้ตะกี้ว่าพวกนี้ตะหากที่ได้สตางค์ไป และ ผมคิดว่าแนวโน้มนี้ไม่ได้น่าจะหายไปง่ายๆเพราะว่าเมื่อคนมีความรู้ความเข้าใจแล้วก็จะเข้าใจอยู่ตลอดไป หรือว่า มากไปกว่านั้นก็สอนคนอื่นต่อๆไปด้วยไม่ว่าจะเป็นลูกหลานเหลนโหลนก็สุดแล้วแต่ว่าจะมีพันธ์ต่อเนื่องผลิตกันได้มากน้อยแค่ไหน มีการบอกต่อะเพื่อนๆกันได้สะดวกว่าจะดูแลตัวเองอย่างไร ซึ่ง case นี้เรื่องสุขภาพและการดูแลตัวเอง มันแตกต่างกับเมื่อ 10 กว่าปีก่อนมากๆ เพราะว่าเมื่อก่อนจากการสัมพาทย์คนในวัยนั้นๆจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนเราต้องออกกำลังกาย ! คิดได้อีกแบบกันเลยว่า พวกออกกำลังกายเป็นพวกที่โง่ไม่รู้จะออกไปทำอะไรด้วย ซ้ำ คนที่มีร่างกายกำยำจะเป็นพวกที่ใช้แรงงาน แล้วก็แยกแยะคนระหว่างคนที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ดีกับคนที่ร่างกายหุ่นดีกำยำเหล่านั้น ออกจากกัน ไม่ได้มีคนคิดหรอกว่า คนที่ดูแลสุขภาพดี จะเป็นผู้ดีมีชาติตระกูลแต่ประการใดๆ คนที่ร่ำรวยดูดีจะดูจากองค์ประกอบภายนอกเสียมากกว่าไม่ว่าจะเป็นพุงที่พลุ้ยออกมา หรือว่าเป็นรถหรือว่าโทรศัพท์กระติกน้ำสมัยโบราณที่ใครต่อใครก็บอกว่า "เอาขึ้นมาที่โต้ะแล้วมันดูเท่ห์เสียนี่กระไร" (เครื่อง hotline น่ะครับหนักมากแล้วก็เป็นเครื่องที่ผมเห็นจนติดตาว่า ซื้อมาทำอะไร ? ขนาดผมเป็นเด็กอยู่ตอนนั้นผมยังคิดออกว่าจะพกโทรศัพท์ใหญ่แบบนี้ไปเพื่ออะไรแต่ว่าตอนนั้นก็ฉลาดอยู่เหมือนกันที่ว่าจะเป็นการใช้งานในรถเท่านั้น ไม่ได้ยกเข้ายกออกเสียเท่าไหร่ กลับมาประเด็นกันต่อดีกว่ามั้ยเรา .. ) แล้วตอนนี้เกิดอะไร ? ทำไมทุกคนไม่ว่าจะเป็นพนักงาน office หรือว่าคนที่ทำกิจการของตัวเองขี่ benz sport มาที่ fitness (ที่บ้านไม่ได้ห้อง fitness หรือยังไง) มาที่ fitness center แล้วก็ fitness center เปิดมารองรับคนเหล่านี้อย่างเป็นดอกเห็ดกระจายตัวอยู่ทั่วเมืองล่ะครับ ? เพราะว่าไม่ยากน่ะครับ มันมี demand คนที่ฉลาดหรือไม่ฉลาดมากนักเริ่มรู้แล้วน่ะครับว่า การออกำลังกายเป็นการทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ชีวิตตัวเองดูเป็นปกติไม่ได้ต้องพุงพลุ้ยเข้าออกโรงบาลกันเป็นว่าเล่น นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นโรงบาลเองก็จะปะ ads ออกมามากมายกับการรักษาเชิงป้องกันไมได้ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพการ detox (ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าดีจริงหรือเปล่าแต่ว่าผมก็ไปดีมาแล้ว) หรือว่าการรักษาสิวผิวพรรณ รวมถึงการสวยด้วยแพทย์ สิ่งที่ผมรู้ยกตัวอย่างได้โรงบาลนึงก็คือ ยันฮี แต่ก่อนเป็นโรงบาลไมได้ใหญ่โตอะไรมากนัก เรียกว่าเล็กเลยก็ว่าได้แต่ว่าระยะเวลาไม่นานที่ผ่านมาที่ cash ไหลผ่านโรงบาลนี่น่าจะเยอะอยู่(จากสายตาคนนอกอย่างเราๆ) เพราะว่าเล่นขยายตึกกันเป็นว่าเล่น คนในองค์กรเยอะเหมือนกับมด รกหูรกตาไปหมด ! แล้วก็คนเข้าโรงบาลกันอย่างยั้วเยี้ยะราวกับว่า เรื่องการมาหาหมอไม่ได้เกิดจากการเจ็บป่วยอีกต่อไป แค่ว่าคุณไม่ป่วยคุณก็มาหาเรื่องทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อให้เป็นการป้องกันได้ หรือว่า เรื่องของการตกแต่งและสวยด้วยแพทย์ทั้งจากภายในและภายนอก
สรุป trend แรกนี้ก็คือ การที่คนดูแลตัวเองมากขึ้น มันจะไม่ได้สั้นๆและจบลงที่นี่หากว่าคุณมีปัญหาเพื่อการ support สินค้าหรือว่าบริการใดๆที่จะทำให้คนดูดีทั้งแบบ make sense และไม่ make sense (ผมปิ๊งเจเล่ไลท์ในหัวผมอีก เออ..เข้าข่ายๆ มีทาเก้น ... โยเกริ์ต เกิดๆๆ ..รังนกขวด ... เยอะแยะไม่คิดและ ) สินค้าหรือบริการเหล่านี้จะทำตลาดและขายออกไปได้มากขึ้นเรื่อยๆหากไม่มีปัญหาเศรษฐกิจเข้ามารุม มันก็จะเป็นเรื่องแรกๆที่คนจะเลือกที่จะใช้จ่ายเป็นอันดับแรกๆเหมือนกันเพราะว่า "เค้าเหล่านั้นเห็นว่า ตัวเอง นั้นสำคัญ !"
จริงๆแล้วอยากพิมพ์ทีเดียวรวดคิดแหลทะลุไป 3 trends ที่ผมคิดอยู่ในหัวตอนนี้แต่ว่า มีคนบ่นมาเหมือนกันน่ะครับ บทความที่พิมพ์เนี่ยะมันยาวจัง .. ก็แหม .. ทำยังไงได้ยาวก็อ่านสรุปๆหน่อยแล้วกัน แต่ว่าถ้าหากว่ามีเวลาก็อ่านมันทะลุไปเลยก็ได้น่ะครับ สำหรับ Trend ที่เหลืออีกสองเรื่องบอกเอาไว้ก่อน(หรือเรียกว่าจดเอาไว้ก่อนก็ว่าได้น่ะครับ) มันก็คือ "สไตล์การใช้ชีวิตที่เป็นปัจจุบัน ที่ต้องการความสะดวกมากขึ้น" และ "ความคิดฝังหัวในเรื่องสิ่งแวดล้อม" ไว้มีแรงว่างๆแล้วจะมาพิมพ์โม้ต่อ : entry นี้พิมพ์ทั้งหมด 20.56 นาที (ดูเวลาอยู่น่ะครับเพราะว่าอยากรู้ว่าตัวเองใช้เวลา blog 1 Entry ที่มันยาวๆแบบนี้กินเวลาแค่ไหน ก็ไม่นานเท่าไหร่เนาะสำหรับ 20.56 นาทีที่โม้ไป .. เฮอะๆ)
update สภาพกล้ามเนื้อจาก “strengh trainning @ Fitness center”
หลังจากที่ออกแรงอยู่ fitness เป็นประจำประมาณวันเว้นวันเห็นจะได้ ไม่ได้ไปทุกวันเพราะว่ารู้มาว่าถ้าหากว่าจะเล่นให้มีแรงขึ้นเยอะหน่อยหรือว่า muscle define ให้เห็นกับชัดจะต้องเล่นให้กล้ามเนื้อมันเมื่อยล้าหน่อยแล้วก็หยุดไปเพื่อให้ร่างกายมันทำการซ่อมแซมแล้วก็ทำตัวให้แข็งแรงกกว่าเดิมเพื่อรองรับการฝึกในครั้งถัดไป
สามเดือนแล้วพอดีก็พบว่า "ใช้ได้" กล้ามเนื้อไม่เคยได้ถูกใช้ก็เอามาใช้ทำให้แข็งกว่าเดิม คนที่ทักไม่ได้มีแค่คนสองคนน่ะครับก็หลายคนเอาการอยู่ ที่เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคนเดิมที่ไม่ได้ทำการออกกำลังกายแบบ strengh training (คนเดียวกันนี้เมื่อสามเดือนก่อน) กับคนเดียวกันแต่ว่าออก (ตอนนี้)
รู้สึกได้อยู่เหมือนกันว่าอัตราการเผาผลาญพลังงานน่าจะเยอะขึ้นเพราะกินข้าวก็ไม่ได้น้อยกว่าเดิมแต่ว่าน้ำหนักตัวก็คงเดิม ไม่ได้คิดเรื่องกินเท่าไหร่นัก แต่ว่าจริงๆแล้วก็ต้องควบคุมด้วยถึงจะเป็นเรื่องดี เพราะหากว่าต้องการให้เห็นกล้ามเนื้อได้ชัดเจนแล้วนั้นจำเป็นเหลือเกินที่ชั้นไขมันก็ต้องอยู่ที่ % ไม่มากนัก แต่ก็อีกผมก็ไม่ได้อยากจะคุมการกินไปเสียทุกเรื่องหรอก แค่ว่าไปออกกำลังกายแบบนี้ประมาณวันเว้นวันมันก็เป็นงานเอาการอยู่เหมือนกันน่ะครับ
ดูๆแล้วก็จะออกกำลังกายแบบนี้ต่อไปแต่ว่ามีแนวโน้มว่าจะเพิ่มน้ำหนักขึ้นเพราะตอนนี้อะไรๆก็ดูเหมือนเบาลง ทำท่าทำทางเดิมๆด้วย rep. เท่าเดิมก็เบาขึ้น (ยกเว้นบางครั้งที่เว้นไปเยอะวันมันก็รู้สึกได้เหมือนกะว่ามันกลับมาหนักเหมือนเดิมก็มี ก็แปลกดีน่ะครับ) ดูว่าอีกสามเดือนข้างหน้า (ก็แปลว่าจะมีการเล่นทั้งหมดครึ่งปีจะมีผลอะไรแตกต่างให้เห็นเหรอป่าวน่ะครับ)
กล้ามเนื้อ ณ เวลานี้ถ้าหากว่าแก้ผ้าออกมาดูก็จะเห็นได้ว่าส่วนที่เห็นชัดที่สุดก็น่าจะเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้องเพราะว่าแต่ก่อนไม่เห็นหรือว่าไม่มีเลยก็ว่าได้แต่ว่า ฟิตไปเรื่อยๆก็ไม่ได้ทรมานอะไรมากมายก็เห็นกล้ามเนื้อส่วนนี้ได้ดี ก็อย่างว่าน่ะหละก็ไม่ได้แก้ผ้าหรือว่าทำกิจกรรมอะไรที่แก้ผ้าแก้ผ่อนก็ไม่ได้จะไปอวดอะไรใครหรอกแค่ว่าดูว่าร่างกายคนเรา เราก็มีสิทธิที่จะควบคุมกำกับโครงสร้างและรูปร่างได้เองระดับที่ผมไม่เคยคิดว่าจะทำได้อยู่เหมือนกัน (ไม่เคยคิดจะทำให้กล้ามเนื้อมันเห็นชัดขึ้นแต่อย่างใดน่ะครับ เพราะว่าแต่ก่อนไม่มีเหตุผลว่าจะทำไปทำไมแต่ว่าตอนนี้มีแล้วน่ะครับ ไม่รู้ว่าเคยเล่าเหรอยังว่า "ทำไม")
note : อีกสามเดือนข้างหน้าจะ note แบบนี้ซ้ำเพื่อดู track การเปลี่ยนแปลงของตัวเองทางกายภาพน่ะครับ
Tuesday, September 15, 2009
แก้ปัญหาคิดให้ง่ายไว้ก่อนเลยเป็นดี ..
ถ้าหากว่าเจอปัญหาแล้ว และเจอต้นเหตุของปัญหาแล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปก็คือ "การแก้ปัญหา" ผมว่าผมมี concept อย่างหนึ่งสำหรับคนที่อยู่หน้างานจะต้องคิดเอาไว้จริงๆเลยก็คือ การแก้ปัญหาต้องเริมจากวิธีการที่คิดหรือทำได้ง่ายเอาไว้ก่อนเป็นหลัก แล้วถ้าหากว่ายังคิดง่ายๆไม่ออกก็ค่อยๆเพิ่มระดับความยากของการทำงาน โดยปกติแล้วถ้าหากว่าจะแก้ปัญหาคนที่คิดมักจะเริ่มคิดทางแก้ปัญหาออกมาได้ด้วยวิธีการอย่างสุ่มไร้รูปแบบ (ซึ่งเป็นเรื่องดี) แต่ว่าพอคิดออกมาแล้วต้องบอกคนอื่นต่อ หรือว่าทำการจดบันทึกเอาไว้ทันที เพื่อดำเนินการคิดคัดกรองต่อไปว่า "วิธีการคิดทีออกมานั้นมันทำง่ายเพียงพอแล้วหรือยัง" คำว่าง่ายในที่หมายความว่า มันเป็นไปได้ที่หน้างานที่จะทำงานกัน หรือว่ามันไม่ได้กระทบคนจำนวนมากๆที่จะต้องทำงานนี้ หรือเพื่อการปรับเปลี่ยนวิธีการดังกล่าว มันเป็นเพิ่มงานเข้าไปอีกหรือไม่ ถ้าหากว่าเพิ่มงานแล้วอาจจะต้องคิดหนักว่ามันคุ้มค่ากับปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าหากว่าดูแล้วมันเหมือนจะไม่โอเคเท่าไหร่ ให้ชลอความคิดนั่นเอาไว้ก่อน แต่ไม่ทิ้งน่ะครับเพราะว่ายังไงซะถ้าหากว่าคิดอะไรไม่ได้ออกแล้ว การที่กลับเลือกมาใช้วิธีการที่เริ่มยากนั้นก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จำเป็นต้องพึงกระทำเหมือนกัน (ก็มันคิดง่ายกว่านี้ไม่ออกแล้วนี่หน่า จะให้ทำไงได้ล่ะครับนั่น )
ผมยกตัวอย่างอย่างนี้ดีกว่า มีโรงงานสบู่บอกว่าเครื่องมันใส่สบู่แล้วระหว่างนั้นจะเกิดปัญหาว่าเครื่องมันบ้างไม่ใส่บ้างแล้วก็สบู่ก็ไหลไปบนสายพานไปเรื่อยๆทีละกล่องๆ โดยที่เราดูไม่ออกว่าข้างในมันมีสบู่อยู่เหรอป่าว วิธีที่คิดออกแบบธรรมดาๆทันทีก็คือว่า อืม ก็ในเมื่อไม่เห็นมันก็ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อทำให้เห็นมันซะแล้วก็ให้คนมามองดูที่เครื่องหรือว่าให้เครื่องอ่านภาพได้อัตโนมัติว่ามันมีสบู่เหรอ่ปาว อืม . ฟังดูมันเหมือนกับว่ามันเป็น technology สูงๆยังไงก็ไม่รู้แต่ว่าแน่นอนว่าของแค่นี้สำหรับโรงงานแล้วทางซื้อมาใช้ได้ไม่ยาก แค่เสนอมาคนที่มีอำนาจเซ็นผ่านก็ซื้อได้แล้วเท่านั้นเอง มันอาจจะราคาไม่แพงมากก็ได้ เพราะว่ามันเป็นการ garantee ได้ว่ากล่องจะต้องมีสบู่อยู่ด้านในอย่างแน่นอนเพราะว่ามันเห็นจะๆนี่หน่า แล้วมันก็คุ้มค่าด้วยเพราะว่าถ้าหากว่าส่งสินค้าไปแล้ว retailer ได้รับของไปแล้ว แล้วพบว่าไม่มีกล่อง เค้าก็จะมองว่า line การผลิตนี่ไม่ดีเอาเสียเลยน่ะครับ เอาเถอะครับ อย่างว่าหละ ต้องคิดต่อว่ามันมีวิธีการที่ง่ายกว่านี้เหรอป่าวน่ะครับ คิดๆ .. แล้วคนที่ line ผลิตก็คิดไม่ออก ก็แค่เอา "พัดลม" ตั้งไว้ปรับให้ได้ระดับไม่ต้องส่ายไปมาเปิดทิ้งเอาไว้ แล้ว ถ้าหากว่ากล่องเปล่าไหนผ่านมามันก็ปลิวตกไปกองไว้ในถุง .. ก็เท่านั้น .. อืม .. มันคิดได้ง่ายอย่างงั้น ..
หรือว่าผมเคยได้ยินเรื่องเล่าไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องเล่าปัญญาอ่อนหรือว่าเรื่องแต่งอะไรสักอย่างเชิงนี้อยู่อีกกรณีก็คือ องค์กรนาซ่าของอเมริกาเอาบินขึ้นไปในอวกาศแต่ว่าพบว่าปากกาเขียนไม่ติดเพราะว่าสภาพไร้น้ำหนักทำให้เขียนไม่ติด (ไม่รู้ว่ามันจริงเหรอป่าวน่ะครับ) ทำให้ต้องมาคิดออกแบบปากกาหรือรูปแบบปากกาเสียใหม่เพื่อให้มันเขียนได้ในอวกาศ อืม ... และแล้วก็ทำสำเร็จ เสียค่าโง่ไปเยอะน่าดู เพราะรัฐเซียก็บอกว่า จริงๆแล้วแค่เอาดินสอไปแทนปากกาเท่านั้นก็เขียนได้แล้ว ... ซะงั้น ...
อย่างน้อยที่สุดวัตถุประสงค์ที่ผมพิมพ์เนื้อความนี้เอาไว้ก็เพื่อเตือนใจว่า "มันมีวิธีการที่มันง่ายกว่านี้หรือไม่?" อย่าเพิ่งหยุดแค่ว่ามันคิดวิธีการแก้ปัญหาออกมาได้แล้ว แล้วก็ดีใจ หรือเศร้าใจก็แล้วแต่แล้วก็ด้นๆลงมือทำมันซะ ไม่ได้คิดทางเลือกอื่นๆที่เป็นไปได้แต่อย่างไร ก็อย่างว่าล่ะครับ อะไรที่คิดได้ก่อนไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเสมอไปหรอก แล้วเยอะครั้งมันก็ไม่ได้เป็นวิธีการที่ดีเอาซะด้วยซ้ำก็ได้
Friday, September 04, 2009
อันตรายจากการออกรถจากบ้านผ่านประตูใหญ่!
เมื่อวานนี้ผมว่าผมโชคดีอยู่อย่างที่รอดขีวิตจากเหตุการณ์ที่น่าจะนับได้ว่าเป็นอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดได้ทุกๆบ้านที่มีประตูใหญ่น่ะครับ เหตุเกิดตอนเย็น ตอนที่ผมจะเอารถออกมาจากบ้าน ผมเอารถออกจากโรงจอดรถแล้วก็ขับรถที่มาหน้าประตูใหญ่เพื่ออกจากบ้าน ปกติแล้วในรถผมจะมี remote เพื่อที่จะเอาไว้กดเปิดปิดประตูได้เองแต่ว่าวันนี้ไม่เหมือนทุกวันเพราะว่า remote ไม่ได้อยู่บนรถผมน่ะครับ ผมก็รู้ได้ทันทีว่า รถเพื่งจะมีการเอาไปซ่อมหรือทำสีหรือทำความสะอาดอะไรสักอย่างทำให้พ่อต้องเก็บของออกจากรถไปให้หมดเพื่อป้องกันการสูญหายของทรัพย์สิน ในเมื่อไม่มี remote แล้วสิ่งที่ทำได้ก็คือผมก็ต้องบีบแตรเพื่อให้ยามเดินมาเปิดให้เพราะยามทีบ้านก็มีปุ่มเอาให้กดเหมือนกัน แต่ผมกดไปสักพักแล้วยามเองก็ไม่ได้มาเปิดแต่อย่างใด ทำให้เริ่มออกอาการหงุดหงิดนิดหน่อยทื่ว่า ยามไม่ยอมทำหน้าที่เฝ้าประตูโดยเฉพาะช่วงเย็นๆเค้าควรจะอยู่ประจำประตูไว้เพราะอาจจะมีรถเข้าออกเป็นเวลาประมาณนี้อยู่แล้ว ผมก็รอๆ..แล้วก็รอ เอามือถือมาเล่นเกมส์รอแล้วก็บีบแตรรอไปเรื่อย (ผมว่าผมเป็นคนเย็นแล้วน่ะครับนั่น เย็นขนาดเอาเกมส์ออกมาเล่นกันเลยน่ะครับ) แต่ว่าคุณพี่ยามแกก็ไม่ได้มาเปิดสักที ที่นี้ผมก็คิดว่า อืม ..ออกไปตามน่าจะดีกว่ามั้ยเผื่อว่าจะหาเจอ (อันนี้ผมคิดผิดน่ะครับเพราะว่าถ้ายามไม่อยู่แล้วผมก็ไม่รู้หรอกว่าจะไปตามจากไหนมันแค่เป็นเหมือนกะอารมณ์พาไปมากกว่าว่า มันนานแล้วน่าจะไปตามซะหน่อยเท่านั้นเอง) ผมก็ปรับเกียร์เป็นเกียร์ว่างแล้วเปิดประตูออกจากรถโดยปักกุญแจรถเอาไว้อยู่ เดินออกมาจากรถได้สักพักใหญ่ๆแล้วก็ทำท่ามองหายาม (ไม่รู้ทำไปทำไมเหมือนกันไม่ maks sense เพราะว่าวิถีที่มองมันก็มองจากที่รถุก็ได้เหมือนกันไม่ได้มองเห็นอะไรได้มากกว่าไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่หรอกครับ) แต่ว่าพอมองกลับไปที่รถอีกทีก็พบว่า รถเคลื่อนตัวได้เองราวกลับมีใครมาปรับเป็นเกียร์เดินหน้าเพื่อให้รถเคลื่อนไปด้านหน้ายังไงอย่างงั้น ผมเห็นรถมันเคลื่อนที่อย่างนั้นใจก็ไม่ได้ตกใจอะไรหรอกครับเพราะว่าถือได้ว่าสติดีเป้นปกติดีเลย heart rate ไม่ได้ขึ้นแม้แต่น้อยแต่ว่าทันทีก็ออกแรงวิ่งเพื่อจะเข้าไปที่รถแล้วทำการหยุดรถเสียแต่ก็.. ไม่ทันรถพุ่ง(เบาๆ)กระแทกประตูศักดิ์สิทธิ์อันลอยซะดังโครมใหญ่ๆประตูด้านล่างกระเด็นยกตัวออกจากร่องที่เอาไว้ล็อคประตู แต่ตอนนั้นผมก็เปิดประตูแล้วเปิดเข้าไปที่รถได้แล้วก็ปรับเกียร์เป็น R เพื่อจะทำการถอยรถออกมาได้ในที่สุด แต่อย่างไรก็ดีการปะทะได้เกิดขึ้นไปแล้ว มีแรงกระแทกเข้ากระทำกับประตูใหญ่ไปแล้วครับ พอถอยรถออกมาได้เสร็จผมก็เดินไปที่หน้ารถเพื่อดูว่าสภาพรถเกิดอะไรหรือไม่ แต่ปรากฏว่า ไม่พบความเสียหายใดๆ อาจจะเป็นเพราะว่าจุดที่รถกระแทกประตูนั้นเป็นแผ่นป้ายทะเบียนด้านหน้าสุดของรถ แล้วผมก็หันไปดูประตู ก็พบว่าไม่มีรอยอะไรเหมือนกันแต่ว่าประตูแค่หลุดออกจากรางมันเท่านั้น และแล้วผมก็ถอยรถกลับไปที่บ้านเพื่อเอา remote เปิดประตูที่อยู่ที่บ้านเพื่อที่จะได้ออกอีกประตูนึงแทนระหว่างที่ยามกับพนักงานคนอื่นๆก็เดินมาดูที่ประตู (แหม ทีนี้ยามเพิ่งจะมานะดีมากเลย)
เหตุการณ์นี้พ่อผมเห็นโดยตลอดเพราะว่าเค้าก็นั่งอยู่หน้าบ้านน่ะหละไมได้ไปไหนไกลเท่าไหร่ เค้าก็ถามว่าผม "ทำไมไม่เข้าเกียร์ P หรือว่าดุงเบรกมือ" ผมก็ป่ระทับใจกับเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นแล้วก็บอกเค้าไปว่า "ก็เพราะว่าเข้าเกียร์ N อะไรไว้น่ะซิ (แล้วมันจะเข้า P ไปได้ยังไง)" ฟังดูอาจจะกวนแต่ว่าผมไม่รุ้ว่าจะตอบว่าอะไรมันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหมือนำกัน หน้าบ้านมันก็ดูเรียบๆดูไม่ออกว่าลาดเอียงแต่อย่างใดนี่หนา แต่ว่าพอกลับมาคิดจริงๆแล้ว เพิ่วจะนึกได้ว่า การออกแบบบริเวณทางที่จะออกจากบ้านจะลาดเสมอเพื่อให้น้ำไหลออกจาบ้านที่บ้านไปยังท่อระบายน้ำนอกบ้านทุกที่โดยมาก ถ้าหากว่าออกแบบเป็นอย่างอื่นแสดงว่าคนออกแบบพื้นที่ไม่ได้เรื่องน่ะครับ มันจะทำให้น้ำขังในบ้านได้ และทุกครั้งที่ผมเห็นฝนตกผมก็เห็นว่ามี้นำไหลออกจากบ้านมาอยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้จำหรอกครับว่า พื้นที่มันลาดเอียง มันเอียงน้อยมากแค่ทำให้น้ำมันไหลออกไปอย่างเป็นทิศทางเท่านั้น แต่ว่าตาเราจะไม่รู้สุก หรือว่าสมองเรารับรู้ความเอียงของพื้นที่เท่านั้นไม่ได้น่ะครับ
กลับมาคิดอีกครั้งวันนี้ระหว่างเดินทางไปโรงงาน ก็คิดได้อีกว่า เหตุการณ์แบบนี้เคยทำให้คนตายมาแล้วนักต่อนัก แล้วก็คิดไปต่อว่าอืมเราก็ไม่ได้เป็นผู้โลคร้ายรายนั้นแต่อย่างใด แค่ว่าโชคดีที่ไม่เกิดอะไรขึ้นกับเรา เพราะแท้ที่จริงแล้วถ้าขาดสติอาจจะโง่วิ่งไปขวางน่ารถ หรือว่าไม่ได้เข้าไปที่รถแล้วประตูล้มทับมาที่ตัวก้ได้ (แน่นอนว่าน่าจะทำให้พิการไปได้ เพราะว่าประตูพวกนี้น้ำหนักเยอะมาก) ก็เลยสุดท้ายยังไงซะถ้าเจอพี่ๆน้องๆก็จะบอกต่อๆเรื่องนี้เอาไว้ ไว้เป็นอุธาหรณ์ว่า ที่หน้าบ้านของคุณถ้าหากว่าจะออกไปเปิดประตูใหญ่บ้านแล้วล่ะก็รถห้ามปรับเกียร์เอาไว้ที่ N เป็นอันขาด ถ้าหากว่าจะออกจากรถจริงๆแล้วให้ปรับเกียร์เป็น P หรือว่าดึงเบรกมือขึ้นมาซะมันก็จะเป็นลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ผมว่านี้ได้ออกไปอย่างปลิดทิ้ง เนื้อความนี้หวังว่าคนที่ได้อ่านอาจจะเอาไปฉุกคิด เตือนคนอื่นๆต่อไปได้น่ะครับยังไงซะถ้าหากว่ามีคนอื่นอ่านแล้วช่วยลดการเกิดเหตุแบบนี้ได้สักครั้งก็ถือว่าบทความนี้ได้ทำหน้าที่ของมันแล้วน่ะครับผม ..
Tuesday, September 01, 2009
หมีแพนด้าของฝากจากเชียงใหม่ครับ ^_^
ไปเที่ยวเชียงใหม่ยังไม่ได้ update รูปบรรยากาศมาให้ดูน่ะครับ แต่ว่าเอาของที่ซื้อมาเพียงชิ้นเดียวให้ดูดีกว่าน่ะครับนั่นก็คือ "หมีแพนด้าสั่นหัวดุ้กดิ้ก" ปกติแล้วผมไม่ค่อยได้ซื้อของอะไร(เลย) แต่ว่าเห็นหมีนี่แล้วก็ดูน่ารักดีก็เลยซื้อมาซะเลยเอามาตั้งไว้ที่บ้านเวลาเล่นคอมจะได้เห็นมัน อืม .. สบายใจดี เอ้อ .. มันก็ happy กันง่ายๆแค่นี้น่ะหละครับ คนเราเนาะ ^_^