Sunday, January 17, 2010

TCDC สัมนาวันนี้บอกอะไรผมบ้าง ? (reflection note)

รายชื่อ วิทยากร ที่มาคุยกันให้ผมฟัง บนเวที :
คุณพิชิต วีรังคบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายนิทรรศการและกิจกรรมสัมพันธ์ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ,
พูลพัฒน์ โลหชิตรานนท์ ผู้อำนวยการเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บอทานิค จำกัด ,
คุณจีรพรรณ กิตติศศิกุลธร Design Director บริษัท Able Interior workshop จำกัด

Please download file here :
 file ที่ผม Note เอาไว้ได้จากที่นี่ครับก่อนที่จะอ่านเนื้อหาด้านล่าง

วันนี้ไปเดินทางไปฟังสันนาเรื่องประมาณว่า ธุรกิจมี design ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะได้เข้าฟังสัมนาเท่าไหร่เพราะว่าไม่ได้โทรไปจองก่อนก็คิดว่ายังไงซะก็เดินเข้าไปเซ็นเอาหน้างานก็น่าจะได้อยู่ ก็ปรากฏว่า ได้น่ะครับก็เลยได้มีโอกาสเข้าไปฟังกัน

คนฟังเยอะอยู่ครับ เรียกได้ว่าแน่นเต็มจำนวนเก้าอี้ที่เค้าจัดเอาไว้ให้น่ะครับ ประเด็นที่อาจจะเกี่ยวกับเรื่องคอมๆสักหน่อยก็จะมีอยู่ประเด็นนึงครับ แต่ว่าอาจจะต้องเล่าให้ฟังเป็นฉากๆไปจะได้เข้าใจกว่าครับ

คนที่มาบรรยายให้เราฟังจะเป็นคนที่ทำโรงงานทั้งหมดแต่สินค้าของเค้าจะเน้นการ design เป็นหลัก เพื่อให้สินค้าขายออก ถ้าหากว่าเหมือนกับคนอื่นเค้าก็คงไม่ได้ขึ้นเป็นผู้บรรยายในสัมนาครั้งนี้เป็นแน่แท้ครับ คนนึงทำเกี่ยวกับสินค้าประเภทผลไม้แห้ง หรือพวกดอกไม้ตากแห้งแล้วบรรจุ ในนั้นก็จะมีกลิ่นหอมๆออกมาด้วย ตั้งเอาไว้นานๆเข้าก็ต้องทิ้ง เค้าบอกว่าสินค้าแบบนี้เค้าชอบเพราะมันเป็นโอกาสตลาดอย่างเห็นได้ชัดเพราะมันมีการใช้แล้วทิ้งอย่างแน่นอนเพราะว่ากลิ่นมันก็ไม่ได้อยู่ถาวรอะไร ส่วนอีกคนก็จะเป็นคนผลิต furniture ที่เกี่ยวกับ home decoration ตกแต่งบ้านครับไมว่าจะเป็นโต้ะเก้าอี้ โคมไฟและอื่นๆ (ผมไม่ได้เห็นภาพสินค้าที่เค้าทำครับ คนนี้บังเอิญว่าเป็นคน present ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ว่าเค้าจะ design ไม่เก่งนี่ครับ ) แล้วก็อีกคนเป็นคนที่เหมือนจะผลักดัน TCDC ให้มีกิจกรรม มีเรื่องเดินไปได้ แล้วก็เป็นคนที่ทำธุรกิจออกแบบสินค้าใดๆเพื่อให้สินค้านั้นๆขายออกไปได้ เรียกตรงๆเลยน่ะครับว่า ขาย design ไม่สนหรอกว่าสินค้ามันจะเป็นอะไรกระเป๋าก็ได้รองเท้าก็ได้

ร่ายมาเสียยาว ก็จะได้ Get ภาพก่อนว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เป็นคนที่ลอยๆมาแต่ว่าผ่านประสบการณ์การออกแบบสินค้าเพื่อขายให้ได้สู้ตลาดกันหมดทุกคนน่ะครับ ประเด็นที่เป็นประเด็นหลักผมจะเล่าออกมาเป็นข้อๆได้ต่อไปนี้ครับ

1. Online Marketing สำหรับสินค้า Design ยังไม่ได้เป็นที่แพร่หลายมากนัก สำหรับคนไทยแม้กระทั่งผู้ประกอบการที่ทำสินค้าประเภท Design เอง : ตอนนี้คนเหล่านี้ก็ไม่ได้เน้นการ marketing ผ่าน Online marketing แต่ประการใด คนทีทำสินค้าดอกไม้แห้ง ก็บอกออกมาเองว่า ลูกค้าเค้าไม่ได้เข้ามาทางหน้าเว็ปสักเท่าไหร่ ก็แปลว่าเค้าไม่ได้มีคนออกแรงเพื่อให้เกิดการดูดคนผ่านการค้นหาสักเท่าไหร่ หรือว่าอาจจะไม่ได้มีความรู้ตรงๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้ ส่วนคนที่สองทีทำเฟอร์นิเจอร์ไม่ได้มีการ โปรโมตผ่าน online แต่อย่างใด เค้าบอกว่าสินค้าเค้าเป็นตัวบอกต่อให้คนอื่นๆด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว สินค้าของเค้ามีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร แล้วก็การ design เหมือนกับมี Brand signature อยู่ในตัวมันอยู่แล้ว ไม่ต้องตาม Trend อีกต่างหาก ก็น่าจะทำได้น่ะครับเพราะว่าก็ product เยอะแยะที่ทำตัวอย่างงั้น คือ รักษาภาพลักษณ์ และการ design  ให้เป็นแบบตัวเองได้เป็นตัวเองมากจริงๆ เค้าก็จะขายได้อย่างไม่ยากเย็น

2. มูลค่าในการออกงาน Trade show ลดน้อยลงไปเมื่อเทียบกับเมื่อสิบปีก่อน : คนบรรยายบอกออกมาและผงกหัวพร้อมกันราวกับนัดกันมาแล้วครับว่า คนที่เดิน Trade show น้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมัยก่อน มีผู้บรรยายท่านนึงประเมินเอาว่า เป็นเพราะว่าอิทธิพลของ internet ที่จะทำให้ผู้ซื้อกับผู้ขายมีโอกาสได้เจอกันมากกว่า แล้วก็เป็นการลดต้นทุน การ sourcing ของลูกค้า การเดาครั้งนี้ผมไม่เห็นข้อมูล support มากเท่าไหร่ แต่ผมก็เห็นด้วยส่วนหนึ่ง่นะครับ เพราะว่า มี Online Trader website มากมายผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดแล้วก็ website เหล่านี้ก็ทำกำไรระดับโลกเช่นเดียวกัน ถ้าหากว่า มันไม่ได้ก่อประโยชน์แต่อย่างใดเค้าจะทำกำไรจาก profit ส่วนเกินที่ provide ให้กับคนอื่นๆได้อย่างไรกันล่ะครับ ถึงอย่างไรก็ดีทั้งหมดก็ยังออกงานบูทอยู่ดีน่ะครับเพราะว่ามันเป้นประสบการณ์เก่าๆที่ยังบอกเค้าเหล่านั้นอยู่ว่า จะทำให้ได้ลูกค้าอยู่แม้ว่า ลูกค้าจะมาเดินน้อยลงแล้วก็ตามที แต่ก็จะเน้นเพิ่มเติมโดยการ knock door หรือว่านำสินค้าไปเสนอกับลูกค้าในฐานข้อมูลเก่าๆ (คนพวกนี้อยู่ใน business ของตัวเองมามากกว่า 10 ปี) เพื่อเอาสินค้าใหม่ๆไปเสนอได้ไม่ยาก เค้ามี profile ที่ดี มีความฉลาดในการ present มากขึ้นก็จะทำให้ขายสินคค้า Design ใหม่ๆของเค้าเหล่านั้นได้ เช่นเดียวกันครับ

3. submit ผลงานตัวเองกับ "media" : ถ้าหากว่าคุณอยู่วงการอะไรก็แล้วแต่ คุณจำเป็นต้องรู้ว่า website ไหน หรือว่าสื่อไหนที่มีอิทธิพลต่อ potential buyer ของสินค้าคุณได้บ้าง เช่น พวกงาน Design ประหลาดเหล่านี้ ก็จะมี website เหมือนกับเป็นศูนย์รวมของผู้ออกแบบ เอาสินค้าตัวเองมา post โชว์หรือออกสื่อนี้ให้ได้ เมื่อได้ออกแล้วก็จะมีการติดต่อกลับเข้ามายังผู้ผลิตโดยตรงได้ ผมอยากจะมองว่า สื่อที่เป็น inter แล้วเชื่อมต่อคนที่เป็น niche แบบนี้ได้ดีที่สุดไม่ได้เป็นนิตยสารเฉพาะทาง แต่เป็น online website อะไรบางอย่างหรือแม้กระทั่งเป็น weblog (บล็อก) ของใครบางคนที่ทำหน้าที่นี้ครับ ถ้าหากว่าเอาผลงานคุณออกไปสู่สายตาคนซื้อได้แล้วล่ะก็แน่นอนว่าโอกาสทางธุรกิจก็ต้องเกินขึ้นเป็นเรื่องปกติที่จะตามมา

4. มีหลายกรณีที่มีการสั่งซื้อแล้วต้องกระเสือกกระสนเพื่อทำการผลิตให้ได้กับปริมาณที่ลูกค้าต้องการ : สำหรับสินค้าใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะขายได้ดีแค่ไหน (คนผลิตเอาหรือคน design เองอาจจะคิดว่ามันก็ไม่ได้เจ๋งอะไรมากมาย หรือว่ามันก็ยังไม่รู้บอกไม่ได้หรอกว่าจะขายได้ หรือขายดีแค่ไหนกัน ) คนเหล่านี้เมื่อผ่าน process ของการ present ออกไปแล้วไม่ว่าจะเป็นการออกบู้ท หรือ submit ไปยัง media ก็แล้วแต่แผนใครแผนมัน เมื่อได้ลูกค้ามาอัตราผลผลิตจะเป็นปัญหาที่ติดตามมาเป็นเงาตามตัว เพราะลูกค้าเหล่านี้ถ้าหากว่าเป็นคนที่มี buyer connection หรือ network ของคนซิ้อยู่ในมือแล้ว อาจจะมีการสั่งสินค้าที่ present ไปเป็นปริมาณที่มากก็ได้ ปัญหาพวกนี้ก็ต้องเตรียมตัวรับมือครับ แต่ตอนบรรยายก็ไม่ได้บอกว่ารับมือได้อย่างไร เพราะเค้าเหล่านั้นไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นปัญหาเท่าไหร่ เพราะเงินมันก็อยู่ตรงหน้ากันแล้วนี่ครับ จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้สินค้าผลิตส่งได้จำนวนมากๆเท่านั้น มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีจริงเหรอป่าวล่ะครับ

5. การเข้าใจสินค้าหรือผู้ซื้อสินค้าตัวเอง หรือ business ที่ตัวเองทำนั้น ต้อง Get กันระดับ "ดื่มด่ำ" หรือ อีกคนเรียกว่า "เข้าใจแบบของสะสม" มีการเปรียบเทียบความเข้าใจของหมวดสินค้าที่ตัวเองจะขายระดับที่ Design ได้นั้น ไม่ได้เป็นแค่เหมือนกับ อาซิ้มที่ซื้อมาขายไปเท่านั้น เพราะพวกนี้ไมได้ดื่มด่ำแล้วก้ไมได้อินกับสินค้าสักเท่าไหร่ ใจจะต้องรักเข้าใจสินค้าประเภทนั้นๆอย่างบ้าคลั่ง ราวกับเป็นของสะสมของตัวเอง ผมเข้าใจเลยน่ะครับ ระดับนั้นมันคืออะไรเพราะว่าตัวผมเองก็มีของสะสมเป็น ความรู้มายากลอยู่ หรือเรียกว่าเป็นพวก secret collection (รู้สะสมแต่ว่าไม่ค่อยได้แสดงเพื่อหารายได้แต่ประการใด) ผมจะใช้เวลากับพวกนี้มากมาย (แต่ก่อนตอนที่บ้าคลั่ง) แล้วก็ความรู้เหล่านี้ก็สะสมมาเป็นระยะเวลานาน อ่านหนังสือเกี่ยวกับมัน ซื้อสินค้าเกี่ยวกับมันแม้ว่ามันจะแพงถ้าหากว่าเทียกับ material ที่เราได้แต่ว่า มันแอบใส่ valve add เข้าไปเป็นเชิงความลับ หรือ ความเป็นอัจฉริยะในการคิดออกมาวิธีการเล่นกลเหล่านั้นได้อย่างไม่น่าเชื่อทำให้ผมเองก็ลุ่มหลงระดับ passion กับมันเลยครับ แต่ว่านั่นมันไม่ได้เป็น business ของผมแต่ประการใด ในทางกลับกันถ้าหากว่าคุณจำ business อะไรก็ตามเพื่อให้ออกงาน design หรือมีแนวคิดใหม่ๆสำหรับสินค้านั้นๆได้แบบเจ๋งๆ แล้วล่ะก็ การหลงแบบมี passion นั้นเป็นเรื่องจำเป็น (ผมก็คิดแบบนี้น่ะครับถ้าหากว่าคุณไม่ได้รักไม่ได้ชอบเลย หรือเกลียดมันด้วยซ้ำ ก็คิดดูแล้วกันน่ะครับ ถ้าหากว่าแข่งกันระหว่างคนที่รักชอบอย่างบ้าคลั่งกับสินค้าหรือบริการที่เป็น business คัวเองกับคนที่เฉยๆทำ business เดียวกัน ใครจะทำผลงาน กำไร และออกแบบสินค้าใหม่ได้ดีกว่ากัน ) มีการอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ถ้าหากว่าคุณหลงสินค้าที่คุณทำเป็น business แล้ว อย่างอื่นจะ auto ออกมาเองไม่ว่าจะเป็น concept ในการคิดเรื่องการจัดสรรทรัพยากร เวลาของคุณกับ business หรือแม้กระทั่งการมองออกอย่างเป็นรูปธรรมว่า แบบไหนกันที่เรียกว่าเจ๋ง ! ก็คุณรักมันเข้าไส้ซะขนาดนั้นมันก็ต้องเห็นอะไรที่คนปกติมองไม่เห็นเป็นธรรมดาน่ะครับ

6. แนวคิดต้องนอกกรอบ : ไมว่าคุณเรียนอะไรมาก็แล้วแต่ คุณก็สามารถที่จะ design สินค้าหรือบริการที่คุณ passion กับมันได้ไม่ยาก โดยอย่าเอาเรื่องที่คุณรู้แล้ว มาจากการบันทึกเป็น textbook หรือคนอื่นบอกมา (แนวอย่าเชื่ออะไรใคร ) หรือแม้กระทั่งอย่าคิดเหมาเอาเอง (การแยะแยะได้เรื่อง สมมุติฐานจากบทความครั้งก่อนที่ผมก็โม้ให้ฟังเอาไว้แล้วน่ะครับ) มีการอธิบายว่า การแหกกฏจะต้องกระทำเป็นเรื่องปกติอย่างเป็นระบบ สำหรับคนที่ไม่เคยทำ เช่น ถ้าหากว่าคุณอยู่กับห้องประชุมเดิมๆ ประชุมด้วยวิธีการเดิมๆ แล้วคุณจะได้หนทางแก้ปัญหาหรือ product ใหม่ๆออกมาอย่างงั้นหรือ หรือคุณอาจจะต้องฝึกสมองโดยการรวมสินค้า function ใดๆในโลก เข้าด้วยกันเป็นประจำเพื่อเป็นการลับมีดสมองการคิดออกแบบ product ใหม่ๆของคุณเช่น จงออกแบบสินค้าหรือบริการที่มีความสัมพันธ์กันระหว่างเทปกาว กับเสื้อยืด เป็นต้น ซึ่งผมก็แอบเอามาคิดก็ยังคิดไม่ออกน่ะครับว่าจะทำอะไรออกมาเป็น product ได้

7. การแก้ปัญหาด้วยเงิน เป็นวิธีการที่เท่ห์น้อยที่สุด (เรียกว่ามันเจ๋งน่ะครับ) ถ้าหากว่าคุณแก้ปัญหาใดๆดว้ยการใช้เงินจัดการมันแสดงว่ามันผ่านการคิดออกมาน้อยไปหน่อยน่ะครับ เพราะว่า ปกติแล้วผมจะคิดเสมอว่ามันจะต้องมีวิธีการที่ดีกว่านี้ ผมไม่ได้เป็นงก (เท่าไหร่) แต่ก็ชอบที่จะคิดแบบนี้เช่นเดียวกันอะไรที่ทำออกมาแล้วโดยไม่ใช้เงินสักเท่าไหร่ในการแก้ปัญหา แล้วมันแก้ได้เหมือนกัน รู้สึกว่าไม่ต้องใช้เงินเนี่ยะเป็นวิธีการที่ได้ออกแรงสมองเพื่อลับความคิดแล้วก็เจ๋งกว่าน่ะครับ อันนี้ไม่เถียงน่ะครับ แต่ว่าก็อีก เดี๋ยวนี้ก็มีคนที่รับเงินเพื่อออกแรงคิดให้เราได้ด้วยเช่นเดียวกัน (ประเด็นนี้ผู้บรรยายไม่ได้พูดเอาไว้แต่ตัวผู้บรรยายเองก็ทำหน้าที่นี้ให้กับผู้ว่าจ้างคนอื่นๆเช่นเดียวกัน)

8. style เป็น subset ของ Design แล้วก็ Design ก็ไม่ได้แก้ปัญหาการขายของไม่ได้ไปซะทั้งหมด ?  มีประเด็นอยู่ว่าถ้าหากว่าคุณไม่ได้ passion กับสินค้าหรือบริการมากๆ เราจะไม่เข้าใจ content ของความต้องการซื้อสินค้าได้เลย เราสามารถที่จะออกแบบโดยการปรับเปลี่ยน style ของสินค้าได้แล้วแต่ผู้ออกแบบซึ่งมันก็จะมีวันตันได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นแล้วต้องกรองการออกแบบออกมาโดยการใช้ content มากน่าจะเป็นเรื่องดีกว่า

9. "Keep it Simple !"  : เป็นอีก concept ที่ผมบอกว่า ใช่เลยครับ ไม่ว่าจะออกแบบวิธ๊การผลิตหรือสินค้าใดๆก็ตาม หากว่าคุณทำออกมาแล้วเริ่มมีความซับซ้อนเกินไป (คุณรู้หรอกว่าอะไรเรียกว่าเกินไป ) มันจะเริ่มไม่ดีแล้ว แปลว่าอะไรน่ะครับ แปลว่าคุณยังหาวิธีการที่มันง่ายกว่านั้นไม่ได้มากกว่า ความเข้าใจกับตัวสินค้าถ้าหากว่าคุณแสดงมันให้ซับซ้อนลูกค้าก็จะงงๆอีก การนำเสนอจะต้องเรียบง่าย ดูไม่ซับซ้อน มันจะต้องดูไม่ซับซ้อนเกินไปตั้งแต่ตอนออกแบบสินค้ากันเลยก็ว่าได้ ผู้บรรยายเล่าถึงขนาดว่า เอาไม้มาผ่าเป็นท่อนอบกลิ่นมันแล้วใส่กระป๋องแล้วก็นำเสนอออกไป เท่านั้นเองก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำไม่รู้ว่าทำไมมันง่ายขนาดนี้เหมือนกัน ...

10. ทุกคนอยากต้องมอง waste ของตัวเองและของคนอื่น มาเป็น raw material เพื่อเอามาผลิตเป็นสินค้ามี design ของตัวเองให้ได้ : ผมใช้ใจว่าถ้าหากว่าเราฉลาดพอที่จะออกแบบสินค้า (รวมทั้ง process เพื่อแปลงมันให้เป็นสินค้าที่ออกแบบ) ได้จาก ขยะ หรือ สิ่งที่ทุกคนไม่รู้ว่าจะกำจัดมันอย่างไรดี ได้แล้วล่ะก็มันจะเป็นมูลค่าเพิ่มสูงสุดระดับที่ทำให้คนไม่มีอะไรจะทำ ไม่มีอันจะกิน ตกงาน ไร้ความสามารถ (ด้านอื่นๆ) ลืมตาอ้ามากกันได้เลยทีเดียว เรียกว่า valve add มันสูงสุดๆจากการแปลงของไร้ค่าให้เป็นของมีค่าได้ด้วยกระบวนการผลิตที่ออกแรงน้อยสุดๆแล้วก็ได้สินค้ามูลค่าที่ยอมมีคนจ่ายเงินให้กับคุณได้มากสุดๆ (ราคาขาย - ต้นทุนการผลิต - ต้นทุนวัตถุดิบที่เป็นขยะมาก่อน = กำไรนี่หน่า .. >< ) ถ้าทำได้ก็เอาไปกินครับผม แต่ note ไว้นิดหน่อยน่ะครับว่าจะทำอย่างนี้ได้ต้องดูด้วยว่า ขยะมันจะมีเยอะแค่ไหน แล้วจะมีต้นทุนอะไรมั้ยที่จะทำให้ขยะแปลงมาเป็นสินค้าด้วย activity ที่ต้นทุนต่ำ คนที่ขายขยะให้เราเค้าก็ต้องได้กำไรหรือเงินพอที่จะทำให้ตัวเค้าอยู่ได้ด้วยความ happy ไหลผ่านกระบวนการผลิตและ know-how ของเราแล้วก็ออกเป็นสินค้าของเรา ไปให้ลูกค้าได้ความ happy หลังจากการใช้งานได้ ก็จะ happy กันทั้งสาย จะทำให้สินค้านั้นๆยั่งยืนได้น่ะครับ

11. โชว์สินค้าคุณออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ต้องกลัวโดน Copy : มีการกล่าวอ้างว่าถ้าหากาว่าคุณคิดอยู่เสมอจะทำให้คุณวิ่งนำหน้าผู้ที่จะ Copy คุณตลอดไปและจะทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆด้วย เพราะคนที่ไม่ได้ฝึกวิ่งมาก็จะวิ่งได้ช้า ถ้าหากว่าคนวิ่งเป็นประจำก็จะอึดกว่าและวิ่งได้เร็วกว่า ทำให้ระยะทางก็ต้องห่างออกไปเรื่อ่ยๆเมื่อวิ่งไปพร้อมๆกัน (เหมือนกับโจทย์ physics ม ปลายยังไงก็ไม่รู้แฮะ) ยังไงคุณก็ต้องโดน copy อยู่แล้วถ้าหากว่า product คุณเจ๋ง ! เรื่องนี้โดนตีความออกเป็นสองส่วนที่ทำให้คน C&D ( Copy and Develop) ตามคุณได้ไม่ทันก็คือ Know-how ในการผลิต (ถ้าหากว่ามันมี trick นิดหน่อยก็จะเป็นเรือ่งดี ไม่ใช่ทุกคนก็ทำได้หมด ) แต่ถ้าหากว่ามันง่ายจัดๆก็ไม่ต้องอ่อนระทวยไป ยังมีอีกเรื่องก็คือ การ present สินค้าถ้าหากว่าคุณ present ได้ดูดีตรงใจ คุณก็จะได้กินตลาดไปก่อนอยู่ดีน่ะหละ

12. imaginative -> creative -> innovative อย่ากลัวที่จะคิดเพราะว่ามีคนบอกว่าก็คนอื่นเค้าไม่ได้ทำกันแบบนี้ ! มันจะทำให้ imagine ของคุณย่อยสลายไปได้ ทุกอย่างเริ่มจากจินตนาการอันเพ้อฝันก่อนทั้งนั้นน่ะครับไม่ว่าสินค้าหรือบริการอะไรที่เราสำเหนียกรู้ได้ผ่านผัสสะทั้งห้าของเราตอนนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว คุณต้องเก็บความเป็นเด็กเอาไว้ในตัวเพื่อสร้าง จินตนาการ เพื่อต่อยอดออกเป็้นความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็ออกแรงทำสินค้าออกมาได้จริงเป็น นวัฒกรรมต่อไปครับ

... ประเด็นมากมายที่อาจจะยัง reflect ออกมาตอนนี้ไม่ออกเพราะว่า note ที่ผมจดเอาไว้ไม่ได้อยู่กับผมตอนนี้น่ะครับ ยังไงถ้าหากว่าได้อ่าน note แล้วผมจะเอามาตีประเด็นต่ออีกเป็นภาคสองน่ะครับ ^_^ ..

Friday, January 15, 2010

สิ่งพึงระวังในการคิดถึงปัญหาและการแก้ปัญหา

ตอนที่เราทำงานใดๆหรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิต คนเรามักจะเจอปัญหา หรือ สิ่งใดที่เราคิดว่ามันเป็นปัญหา หรือ อุปสรรค ต้องบอกเอาไว้ก่อนเลยว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จำเป็นต้องเจอ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ผมชอบเรียกสิ่งนี้ว่าการกรุยทาง (ถ้าหากว่ามันเป็นการทำอะไรก็ตามที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วมีเป้าหมายใดๆอยู่ด้านหน้า ) คุณอาจจะไปไม่ถึงเป้าหมายแล้วตกหลุมกับดักระหว่างทาง แม้กระทั่งเจอกับก้อนหินหรืออุปสรรคที่อาจจะทำให้คุณหยุดอยู่ตรงนั้นหรือไม่ก็หันไปมองทางอื่นแทนก็ได้ (ซึ่งมันก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้ผมไม่ได้บอกว่าการมองไปที่อื่นมันไม่ดีนี่หน่า )

แนวคิดหนึ่งที่สำคัญในการจัดการกับปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นนั้น หลักๆแล้วผมเห็นภาพจากการที่ต้องดิวงานกับคนอื่นๆ ออกเป็นได้แค่ไม่กี่ประเด็นเท่านั้น เพื่อให้การมองและแก้ปัญหานั้นกระทำได้อย่างชาญฉลาด จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือว่า จำแนวคิดเหล่านี้ไว้ในหัวอยู่เสมอครับ

- ปัญหานั้นคือปัญหาหรือไม่ : แน่นอนว่าถ้าหากว่าคุณเจอตอเข้าให้ในการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งที่เป็นเป้าหมายปลายทางนั้น อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้แล้วมันจะทำให้คุณคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นปัญหา แต่ผมต้องบอกเอาไว้ก่อนเลยว่า คุณแน่ใจแล้วเหรอครับ ว่าสิ่งนั้นมันคือปัญหา คุณมองมันไม่เป็นปัญหาอะไรได้หรือไม่ หรือว่าคุณเอาอะไรเป็นหลักฐาน หรือแนวในการคิดว่าสิ่งนั้นมันเป็นปัญหา การที่เราเห็นสิ่งที่เป็นตอทางตัน แล้วคุณจะเริ่มตั้งโจทย์ขึ้นมาในใจทันที พึงระลึกไว้เสมอว่า "คุณตั้งโจทย์ที่ถูกต้องแล้วหรือไม่" เพราะหลายต่อหลายครั้งในการแก้ปัญหา ปรากฏว่า เราทำการทดสอบทดลอง หาวิธีการ ออกแรงคิดไปต่างๆนานามากมายก็พบภายหลังว่า "โจทย์ผิด" ทำให้เราเสียแรงและพลังงานไปกับการแก้ปัญหาที่ผิดโจทย์ ซึ่งมันน่าเศร้ามากกว่าการที่คุณไม่ได้ทำอะไรเสียด้วยซ้ำ นอนเฉยๆจะดีกว่า ยิ่งถ้าหากว่าคุณเป็นระดับที่กำหนดให้คนอื่นทำงานให้คุณได้ด้วยแล้วล่ะก็ คุณน่ะหละต้องยิ่งคิดเข้าไปใหญ่ว่า โจทย์ที่คุณกำลังจะใช้คน แรงงาน ความคิดไม่ใช่แค่ของตัวคุณเอง แต่เป็นคนอื่นๆที่ต้องรับเรืองต่อไปจากคุณต้องมาออกแรงด้วยเช่นกัน ถ้าหากว่ามันผิดโจทย์แปลว่า มันผิดพลาดเป็นทวีคุณ หลายเท่าพันทวี ผิดอย่างไม่น่าให้อภัยได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากว่าคุณเป็นผู้ว่าจ้าง (จ่ายเงินเพื่อให้คนอื่นๆทำอะไรก็สุดแล้วแต่) แล้วคุณตั้งโจทย์ที่คุณคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นปัญหาที่จะต้องทลายมันไป แล้วคุณตั้งผิดโจทย์ ก็แปลได้ง่ายกว่านั้นอีกก็คือ คุณเอาเงินไปเผาเล่น แล้วทุกคนก็เหมือนกับมีอะไรทำ ทั้งๆที่ไม่ได้ผลอะไรออกมาทั้งนั้น เหมือนว่าจะแก้ปัญหา แต่ว่าปัญหานั้นไม่ได้ปัญหาตั้งแต่แรกแล้ว project ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งต้องคิดมากเรื่องนี้ครับ  คุณอาจจะสงสัยว่าแล้ว ปัญหานั้นมันเป็นปัญหาจริงเหรอป่าว จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ? วิธีการก็คือ คุณจะต้องเริ่มทำตัวเป็นนักสืบ เสาะหาข้อมูลเพิ่มเติมให้ได้มากที่สุด จากความสามารถที่คุณมีอยู่ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็คิดวนซ้ำไปมา แล้วถามตัวเองว่ามันใช่จริงเหรอ เท่านั้นก็อาจจะเพียงพอแล้วใน case ที่ไม่ได้มีความยุ่งยากมากนัก คุณจำเป็นต้องแยกแยะสมมุติฐานที่มีอยู่ในหัวคุณให้เป็น แนวคิดนี้ เป็นแนวคิดที่พระพุทธเจ้าก็บอกเอาไว้เหมือนกันว่า อย่าไปเชื่ออะไร จนกว่าจะได้พิสูจน์ครับ ไม่เช่น แม้กระทั่งพ่อแม่ ครูอาจารย์และตำรา ที่เค้าเขียนมา (และไม่เชื่ออื่นๆอีกหลายอย่างผมจำไม่ได้แต่ว่าครอบคลุมมากๆ กาลามสูตร ครับอันนี้) เรื่องนี้ผมเคยเล่าเรื่องง่ายให้ฟังเรื่องการตั้งโจทย์ผิดเช่น ผมใส่เข็มขัดแล้วมันไม่มีรูให้ผลเอาหัวมันสอด lock ได้เพราะว่าซื้อมาไม่ได้ไปให้ร้านเค้าเจาะรูเพิ่ม โจทย์ที่คิดออกมาแบบไม่คิดมาก คือ "ทำยังไงให้มันมีรูเพิ่ม" นั่นน่ะซิผมไม่เคยคิดหรอกว่า โจทย์ผิด ทำให้ผลไปหาอุปกรณ์ต่างๆนานาๆมาเพื่อจะไปเจาะรูมัน (คิดว่าหาง่ายเหรอป่าวอ่ะครับ) หรือว่าคิดว่าจะขับรถไปติดต่อกับห้างร้านเพื่อให้เค้าเจาะรูเพิ่ม อืม .. มานั่งคิดอีกที อ้าวโจทย์ผิดจริงๆด้วย เพราะว่าสิ่งที่ผมต้องการคือ ทำยังไงให้ใส่เข็มขัดได้ต่างหาก อืมก็คิด ถ้าหากว่าเราย้ายรูที่มีมาอยู่ในตำแหน่งที่เราใช้ได้ก็จบเหมือนกัน อืม .. งั้นก็ตัดสายเอาก็ได้นี่หน่า ไม่เป็นไรนิเราก็ใส่อยู่คนเดียวไม่ได้ให้คนอื่นใส่สักกะหน่อยไม่ต้องให้เข็มขัดมัน free size ซะขนาดนั้นนี่เนาะ ผมก็เอากรรไกรมา แล้วก็ตัดปลายสาย(ด้านต้นสายน่าจะเรียกถูกกว่าน่ะครับ) ก็ ... จบ problem solved ! เท่านี้เอง ผมยกตัวอย่างเล็กๆให้ฟังเพราะว่ามันอ่านง่าย get ง่ายน่ะครับแต่วาถ้าหากว่าเป็นปัญหาระดับใหญ่ขึ้นคุณก็จะรู้ได้เลยว่า มันจะเดือดร้อนแค่ไหนถ้าหากว่าคุณตั้งโจทย์ผิด!

- มันมีวิธีการแก้แบบที่ง่ายกว่านี้เหรอป่าว : เมื่อคุณคิดว่าปัญหาที่เจอมันใช่แล้วด้วยการคิดวนซ้ำไปๆมาๆหรือว่าหาหลักฐานสั้นๆก่อนว่ามันใช่ปัญหาจริง หรือใช่ปัญหาอย่างแน่นอน แนวคิดที่คุณต้องคิดต่อคือ คุณจะเริ่มหาทางออก แต่อย่างไรก็ดี การหาทางออกคุณจะได้ความคิดวูบแรกออกมาเป็นประจำ รวมทั้งถ้าหากว่าคุณคุยกับคนในทีม หรือ คนอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็เค้าก็จะมีวิธีการแก้ไขให้ได้เช่นเดียวกัน แต่จำไว้เลยว่า ความคิดเหล่านั้นไม่ได้แปลว่า เป็นการแก้ปัญหาที่ชาญฉลาดที่สุด ผมอยากนิยามว่า ฉลาด คืออะไรสักหน่อยน่ะครับ คือ การแก้แบบฉลาดแปลว่า คุณจะใช้แรง กำลัง ความคิด เงิน เวลา ทรัพยากรใดๆที่คุณมีอยู่น้อยที่สุด เพื่อให้ปมปัญหานั้นคลายตัวออกไป ถ้าคุณแค่ดีดนิ้วแล้วปัญหามันหายไปเลย แน่นอนว่าดีกว่าเป็นไหนๆถูกเหรอป่าวล่ะครับ นั้นน่ะหละครับเป็นประเด็นที่ว่า "คุณต้องคิดหาวิธีการที่ง่ายเอาไว้ก่อน" ผมไม่ได้คิดว่าเป็นการแก้ปัญหาแบบลวกๆน่ะครับ มันเป็นการแก้ปัญหาแบบฉลาดตะหาก เพราะถ้าหากว่ามันตอบโจทย์ได้เหมือนกัน ทำไมต้องทำให้มันยากด้วยเล่า เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อคุณคิดว่านี่เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาแล้วล่ะก็ คิดย้ำซ้ำไปอีกทีว่า "มีวีธีที่ฉลาด(คือง่ายกินทรัพยากรน้อย)กว่านี้หรือไม่เท่าที่คุณและที่ปรึกษาหรือทีมงานของคุณจะคิดออก" เรื่องการแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ง่ายกว่านี้ ผมเจอกับตัวเองมาเยอะครั้งมากแล้ว สมมุติว่ากลับมาตัวอย่างเข็มขัดกันดีกว่า เพราะว่าง่ายดี ที่เข็มขัดจะมีห่วงอยู่ แล้วเวลาใส่เข็มขัดจำเป็นต้องให้ปลายสายมันอยู่ lock ในห่วงเข็มขัด ปลายมันจะได้ไม่ยื่นออกมามากนัก แปลว่า ห่วงต้องอยู่ที่เอวหรือค่อนไปทางซ้าย ก็แปลว่าห่วงต้องลอดหูกางเกงไปให้ได้ (แอบมีการตั้งโจทย์ผิด) วิธีการแก้ปัญหาที่จะคิดออกทันทีคือ คุณก็พยายามดันห่วงเข็มขัดลอดหูกางเกง ซึ่งกระทำได้ยากบ้างง่ายบ้างแล้วแต่กางเกงที่ใส่น่ะครับ ผมก็ละเมอคิดไปไกลว่า เอ้ย ทำไมกางเกงมันไม่ออกแบบมาให้หูมันกว้างกว่านี้ ทำไมไม่คิดถึงตอนสอดห่วงเข็มขัดกันล่ะเนี่ยะ แต่ว่าแน่นอนว่าการแก้ปัญหาแบบนี้กระทำเป็นประจำทุกเช้า จนต้องมานั่งคิดว่า "การแก้ปัญหาเรื่องนี้ มันมีวิธีการแก้ที่ง่ายกว่านี้เหรอป่าว?" ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วถ้าหากว่าคุณคิดเพิ่มมัน "มี" ครับ จริงๆแล้วขอแค่คุณถามตัวเองเท่านั้นเองว่า วิธีง่ายเนี่ยะมันมีเหรอป่าว มีเหรอป่าวๆๆ .. แล้วคิดๆมันน่ะครับ มันจะหาเจอครับผม และแล้วก็คิดออกจนได้ วิธีการก็แค่ว่า ก่อนใส่เข็มขัด ก็ถอดเอาห่วงเข็มขัดออกมาแล้วก็แนบไว้กำกางเกงตำแหน่งที่จะให้มันอยู่ไม่ต้องเอาไปลอดหูกางเกงหรอก แล้วก็เอาเข็มขัดสอดเข้าหูกางเกงแล้วก็ผ่านเข้าห่วงก็เสร็จแล้ว เท่านี้เอง .. กลับมาภาพขยาย scale ความเดือดร้อน ถ้าหากว่าคุณเจอปัญหา แล้วแน่ใจว่ามันเป็นปัญหา แล้วคุณคิดวิธีการแก้ปัญหาออก อย่าเพิ่งดีน่ะครับว่า มันเจ๋งแล้วครับ เพราะถ้าหากว่าคุณรู้สึกว่ามันยังยากอยู่ขอให้เริ่มทันทีเลยน่ะครับ ว่ามันมีวิธีการที่ง่ายกว่านั้นหรือไม่ (แน่นอนว่ามันต้องมีแค่ว่ามันจะคิดออกหรือไม่เท่านั้นเอง) ประเด็นคือ คุณต้องจำไว้ว่า ต้องถามตัวเองประโยคนี้เท่านั้นเองครับ ไม่งั้นคุณอาจจะพลาดเสียพลังงานไปเยอะแยะมากมายโดยแก้ปัญหาได้เหมือนกันเมื่อเทียบกับวิธีการที่ฉลาดกว่ายังไงล่ะครับ (โง่ก่อนฉลาดทีหลังออกแนวประมาณนั้นครับ)


- สิ่งทื่คิดอยู่นั้นมันมีสมมุติฐานใดๆซ่อนอยู่หรือไม่ : ระหว่างทางในการคิดว่ามันเป็นปัญหาหรือไม่ รวมทั้งการคิดหาแนวทางแก้ปัญหา ประสบการณ์ของคุณโดนดูดมาเพิ่มประมูลผลในหัว (เหมือนกับ CPU computer ที่มันกระพริบๆที่คอมคุณน่ะหละ) สิ่งที่พึงระวังอย่างที่สุด ! คือ

1.สิ่งที่คุณเชื่อจนคุณคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นจริง
2. Bias จากอารมณ์ (จริงๆแล้วมันจะมีเยอะแยะแยกได้หลายอย่างแต่หลักๆที่กระทบคือ Bias จากอารมณ์ครับ ความคิดไม่นิ่ง มีจริตคิดว่าคุณนู้นดี ความคิดนั้นไม่ดี คนอื่นโง่กว่า ตัวเองฉลาดสุดๆ (ถ้าหากว่าคุณตอบคำถามรายการ mega clever ฉลาดสุดๆถูกทุกข้อคุณค่อยคิดว่าตัวเองฉลาดสุดแล้วกันนะครับ) หงุดหงิดหรือแม้กระทั่งง่วงนอน)
3. ควาทรงจำที่ผิดพลาดจนคุณเหมาเอาว่าเป็นประสบการณ์จริง (เป็นการบิดเบี้ยวจากควาทรงจำ)
4. สิ่งที่คุณไม่เชื่อ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่คุณก็ไม่เชื่อมันจริงๆอยู่ดี

จากข้อ 1 - 4 ที่กล่าวมานี้ คุณจะเห็นได้ว่าคุณแทบไม่รู้ตัวเลยว่าอะไรจริงอะไรเท็จ อะไรเป็นสมมุติฐาน แล้วอะไรเป็นความจริงที่ได้พิสูจน์แล้ว ถ้าหากว่าใครรู้จักผมจริงๆ แล้วมีคนมาถามเรื่องนู้นเรื่องนี้กับผม แล้วผมไม่รู้ผมจะบอกว่าไม่รู้ต้องหาข้อมูลก่อน หรือบอกว่าไม่แน่ใจ เพราะว่าผมรู้ว่าถ้าหากว่าผมพูดมั่วมากเกินไป หรือว่าพูดบอกไปเลยจะทำให้การวิเคราะห์โดย CPU คนอื่นผิดพลาดได้เนื่องจากแหล่งข้อมูลโดยบิดเบียน ซึ่งผมก็โดนเป็นประจำ มันแย่กว่าการคิดโจทย์ผิดซะอีก คุณคิดถูกจากการได้ข้อมูลที่ผิดพลาดมันน่าเจ็บจี้ดเหรอป่าวล่ะครับนั่น

ความสามารถในการแยกแยะความจริง สมมุติฐาน unknown และความเชื่อออกจากกันได้อย่างสมบูรณ์เป็นทักษะที่ต้องฝึกไม่มีใครบอกคุณได้หรอกว่าคุณจะต้องแยกมันยังไง เพราะผมก็ไม่รู้หรอกว่าคุณผ่านอะไรมาบ้าง อยากจะให้ระลึกไว้เสมอว่า สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผลของ CPU ในหัวใบเล็กๆของคุณ แล้วคุณจะแก้ปัญหาของโจทย์ที่ถูกต้องอย่างชาญฉลาดครับผม ฝึกฝนกันต่อไป ...

[ เนื้อความนี้สามารถ copy เผยแพร่หลายราญได้อย่างไม่จำกัด เอาไปปะไว้ได้ทุกที่ทุกเว็ปครับไม่ต้องให้ credit ใดๆ ไม่ใส่ใจแค่อยากให้ระวังกันให้มากเป็นดีครับผม ^_^ จาก คนเขียน blog : http://rackmangerpro.com และ http://rackmanager.blogspot.com ]

Monday, January 04, 2010

ร้านกาแฟสวีทแม่สลอง : ร้านกาแฟร้านเดียวบนแม่สลอง

ตอนที่เราเดินทางไปที่แม่สลองจะมีร้านกาแฟที่จัดร้านออกมาได้ดูดีอยู่แค่ร้านเดียวเท่าที่เห็น เพราะอาจจะเป็นว่า แถวนี้คนเที่ยวก็ไม่ำได้เยอะแยะอะไร กำลังการซื้อก็ไม่ได้เยอะตามปริมาณคนที่แวะเข้ามาที่แม่สลอง

สภาพร้านถึอว่าใช้ได้เลยทีเดียวเปิดเพลงแนว bossa ฟังขิวๆไปเรื่อยๆ ระหว่างที่กินอาหารเช้าเป็น set ชุดละ 115 บาท (ไม่ได้ถ่ายรูปมาอีกแล้วกินหมดไปก่อนแล้วค่อยนึกออก) มีไข่ดาว แฮม แต่ว่าจัดอาหารออกมาดูดีครับ กินก็โอเคเล้ย ^_^

ป่าป๊าหม่าม้าก็สั่งกาแฟแบบที่เค้าชอบกันน่ะครับ แต่ว่าผมเป็นคนไม่กินกาแฟก็ไม่ได้สั่งอะไรกินเอาแค่ Notebook ออกมาจากกระเป๋าแล้วก็เล่น Net พิมพ์ review ร้านเค้าสักหน่อย แลกกับการลด 20% สำหรับการกินมื้อนี้ครับ (ปกติผมว่าเค้าก็ไม่ได้ลดหรอก แต่ว่าป่าป๊าเค้าเป็นเพื่อนกับพ่อเจ้าของร้านอีกที ผมก็เลยบอกว่าจะพิมพ์ blog content เอาไว้ให้ด้วยน่ะครับ)

ที่ร้านจะมีขนมให้เลือกซื้อกินพร้อมกับดูดกาแฟไปด้วย มองวิวสวยๆออกไปนอกร้านเป็นฝากภูเขาวิวสวยๆได้อารมณ์ชิวดีแท้ .. ~_~

Friday, January 01, 2010

ข้อสังเกตจาก Japan trip ครั้งล่าสุด

ไปญี่ปุ่นมาได้สักพักยังไม่ได้พิมพ์อะไรเก็บไว้ที่ blog เลยเอาอย่างงี้แล้วกัน สำหรับ entry นี้เอาแบบสรุปๆคร่าวๆว่าที่ผมไปญี่ปุ่นเนี่ยะได้เห็นได้รู้ ได้คิดอะไรแปลกๆกลับมาเหรอป่าว เหมือนเดิมครับ ทุกอย่างผ่านจากตากรองผ่านสมอง แล้วก็ข้อมูลที่มีจากประสบการณ์เท่านั้นอาจจะอ้างอิงไม่ได้ครับ เฮอะๆ ..

จุดสังเกตต่างๆจากการไปเที่ยวญี่ปุ่นมาแบบไปเองเดินเอง ถ้าหากว่าคิดเป็นข้อๆก็น่าจะทำได้ไม่ยาก เอาล่ะครับผมเล่าเป็นประเด็นๆเลยแล้วกัน
- เราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้โดยรถไฟทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด การเดินทางครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นในตัวเมืองเองก็จะเกาะรถไฟใต้ดินบนดินและ รถไฟแบบ local ซึ่งจะโดนแบ่งสัมปทานออกเป็นบริษัทยิบย่อยครับ แต่ว่าหลักๆจะเป็น JR (Japan railway) ที่มักจะฉลาดกว่าคนอื่นโดยการออกแบบเส้นทางของรางเป็นแบบวงแหวน เหมือนกับวงแหวนรอบนอกของบ้านเราเนี่ยะล่ะครับแล้วก็เสนอราคาตั๋วที่ไม่แพงกว่าจ้าวอื่นๆ แต่ถ้าหากว่าเดินทางไปๆมาๆเยอะๆยิบๆย่อยๆนี่แบบมากกว่า 3 คนก็อาจจะเริ่มคิดว่าจะนั่ง TAXI ได้หรือไม่ด้วยน่ะครับ เพราะว่ามันก็อาจจะราคาพอๆกันแล้วก็ได้

- นายตั๋วพูดญี่ปุ่นได้แล้วก็ยังพูดอังกฤษได้อีกตะหาก เดี๋ยวนี้ประเทศเค้าพัฒนาแล้ว (พูดเหมือนกะว่าตัวเองพัฒนานักแหละ) นายตั๋วจะบอกทางให้กับเราได้ไม่ยากเลยครับ เพราะว่าชุดศัพท์ที่เค้าใช้งานจะมีเฉพาะหรือว่าค่อนข้างแคบ ไม่รู้ว่าเค้าโดน Train มาหรือเปล่าแต่ว่าถามอะไรก็ตอบได้อย่างที่ต้องการน่ะครับ เช่น บอกว่าอยากไปที่นั่นจะไปยังไง หรือว่าจะต่อรถไฟอะไรสายไหน ต้องเดินไปด้วยวิธีการใด ได้หมดเรียกว่าสบายเลยครับ

- iPhone app เพื่อการแปลภาษาอังกฤษเป็นญี่ปุ่นจะไม่ได้ใช้งานเลย ตอนแรกคิดว่าจะไปใช้สำหรับการสั่งอาหารแต่ว่าผลก็คือ อาหารทุกอย่างแสดงออกมาด้วยภาพทั้งหมดครับ เกือบทุกร้านก็ว่าได้ ทำให้การสั่งอาหารไม่ได้เป็นปัญหาแม้แต่อย่างใด โอ้วสบายอีกแล้วครับอยากกินอะไรก็ชี้ๆเหมือนกับเล่นจ้ำจี้เท่านั้นเองครับ

- ราคาอาหารมื้อนึงโดยเฉลี่ยแบบกินปกติจะอยู่ที่ราคา 600 - 700 เยน สำหรับร้านค้าทั่วๆไปที่เห็นตาม food court หรือว่าตามห้าง หรือว่าข้างถนนน่ะครับ โดยจะประเมินเกรดร้านได้ออกเป็น เกรดต่ำสุดๆ เกรดต่ำโอเค เกรดปกติแล้วก็เกรดใช้ได้ครับ เกรดต่ำสุดๆนี่ผมไม่ๆได้กินครับเพราะว่าเป็นร้านประเภทยืนกินเท่านั้น ่อยากลองแต่ว่าไม่ได้ลองครับเพราะว่าน้องๆที่ไปด้วยกันไม่ได้อยากเข้าไปกินด้วยกัน หรือว่าเค้ามองข้ามประสบการณ์การยืนกินแบบญี่ปุ่นไป ร้านแบบนี้คนที่กินจะต้องรีบจริงๆหรือว่า ไม่ก็เป็นพวกที่ต้องการประหยัดสุดๆ ครับเพราะว่าอาหารราคาประมาณ 250++ เยนครับ แล้วก็ grade ถัดไปจะเป็นพวกข้าวหน้าเนื้อน่ะครับร้านพวกนี้ไม่ได้ขายแต่ข้าวหน้าเนื้อหรอกครับ แต่ว่าราคาก็ก้าวกระโดดไปที่ค่าเฉลี่ยเลยครับถ้าหากว่ากินแบบ size ปกติครับ พวกนี้จะเน้นกินเพื่อพลังงานเพราะเค้าจะมีบอกพลังงานทุกอย่าง ทุกที่เลยครับ แต่ว่าพวกน้องๆผมเนี่ยะเค้าก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าจะอยากกินเพราะพลังงานอะไร แค่คิดแค่ว่ามันน่ากินก็พอแล้วล่ะครับ  ... (ก็จริงจะเอาพลังงานไปเพื่ออะไรกัน) แต่สำหรับผมเองแล้วมานั่งคิดต่อเหมือนกันว่าถ้าหากว่าเอาพลังงานหน่วยเป็น cal เข้าไปใส่ไว้แล้วจะทำให้มีผลต่อการเลือกเมนูอาหารที่จะกินหรือไม่ครับ เพราะบางคนอาจจะคิดได้ว่าถ้าหากว่าจ่ายแพงกว่าก็น่าจะได้พลังงานมากกว่า แต่ว่าถ้าหากว่าาพวกที่รู้โภชนาการหน่อยก็จะคิดว่าพวกที่พลังงานเยอะกว่าก็ได้มาจากพลังงานอันเนื่องมาจาก fat ซะมากน่ะครับ ซึ่งก็อาจจะจริงครับ แต่ก็อีกบอกไม่ได้หรอกครับว่าอะไรเป็นอะไรเพราะเค้าไม่ได้บอกเหมือนกับพวกข้างกล่องนมขนาดนั้นน่ะครับ ต่อไปเป็นเกรดที่ดีกว่านั้นอันได้แก่ราเมน และอาหารประเภททอดๆครับ พวกนี้เราจะได้กินเยอะอยู่เหมอืนกับครับ เพราะว่าร้านพวกนี้จะมีเยอะกระจายตัวมากทีสุดเดินไปไหนหันไปหันมาถ้าหากว่าเกิดหิวหาของกินเมือ่ไหร่แล้วก็จะได้กินครับ แล้วก็เกรดที่สูงกว่านั้นก็ได้แก่ อาหารเลื่องชื่อ อาหารในตำนาน และพวกอาหารภัตตาคารหรู เช่นครั้งนี้ผมโดนค่าหมูดำทอดต่อชุดไปที่ 2400 บาทครับ เนี่ยะล่ะอาหารเลื่องชื่อเค้าก็ฟันยังไงล่ะครับ ><

- Hostel ต่างจาก Hotel แบบ optimized มาแล้ว แปลว่า เราสามารถตำรงชีวิตอยู่ได้เหมอืนกับอยู่โรงแรมน่ะหละครับ แค่ว่าทุกอย่างถูกคิดให้ประหยัดลงไปมาก ในทุกๆเรื่องน่ะครับ เช่น
    พื้นที่ อาจจะเป็นเตียงสองชั้น หรือการนอนอาจจะเป็นนอนห้องรวมๆกันเหมือนกับดอมหอพักรวมครับ
    พื้นที่ส่วนกลางอะไรอยู่กลางได้ก็อยู่เป็นส่วนกลางทั้งหมดครับ เช่นห้องน้ำ หรือว่าพวกพื้นที่โล่ง ทีวี และ computer
    อะไรเก็บเงินเพิ่มได้อีกหน่อยก็จะต้องเก็บเพิ่ม เช่นไม่มีผ้าเช็ดตัวให้เป็นพื้นฐานแต่อย่างใด แต่ว่าถ้าหากว่าอยากได้ก็ต้องจ่ายเพิ่ม
    อะไรไม่มีได้ก็ไม่มี เช่น พนักงานที่อยู่ตอนกลางคืนไม่มีน่ะครับ เค้ากลับบ้านกลับช่องกันหมด หรือว่าสบู่นี่ก็ไม่มีน่ะครับ ซื้อกันเองใช้กันเองครับ
    ลด cost อื่นๆ เช่น จะไม่มีการรับcredit card หรือว่าจะไม่ต้องจ้างคนมาทำความสะอาด ถ้าอยากจะนอนฟรีๆก็ทำได้น่ะครับโดยรับอาสาทำความสะอาดห้องน้ำให้ทั้งหมดเป็นต้น     มีการรักษาความปลอดภัยโดยอาศัยรหัส lock ประตูแทนการจ้างคนมาดูและหรือว่าติดตั้งระบบวงจรปิด
    อะไรลดขั้นตอนได้ก็ลด เช่น ผ้าปูที่นอนไม่ต้องปูครับให้คนพักปูเองเพราะว่ามันเป็นโหลดงานคนจริงๆน่ะครับถ้าหากว่าต้องไปปูเรื่อยๆ รวมทั้งการใส่ปอกหมอนครับ นอกจากนี้พวกเครื่องนอนพวกนี้เมื่อเราจะทำการ checkout เราก็ต้องเอาออกไปใส่ตะกร้าให้เค้าด้วยน่ะครับ หน้าที่ของเค้าก็คือ แค่เอาผ้าใหม่ไปวาง แล้วก็เอาผ้าเก่าส่งซัก outsource (มั้ย อันนี้ไม่รู้)
    ข้อมูลที่ซ้ำซาก คนก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะว่าทำเป็นเอกสารแจกแล้ว อยากรู้อะไรก็หยิบๆแล้วกันดูเอาเอง

แนวคิดของ Hostel นี้จะเหมือนหรือคิดค่อนข้างแนวเดียวกับอุตสาหกรรมครับแต่ว่าเข้าใจว่าหลักก็เพื่อต้องการลด cost สำหรับการบริหารเสียมากกว่าครับ เพราะว่า คนต้องน้อย ได้ตังค์เท่าเดิมแล้วก็เหมือนกับเป็นการบริหารสินทรัพย์เพื่อให้เกิดรายได้เท่านั้นค่าบริหารต่อเดือนอยากจะให้มันน้อยๆเข้าไว้ครับ

- สาวๆหน้าตาดีเหมือนกับสาวๆที่อยู่ในนิตยสารยังไงอย่างงั้น ผมเข้าใจว่า สาวๆพวกนี้สวยด้วยแต่งโดยแท้ครับ ไม่ได้ว่าคนประเทศเค้าไม่สวยน่ะครับ พวกนี้เค้าก็น่ารักดีอยู่แล้วเข้าทางผมน่ะครับ (><) แต่ว่าอยากจะบอกก็คือ คนเมืองจะแต่งหน้าเหมือนกับนิตยสารมาก แล้วก็ทำตัวเหมือนกับนางแบบเหล่านั้น หรืออาจจะมองในทางตรงกันข้ามได้ก็คือ นางแบบเหล่านั้นเอาคนปกติมาถ่ายแบบ เพื่อกำหนด life style ให้กับคนอื่นๆที่เหลือ เหมือนบอกทุกคนว่า เราต้องทำแบบนี้นะ แต่งหน้าแบบนี้นะ แล้วก็แต่งตัวแบบนี้นะ อืม .. นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมญี่ปุ่นถึงได้เป็นเมืองทื่พัฒนาแล้ว เพราะมีคนหน้าตาดีอยู่เยอะ ทำให้มองไปทางไหนก็สิวิไลอยู่ก็ได้น่ะครับ

- สาวๆหน้าตาดีมากนี้จะมีผมทอง เหมือนฝรั่ง แทนที่จะมีผมดำไม่รู้คิดยังไงต้องทองๆมันถึงจะสวยเข้าใจว่าเป็น fashion (แล้วผมเองก็มองว่ามันดูดีอีกและ) แต่มันไม่ทำให้ผมเสียกันทั่วบ้านทั่วเมืองเหรอครับนั่น

- ร้านขายยาของเยอะสุดๆ อาจจะเป็นเพราะว่าสาวๆต้องหน้าตาดี จำเป็นต้องใช้สินค้าเชิงแต่งหน้าและประทินผิวเยอะ แล้วก็ทำให้สินค้าเหล่านี้มีรูปแบบเยอะมาก ซึ่งมันก็จะกองๆกันที่ร้านขายยา ทำให้ร้านประเภทนี้ดึงดูดน้องสาวผมอย่างแรงไม่ว่าจะเดินไปไหน ร้านก็จะออกแนวเดียวกันแต่ก็ทั้งหมดก็ดึงดูดให้คนเข้าไปได้ไม่ยากทั้งหมดครับ

- ที่ญี่ปุ่นมีสินค้าให้เลือกเยอะเหลือคณา จากข้อตะกี้นี้จะเห็นได้ว่ามันเป็นแค่สินค้าประเภทประทินโฉมที่มันดูเหมือนเยอะแต่ว่าไม่ใช่เลยครับ สินค้ามันเยอะแบบให้เลือกในทุกๆ section ผลิตภัณฑ์ครับ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า ร้านอาหาร ของเล่น ยาสระผม ผมว่าถ้าหากว่าเทียบกับประเทศไทยเราแล้ว มันเยอะประมาณสัก 3=5 เท่าเห็นจะได้น่ะครับ ทำไมต้องเยอะแบบนี้ก็ไม่รู้ ตัวเลือกเยอะงง

- การแต่งกายจะถูกแบ่งออกเป็นสองค่ายเท่านั้นคือฝ่ายธรรมะ และอธรรม คือไม่แต่งเป็นนางฟ้าก็จะแต่งเป็นเด็กนักเรียนเกเรียน ก็มีเท่านี้เอง ก็ต้องเลือกเอาว่าตัวเองเหมาะกับแบบไหนแล้วก็แต่งตัวแบบนั้นครับ สำหรับผู้ชายแล้วทรงผมจะเหมือนๆกันหมด(วัยรุ่นนะครับ)คือทรงเดียวกับในการ์ตูน อยากได้บุคคลิกแบบไหนก็ทำตามตัวการ์ตูนญี่ปุ่นเอาก็แล้วกัน ว่าง่ายๆ

- ญี่ปุ่นคิดว่าสัตว์สี่ประเภทนี้น่ารัก ได้แก่ หมี ลิง กระต่าย แล้วก็ แมว (หรือหมาเนี่ยะล่ะ) ซึ่งผมก็ว่ามันก็น่ารักดีน่ะครับเพราะว่าผมยังชอบหมีเล้ย.. >< อิอิ ที่แน่ๆมันจะไม่มีหมู ควาย ปิศาจ หนอน เหมือนกับที่เราเจอๆทีเมืองไทยอ่ะครับ ที่เราคิดว่ามันน่ารักน่ะครับ

- เมื่อคุณใส่หมวกหมี จะมีคนเด็กนักเรียนตะโกนว่า คาวาอี้.... จากฝากถนนฝั่งนู้น

- คำว่า คาวาอี้ เป็นคำที่ได้ยินเข้าหูผมเป็นประจำบ่อยมาก ไมว่าจะเป็น ตุ้กตา ของเล่น เสื้อผ้า รวมทั้งปากกาด้วย (ได้ยินที่ร้านเครื่องเขียน)

- การเดินมากๆทำให้เมื่อยได้จริง

- ห้ามคุยโทรศัพท์บนรถไฟ เพราะว่าเค้ากลัวว่าจะรบกวนคนอื่นเค้า หรือไม่ก็รบกวนเครื่องกระตุ้นหัวใจของคนแก่น่ะครับ

- ที่ญี่ปุ่นจะใช้ 3G มาดูทีวีกันบนรถไฟหรือไม่ก็ sms ส่งหากันครับ เพราะว่าค่าโทรน่าจะแพงมาก ไม่ค่อยเห็นคนคุยโทรศัพท์กันเลย

- Game center หรือ entertainment center สามารถดูดเงินคนญี่ปุ่นกันเองได้ทุกกลุ่มตลาด เค้าจะมีโครงสร้างต่อไปนี้ครับ
    ชั้นล่างสุด จะมีที่ให้หนีบตุ้กตาน่ารักๆ (ผมก็โดนหลอกไปหนีบอยู๋เหมือนกันน่ะครับ เฮอะๆ ก็ตุ้กตามันน่ารักนี่หน่า) หรือว่าจริงแล้วเอาไว้ดูดเงินหนุ่มๆหรือคุณพ่อที่เดินผ่านหน้าร้านแล้วสาวๆอยากจะได้ตุ้กตาขึ้นมา หนุ่มๆก็ต้อง show man หยอดเอาตุ้กตาเอ๋อๆน่ารักๆเหล่านั้นออกมาให้ได้ แต่ว่าถ้าหากว่าเราหยอดเยอะๆแล้วไม่ได้สักที จะมีพนักงานมาคุยด้วยด้วยความสังเวท เหมือนกับว่าจะอยากช่วยเปิดตู้ออกมาปรับให้ดูเหมือนง่ายขึ้นแต่ว่ามันก็ยากเท่าเดิมน่ะหละ แล้วก็บอกให้หยอดไปเรื่อยๆ แต่บางคนก็ใจดีจริงๆน่ะครับ คือ เห็นหยอดเยอะแล้วก็อยากจะให้ได้น่ะครับก็ปรับให้เป็นตำแหน่งที่ง่ายมากๆ ครับ แล้วก็หยิบได้ครับผม
    ชั้นสอง เล่นเกมส์กัน พวกตู้เกมส์ปกติ
    ชั้นสาม จะมีพวกเกมส์ที่ต้องหยอดเงินแล้วมันดันๆเหรียญออกมาอธิบายยากน่ะครับ เค้าให้ถ่ายรูปด้วยซิ
    ชั้นสี่ ตู้ม้า ไพ่นกกระจอก slot machine แบบที่กดหยุดเองได้

- Game หนีบตุ้กตา มันไม่ได้แค่มีหนีบขึ้นน่ะครับ มันเยอะแบบหลากลีลามากๆ เช่นให้เกี่ยวห่วง ให้ตัดเชือก ให้คุ้นให้หล่น  แล้วมันก็ไม่ได้มีแค่ตุ้กตาด้วยซิมันมีทั้งขนมกล่อง model หุ่นยนต์ ผ้าห่ม limited edition (จำไมได้ว่ามีตุ้กตายางเหรอป่าวนะ ไม่มีมั้ง)

- คนญี่ปุ่นมีวินัยมากอย่างน่าประหลาดใจเมื่อเทียบกับคนไทย สังเกตจากว่าเมื่อเราใช้รถไฟใต้ดินของเค้า ตอนที่ขึ้นหรือลงบันได้เลื่อนคนที่จะยืนเฉยๆจะชิดไปด้านหนึ่งแล้วก็พวกที่อยากจะเดินเร็วๆ ไม่รู้จะรีบไปไหนก็จะเดินชิดอีกขอบหนึ่งครับ โดยแต่ละเมืองจะก็ชิดไม่เหมือนกันด้วยโดยถ้าหากว่าเป็นโตเกียวคนที่เดินจะอยู่ซ้าย แต่ว่าถ้าหากว่าเป็นเกียวโตจะอยู่ขวาครับ สลับกัน อาจจะเป็นเพราะว่าชื่อเมืองเรียกกลับกันเหรอป่าวอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจครับ เหมือนกับว่ามันเป็นธรรมเนียมที่ไม่ต้องสอนกันเห็นคนอื่นทำก็ต้องทำตามน่ะครับ ที่รุนแรงกว่านั้นก็คือ ตอนที่ผมเดินออกจากใต้ดินเพื่อโผล่ออกมายังผิวโลก จะมีบันไดทางออกนึงที่คนออกเยอะมาก แล้วทุกคนก็เรียงเดี่ยวเดินหน้ากันขึ้นไปโดยไม่เดินหลุดเข้าไปที่บอกว่าเป็นเลนสำหรับคนที่จะเดินสวนมาถีงแม้ว่าจะไม่มีคนเดินลงมาแม้แต่คนเดียวก็ตามที .. อืม .. ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าหากว่าเป็นคนไทยอย่างเราๆท่านๆแล้วล่ะก็ไม่พลาดหรอกครับที่จะต้องขยายเลนเดิน(คนเดิน)เพื่อเดินไปให้มันเร็วขึ้นเหมือนกับเป็นช่องทางเพื่อขยายการเดินรถยังไงอย่างงั้นน่ะครับ

- ก่อนเข้างานจะมีการยืนประชุมกัน คุยอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ออกว่าเค้าคุยอะไรกัน แต่ว่าผมแค่เดินผ่านร้านค้า ทุกจะยืนเข้าหากัน กุมเป้าไว้ ทำตัวนอบน้อม เข้าใจว่าน่าจะเหมือนกับ pep talk คุยเพื่อเรียกพลังกันซะมากกว่าหรือว่าอาจจะสรุปงานว่าวันนี้จะทำอะไร (แล้วมันไม่เหมือนกับเมื่อวานหรือไม่ยังไงเนี่ยะ )

- เด็กญี่ปุ่นพลังงานเยอะมาก แล้วก็ไม่กลัวหนาวกันเลย

- อาชีพเลี้ยงดูแลเด็กอนุบาลดูเหมือนเป็นงานที่มีความสุขดีระดับนึงครับ ^_^ (อาชีพที่ต้องดูแลชินจังน่ะครับ)

- AKB48 เป็นก้วนสาวๆน่ารักๆที่รวมตัวกันเล่นmini concert เต้นๆโดยที่ผู้ชายหนุ่มๆแต่งตัว hiphop แรงๆก็เต้นท่าน่ารักๆเหล่านั้นตามได้ทุกคน (ไม่น่าเชื่อ มันผิดกับภาพที่เห็นอย่างแรงครับ)  การแสดง concert แบบนี้เข้าใจว่าจะมีการจัดเป็นประจำด้วยวันที่แน่นอนเช่นอาจจะเป็นวันจันทร์ พูธ ศุกร์อะไรก็แล้ว แต่ เพราะว่าผมเห็นมีพวกที่ขึ้นกระดานด้วยเหตุผลว่า มาดูเยอะรอบจัดเป็นร้อยๆรอบ ไม่รู้ว่าจะดูซ้ำไปซ้ำมาทำไม แล้วทำไมไม่ซื้อ dvd มาดูไม่เข้าใจ (หรือว่ารักมากต้องแบ่งปันสตางค์ไปใช้ด้วยก็ไม่รู้)

- หมวกหมี rirakkuma น่ารักดีซื้อมา 1 อันกะว่าเอาไว้ใส่หน้าหนาว (แต่ว่าอยู่ กทมมันก็ไม่ได้หนาวอะไร ไปเดินทางเชียงรายก็ลืมเอามาซะอีก ดีมาก)

- ตอนที่ไปยังมีการฉายการ์ตูนโคนันกันอยู่เลยแสดงว่าเราอาจจะได้ดูการ์ตูนค่อนข้างจะ update พอๆกับประเทศญี่ปุ่นก็ได้อันนี้ไม่แน่ใจ

- ร้านเช่าวีดีโอหรือ dvd สำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ชั้นบนสุดด้านในมุมเล็กๆแต่ว่าเข้าไปแล้วมันไม่ได้เล็กตามมุม (มันเยอะเหมือนจะล้มทับซะอย่างงั้นเลย)

- คนที่นู้นใช้มือถือที่หน้าตาจะเหมือนๆกันหมดคือเป็นสีหลี่ยมแบนๆแล้วก็บางๆ เป็นแบบพับได้ด้วย แต่ว่าก็คนเห็นใช้ iphone อยู่บ้างแต่ก็ไม่เยอะเหมือนกับเมืองไทยน่ะครับ

- ร้านเสื้อผ้าเค้าจะบังคับให้พนักงานของเค้าใส่เสื้อผ้าของร้านเค้า นอกจากนั้นต้องแต่งหน้าแต่งตาเข้ากับ theme ร้านด้วยครับ

- ผมเห็นคนอ้วนแค่ 2 คนตลอด Trip แต่ก็พอจะคิดออกว่าทำไมคนเค้าไม่ค่อยจะอ้วนเท่าไหร่ เดาเอาว่า พวกญี่ปุ่นนี่เค้าจะเดินเยอะแล้วก็เดินเร็วด้วย

- แล้วก็เพิ่งคิดได้ว่าคนญี่ปุ่นก็ดูดบุหรี่เยอะแต่ว่าก็เป็นประเทศที่มีค่าเฉลี่ยอายุคนมากกว่าประเทศอื่นๆเยอะเช่นเดียวกัน แสดงว่าการดูดบุหรี่ไม่ได้ทำให้คนตายเยอะขึ้นมากอย่างเป็นนัย หรือว่าการกินของเค้าทำให้คนมีอายุยืนมากกว่าการบ่อนทำลายอายุจากการดูดบุหรี่

- ปังคุงยังคงฉายอยู่ที่ญี่ปุ่น แต่ว่าเป็นรายการแนวคนรักสัตว์

- อีกาที่บ้านเค้าไม่ค่อยจะกลัวคนสักเท่าไหร่ แล้วมันก็ตัวใหญ่มากซะด้วยซิ ก็เหมือนกับนกพิราบบ้านเราน่ะหละ แต่ว่ามันตัวใหญ่แล้วก็น่ากลัวกว่าเท่านั้นเองอ่ะครับ

- การกินซูชิของคนญี่ปุ่นโดยแท้จริงแล้วเค้าจะไม่ได้ใช้ตะเกืยบหรอกครับ เค้าจะเอามือเปิปโดยหยิบมาทั้งก้อนแล้วเอาด้านที่เป็นปลา หรือ อย่างน้อยก็เป็นด้านข้างของก้อนซูชิแตะจุ่มน้ำซี่อิ้วญี่ปุ่น

- ดูเหมือนว่าคนญี่ปุ่นจะรู้ว่าอายิโนะโมะโตะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากประเทศไทยแล้วก้ส่งไปญี่ปุ่นเยอะมากๆซะด้วย

- ขยะทุกที่ทุกทางต้องแยกประเภทขยะครับ แล้วก็ค่อนข้างจะน่าปวดหัวซะด้วยซิเพราะว่าต้องแยกว่ามันย่อยสลายได้หรือไม่เป็นโลหะหรือไม่เป็นแก้วหรือว่าเป้นกระดาษหรือไม่ มีครั้งนึงที่ร้าน ministop (mini mart ) น้องสาวผมทิ้งขยะผิดช่อง พนักงานจะเอามือลงไปหยิบแล้วก็ใส่ให้ถูกช่องทันที ผมไม่รู้หรอกว่าเบื้องหลังที่เค้าทำแบบเพราะว่าอะไร เพราะถ้าหากว่าใส่ไม่ถูกจะถูกปรับหรือ ? หรือว่าเพราะว่ามันเป็นสามัญสำนึกในเรื่องสิ่งแวดล้อมกันแน่

- ถ้าคุณอยากได้เหรียญ จงไปซื้อตั๋วรถไฟฟ้า ไม่ว่าคุณจะใส่แบงค์อะไรเข้าไปมันจะแตกออกมาเป็นเหรียญให้หมดเลย

- ดูเหมือนคนญี่ปุ่นจะไม่รังเกียจที่จะรับเหรียญ 1 เยน

- ราคาที่เราอยู่ตามร้านเป้นราคาที่รวม tax 5% ของญี่ปุ่นแล้ว

- soft cone เป็นไอติมที่ไปตามแหล่งท่องเที่ยวที่ไหนๆก็มีขาย แล้วก็ดูเหมือนกะว่าจะได้กำไรมากซะดว้ยซิ โดยถ้าหากว่าร้านค้าไหนมีขายเค้าจะเอา model soft cone ใหญ่ๆวางไว้ด้านหน้าร้าน เพื่อเป็นการบอกว่าร้านเค้ามีติมขายครับ

- คนญี่ปุ่นไม่ได้ตัวเตี้ยเหมือนในความคิด (ที่แอบมีอยู่ในใจมานาน)

- ขนมน่ากินมากๆ จัดวาง display ยังกะ jewelry ยังไงอย่างงั้นแล้วก็ราคาก็ค่อนข้างสูงด้วยเมือเทียบกับค่าอาหารน่ะครับ

- ร้าน 100 เยนบ้านเค้าจะขายสินค้าราคาต่อชิ้นรวมภาษีไว้ที่ 105 เยน นั่นก็แปลว่า Diaso บ้านเค้าจะถูกกว่าบ้านเราเป็นไหนต่อไหน (ซื้อมาเยอะอย่างอยู่น่ะครับ แต่ไม่อยากบอกว่าซื้ออะไรมาน่ะครับ อาย .. อิอิ)

- คนที่ออกแบบการห่อพลาสติกของข้าวห่อสาหร่ายแบบสามเหลี่ยมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาการออกแบบประดิษฐ์กรรมยอดเยี่ยม เพราะคุณสามารถที่จะแกะพลาสติกที่คลุมสาหร่ายออกแล้วสาหร่ายยังห่อข้าวได้อยู่โดยไม่ต้องเลอะมือ

- คนญี่ปุ่นเป็นพวกขี้เกรงใจจัดๆครับไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องขอโทษของโพยเป็นการใหญ่ คำที่ได้ยินบ่อยๆเค้าจะพูดกันว่า "ซื้อหมี่มาเซ็ง" ประมาณว่า "ขอโทษครับ" แต่ว่าใช้พร่ำเพรื่อกว่าคนไทยเป็นร้อยเท่าเห็นจะได้

เอาไว้เท่านี้ก่อนแล้วกันนะครับชักพิมพ์ชักเยอะเคยบอกกันตัวเองเอาไว้น่ะครับว่าอย่างพิมพ์เยอะ .. ^_^