Wednesday, February 17, 2010

แค่ป่วยสั้นๆไม่เกิน 16 ชั่วโมง ก็มาคิดเป็นตุเป็นตะแล้ว

mikan-cute หลังจากที่ไม่ได้ปวยมานาน แค่เมื่อวานก่อนมีอาการป่วยเล็กน้อยเท่านั้นก็ทำให้ไม่อยากจะทำอะไรสักเท่าไหร่เหมือนว่า โลกนี้มันหน่วง มองอะไรก็ดูมึนสภาพโลกไม่เหมือนเดิมมากนัก เมื่อเทียบกับวันก่อนๆที่อาการเป็นปกติครับ

กะการแค่ปวดไหล่ขึ้นมา (อาการก็เหมือนกับปวดคอน่ะหละ) ทำให้การนอน ก็หลับไม่สนิทแล้ว พอหลับไม่สนิททำให้มีผลต่อมายามเช้าทำงานก็ทำได้ไม่สะดวก คิดออกไม่ได้ออกไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป แล้วก็เกิดอาการเหมือนกับจะเป็นไข้อีก พอเจอไปประมาณนี้มันไม่ได้ไม่มีกำลังใจจะไปทำอะไรหรอกครับ แค่อยากให้มันหายไปในทันทีมากกว่า ทำให้คิดว่า หยุด นอน พัก เพื่อให้ร่างกายกลับเป็นปกติให้ได้เร็วที่ดีน่าจะเป็นเรื่องดีกว่า การลอย .. ละเมอไปเฉยๆ (คิดแบบ optimal เหมือนเดิมน่ะหละครับ)

หลังจากคิดได้อย่างงั้นก็จัดแจง ... ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งทำงาน กินข้าว แล้วหายา กิน แล้วก็นอน นอนก็นอนไม่ได้เปิดแอร์เป็นพัดลม ไม่น่าเชื่อว่า ทุ่กอย่างเป็นไปตามที่คิดคือ นอนแล้วจะเหงื่อไหลออกมาจากกว่าปกติมาก แม้ว่าจะไม่ได้ร้อนมากก็ตาม แล้วก็หลับไปบ้างไม่หลับบ้าง (ปกติก็นอนกลางวันอยู่แล้วแต่ว่างวดนี้ก็นอนให้นานกว่านั้นมากๆ) ผ่านไปสามสี่ชั่วโมงเท่านั้น เหมือนสภาพจะกลับเป็นปกติดี กลางคืนก็นอนได้ดีขึ้นไม่ลุกขึ้นมาเหมือนสองคืนก่อนที่นอนไม่หลับต้องมานั่งปวดท้องปวดตัว (ที่ปวดท้องด้วยเพราะว่าตอนเย็นกินข้าวน้อยน่ะครับ )

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าหากว่าเป็นอะไรรีบจัดการมันไปซะด่วน ผมว่าเป็นทางนึงที่จะทำให้หายได้โดยละม่อมเป็น optimal ของการจัดการต่อโรคที่จะเกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้น

การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่คุ้มค่าสุดๆแล้วถ้าหากว่าไม่บาดเจ็บอะไร มันเป็นการสะสมชีวิตเพื่อไม่ให้เกิดความไม่เสถียรของร่างกายในระยะยาว (ผมคิดอย่างงี้จริงๆน่ะครับ สสส.ไม่ต้องมาบอกผมก็ได้ ) เพราะว่าแค่รุมๆไม่มีแรงแค่นี้ผมก็เดือดร้อนเป็นตุเป็นตะในใจแล้ว แม้ว่าผมพยายามจะคิดว่า การเจ็บเป็นเรื่องธรรมโลก แต่ผมก็อยากเลี่ยงอยู่ดี แม้คิดว่าเอาจิตไปเพ่งอยู่ มองมัน แล้วมันจะหายไป แต่ว่าความเจ็บ อ่อนแรงหรือปวดนั้นมันก็มี time span ของมันอยู่จริงมันก็ยังตัดความเจ็บไม่ได้อย่างงั้นหรอก จิตยังไม่ได้ผ่านการฝึกมากเท่าที่ควรในเรื่องของความเจ็บปวดมากนัก ยังทนต่อสภาพที่เปลี่ยนแปลง บาดเจ็บ หรือเพลียไม่ได้

สุดท้ายรู้เลยว่า ความไม่เป็นโรคเป็นลาภอันประเสริฐโดยแท้

No comments: