เมื่อวันก่อนได้ไปดูละครเวทีไม่ซืเค้าเรียกว่า ละครเพลงน่าจะถูกกว่าเพราะว่า ทั้งเรื่องจะเดินเรื่องไปโดยการร้องเพลงกันน่ะครับ .ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ได้ดูละครเพลงแบบนี้ ละครเพลงเรื่องนั้นก็คือ เรื่อง "ลมหายใจ" ละครเพลงเรื่องนี้เป็นการเอาเพลงที่แต่โดยบอย(โกศิยพงษ์)ที่เราได้ยินกันคุ้นๆหูเอามาโม้เป็นเรื่องราวให้ได้ ผมว่านะถ้าหากว่าเป็นคนที่ชอบเพลงเค้าอยู่แล้วไปฟังเพลงก็ถือว่าโอเคเลยครับ เพราะว่าเรื่องนี้ถ้าหากว่าดูเนื้อเรื่องแล้วจะได้ความหมายของเพลงที่แตกต่างออกไปจากเดิมที่เข้าใจอยู่เดิม แต่มันก็เข้ากันได้อย่างลงตัวอยู่ดี
บรรยากาศตอนที่ไปแรกๆก็ไม่คิดว่าคนจะเยอะอย่างงั้นแต่ว่าพอเข้าไปที่ตัวโรงละคร(รัชดาลัย)แล้วก็รู้เลยว่าจะเต็มทุกทีนั่ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนที่เค้ามาดูเนี่ยะที่มาดูเพราะว่าเค้าชอบเพลงอยู่แล้วหรือว่ามาดูเพราะว่าเคยดูละครเพลงแล้วชอบเลยต้องมาดูอีก หรือว่าทั้งสองอย่างรวมกันๆ (แต่ว่าถ้าหากว่าเป็นอย่างงั้นเรื่องนี้รอบต้องมากกว่าเรื่องอื่นๆแน่นอน)
การเข้าชมละครเพลงแบบนี้จะต้องเข้าใจตรงเวลาเพราะเมื่อมีการเริ่มแล้วจะปิดไม่ให้คนเข้าอีกสิบนาทีเพื่อไม่ให้มีการรบกวนคนดูที่นั่งประจำที่พร้อมดูอยู่แล้วน่ะครับ แปลกดีว่า ถ้าหากว่าอีกสิบนาทีแล้วมันไม่กวนหรือยังไงกัน (มันก็กวนเหมอืนกันน่ะหละ แค่ว่ามันกวนใจน้อยกว่าเดิมเท่านั้นเองน่ะครับ อันนี้ผมคิดเอาเองอ่ะนะ เพราะว่าก็ไม่มีคนเดินไปเดินมาครับ)
ตอนเปิดตัวก็จะมี spot light ส่งที่หัววาทยากร ่หรือ conductor (คนที่เอาไม้สั้นแกว่งๆเพื่อให้คนเล่นดนตรีเล่นได้เข้ากันหมด) เพื่อที่จะทำให้ผมได้รู้ว่าเพลงที่จะทำการเล่นทั้งหมดนี้ถูกเล่นสดโดยคนที่หลบซ่อนอยู่ใต้เวที (ทำไมไม่เอามาโผล่วางให้มันเด่นกว่านี้ก็ไม่รู้ เหมือนมันเป็นตัวประกอบมากๆเลบน่ะครับ) ถ้าหากว่าตอนแรกผมไม่เห็นหัว conductor เนี่ยะผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าเพลงหรือดนตรีที่ได้ยินมาจากากรเล่นวงสดน่ะครับ
ข้อแตกต่างการดูละครเวทีกับการดูหนังก็คือ มีการพักยกให้คนดูได้เข้าห้องน้ำห้องท่าหรือว่าจะออกไปซื้ออะไรกินก็ได้ (แต่คิดว่าไม่น่าจะให้เอาอะไรเข้าไปในโรงละครได้ครับ) พักประมาณสักสิบนาที ทุกคนก็ต้องกระตือรือร้นเพื่อไปเข้าห้องน้ำเพราะว่าไม่อยากจะออกมากลางคันเพื่อที่เข้าห้องน้ำอีกรอบครับ ทำให้คนแน่นมากที่ห้องน้ำหญิง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำนายว่าจะเกิดได้ก่อนล่วงหน้าอยู่แล้วเพราะว่า ห้องน้ำหญิงถ้าหากว่ามีที่ให้ถ่ายๆเท่าๆกับห้องน้ำชายอัตราการใช้เวลาในห้องน้ำก็จะต้องมากกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้น่ะครับ ถ้าหากว่าจะเอาให้ดีแล้วจริงห้องน้ำหญิงจะต้องออกแบบมาให้มี work station ให้มากกว่าห้องน้ชายมากๆและแน่นอนว่ามันจะกินพื้นที่กว่าห้องน้ำชายหลายเท่าตัวครับ (ซึ่งก็ไม่มีคนทำอยู่ดี) ไหงว่าไปว่ามาไปเรื่องห้องน้ำได้เนี่ยะ .. ><
กฏของการเข้าชมละครที่ดีคือ "ต้องไม่ทำให้ผู้แสดงเสียสมาธิ" ระหว่างการแสดงจะไม่อยากให้ผู้ชมทำเสียงถุงขนมหรือว่าคุยกันเองหรือว่าเดินไปเดินมาครับ เพราะอาจจะทำให้ผู้แสดง(สด)ลืมบทหรือว่าออกอาการผิดคิวได้ ซื้อก็โชคดีว่า งวดที่ผมไปดูเค้าก็ไม่ได้ผิดคิวอะไรแล้วก็ทุกคนที่แสดงก็แสดงออกมาได้อย่างถึงอารมณ์จนผม in กันเนื้อหาและเนื้อเพลง(ที่ให้ความหมายแตกต่างออกไปจากาเดิม) กันเลยก็ว่าได้น่ะครับ แต่ก็มีคนทำให้ผมเสียสมาธิอยู่ฉากหนึ่งน่ะครับ ดีน่ะครับที่ผู้แสดงบนเวทีอาจจะไม่ได้ยินแล้วก็ไม่เสียสมาธิน่ะครับ แน่นอนว่าถ้าหากว่าคนที่เข้าไปดูแล้วก็จะได้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกับรอบที่ผมดูครับ เพราะว่า มีอยู่ฉากหนึ่งที่ ออฟปองศักษ์ถามนิโคล(ที่เป็นนางเอก) ว่า "เธอจะมีความสุขที่สุดในชุดแต่งงานเป้นเจ้าสาวนะ" แล้ว ออฟปองศักษ์ก็ถามต่อไปีอกว่า "แล้วรู้มั้ยว่าฉันจะมีความสุขที่สุดเมื่อไร" ไม่ทันไรคนดูหัวไวก็แซวกลางอากาศห่างออกไปจากแถวที่ผมนั่งประมาณสักห้าหกแถวเห็นจะได้ (ทำเสียงภาคแทนออฟน่ะครับ) ว่า "ก็เมื่อฉันได้ใส่ชุดเจ้าสาวเหมือนกันไง" เล่นเอาผมสมาธิหลุดจากเวทีมาขำอยู่ได้สามสี่ตลบใจจบกับความหัวไวช่างแซวของคนบางคนในที่มืดนี้น่ะครับ ก็ไม่ใข่แค่ผมฮาอยู่คนเดียวหรอกน่ะครับ คนที่นั่งอยู่ในรัศมีที่ได้ยินคำแซวที่ว่านี้ก็คงขำไม่ย่อยเหมือนกันน่ะครับ เฮอะๆ ..
โดยรวมแล้วกาาดูละครเวทีเรื่องนี้ถือได้ว่าทำเอาผมปลื้มใจอยู่ในตอนจบ (ไม่ใช่ที่เนื้อเรื่องหรอกน่ะครับ ) เป็นตอนจบที่ทุกคนออกมาเพื่อรับการตบมือขอบคุณจากคนดูครับ ผมปลื่มใจตรงที่ว่า เค้าแสดงออกมาแล้วรู้สึกว่าคนเหล่านนั้นเค้าได้ทำอะไรเต็มที่กับเรื่องราวและเนื้อหาที่แสดงและพร้อมที่จะยินดีได้รับความสุขจากการขอบคุณของคนดูน่ะครับ ซึ่ง ณ เวลานั้นผมว่าคนดูทั้งหมดในโรงก็รู้สึกปลื่มใจและอิ่มใจกับการแสดงนั้นจึงต้องตบมือขอบคุณนักแสดงอย่างอิ่มเอมใจครับ สุดท้ายก็มีแถวอีกหน่อยให้ร้องเพลง โดยมีการขึ้นคาราโอเกะด้านข้างเวทีสำหรับคนที่ไม่ค่อยรู้เนื้อร้องให้ได้ร้องกัน เหมือนคนที่เค้าจัดการแสดงเนี่ยะเข้าใจหัวอกว่า .. คนดูอยากจะร้องเพลงไปกันนักแสดงด้วยแต่ว่าก็ไม่ได้ร้อง ก็เอามาร้องมันตอนจะเลิกนี่ซะหน่อยก็แล้วกันน่ะครับ
ยังไงซะก็ขอบคุณสำหรับประสบการณ์การดีๆในครั้งนี้ครับ ขอบคุณครับ
No comments:
Post a Comment