Friday, January 01, 2010

ข้อสังเกตจาก Japan trip ครั้งล่าสุด

ไปญี่ปุ่นมาได้สักพักยังไม่ได้พิมพ์อะไรเก็บไว้ที่ blog เลยเอาอย่างงี้แล้วกัน สำหรับ entry นี้เอาแบบสรุปๆคร่าวๆว่าที่ผมไปญี่ปุ่นเนี่ยะได้เห็นได้รู้ ได้คิดอะไรแปลกๆกลับมาเหรอป่าว เหมือนเดิมครับ ทุกอย่างผ่านจากตากรองผ่านสมอง แล้วก็ข้อมูลที่มีจากประสบการณ์เท่านั้นอาจจะอ้างอิงไม่ได้ครับ เฮอะๆ ..

จุดสังเกตต่างๆจากการไปเที่ยวญี่ปุ่นมาแบบไปเองเดินเอง ถ้าหากว่าคิดเป็นข้อๆก็น่าจะทำได้ไม่ยาก เอาล่ะครับผมเล่าเป็นประเด็นๆเลยแล้วกัน
- เราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้โดยรถไฟทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด การเดินทางครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นในตัวเมืองเองก็จะเกาะรถไฟใต้ดินบนดินและ รถไฟแบบ local ซึ่งจะโดนแบ่งสัมปทานออกเป็นบริษัทยิบย่อยครับ แต่ว่าหลักๆจะเป็น JR (Japan railway) ที่มักจะฉลาดกว่าคนอื่นโดยการออกแบบเส้นทางของรางเป็นแบบวงแหวน เหมือนกับวงแหวนรอบนอกของบ้านเราเนี่ยะล่ะครับแล้วก็เสนอราคาตั๋วที่ไม่แพงกว่าจ้าวอื่นๆ แต่ถ้าหากว่าเดินทางไปๆมาๆเยอะๆยิบๆย่อยๆนี่แบบมากกว่า 3 คนก็อาจจะเริ่มคิดว่าจะนั่ง TAXI ได้หรือไม่ด้วยน่ะครับ เพราะว่ามันก็อาจจะราคาพอๆกันแล้วก็ได้

- นายตั๋วพูดญี่ปุ่นได้แล้วก็ยังพูดอังกฤษได้อีกตะหาก เดี๋ยวนี้ประเทศเค้าพัฒนาแล้ว (พูดเหมือนกะว่าตัวเองพัฒนานักแหละ) นายตั๋วจะบอกทางให้กับเราได้ไม่ยากเลยครับ เพราะว่าชุดศัพท์ที่เค้าใช้งานจะมีเฉพาะหรือว่าค่อนข้างแคบ ไม่รู้ว่าเค้าโดน Train มาหรือเปล่าแต่ว่าถามอะไรก็ตอบได้อย่างที่ต้องการน่ะครับ เช่น บอกว่าอยากไปที่นั่นจะไปยังไง หรือว่าจะต่อรถไฟอะไรสายไหน ต้องเดินไปด้วยวิธีการใด ได้หมดเรียกว่าสบายเลยครับ

- iPhone app เพื่อการแปลภาษาอังกฤษเป็นญี่ปุ่นจะไม่ได้ใช้งานเลย ตอนแรกคิดว่าจะไปใช้สำหรับการสั่งอาหารแต่ว่าผลก็คือ อาหารทุกอย่างแสดงออกมาด้วยภาพทั้งหมดครับ เกือบทุกร้านก็ว่าได้ ทำให้การสั่งอาหารไม่ได้เป็นปัญหาแม้แต่อย่างใด โอ้วสบายอีกแล้วครับอยากกินอะไรก็ชี้ๆเหมือนกับเล่นจ้ำจี้เท่านั้นเองครับ

- ราคาอาหารมื้อนึงโดยเฉลี่ยแบบกินปกติจะอยู่ที่ราคา 600 - 700 เยน สำหรับร้านค้าทั่วๆไปที่เห็นตาม food court หรือว่าตามห้าง หรือว่าข้างถนนน่ะครับ โดยจะประเมินเกรดร้านได้ออกเป็น เกรดต่ำสุดๆ เกรดต่ำโอเค เกรดปกติแล้วก็เกรดใช้ได้ครับ เกรดต่ำสุดๆนี่ผมไม่ๆได้กินครับเพราะว่าเป็นร้านประเภทยืนกินเท่านั้น ่อยากลองแต่ว่าไม่ได้ลองครับเพราะว่าน้องๆที่ไปด้วยกันไม่ได้อยากเข้าไปกินด้วยกัน หรือว่าเค้ามองข้ามประสบการณ์การยืนกินแบบญี่ปุ่นไป ร้านแบบนี้คนที่กินจะต้องรีบจริงๆหรือว่า ไม่ก็เป็นพวกที่ต้องการประหยัดสุดๆ ครับเพราะว่าอาหารราคาประมาณ 250++ เยนครับ แล้วก็ grade ถัดไปจะเป็นพวกข้าวหน้าเนื้อน่ะครับร้านพวกนี้ไม่ได้ขายแต่ข้าวหน้าเนื้อหรอกครับ แต่ว่าราคาก็ก้าวกระโดดไปที่ค่าเฉลี่ยเลยครับถ้าหากว่ากินแบบ size ปกติครับ พวกนี้จะเน้นกินเพื่อพลังงานเพราะเค้าจะมีบอกพลังงานทุกอย่าง ทุกที่เลยครับ แต่ว่าพวกน้องๆผมเนี่ยะเค้าก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าจะอยากกินเพราะพลังงานอะไร แค่คิดแค่ว่ามันน่ากินก็พอแล้วล่ะครับ  ... (ก็จริงจะเอาพลังงานไปเพื่ออะไรกัน) แต่สำหรับผมเองแล้วมานั่งคิดต่อเหมือนกันว่าถ้าหากว่าเอาพลังงานหน่วยเป็น cal เข้าไปใส่ไว้แล้วจะทำให้มีผลต่อการเลือกเมนูอาหารที่จะกินหรือไม่ครับ เพราะบางคนอาจจะคิดได้ว่าถ้าหากว่าจ่ายแพงกว่าก็น่าจะได้พลังงานมากกว่า แต่ว่าถ้าหากว่าาพวกที่รู้โภชนาการหน่อยก็จะคิดว่าพวกที่พลังงานเยอะกว่าก็ได้มาจากพลังงานอันเนื่องมาจาก fat ซะมากน่ะครับ ซึ่งก็อาจจะจริงครับ แต่ก็อีกบอกไม่ได้หรอกครับว่าอะไรเป็นอะไรเพราะเค้าไม่ได้บอกเหมือนกับพวกข้างกล่องนมขนาดนั้นน่ะครับ ต่อไปเป็นเกรดที่ดีกว่านั้นอันได้แก่ราเมน และอาหารประเภททอดๆครับ พวกนี้เราจะได้กินเยอะอยู่เหมอืนกับครับ เพราะว่าร้านพวกนี้จะมีเยอะกระจายตัวมากทีสุดเดินไปไหนหันไปหันมาถ้าหากว่าเกิดหิวหาของกินเมือ่ไหร่แล้วก็จะได้กินครับ แล้วก็เกรดที่สูงกว่านั้นก็ได้แก่ อาหารเลื่องชื่อ อาหารในตำนาน และพวกอาหารภัตตาคารหรู เช่นครั้งนี้ผมโดนค่าหมูดำทอดต่อชุดไปที่ 2400 บาทครับ เนี่ยะล่ะอาหารเลื่องชื่อเค้าก็ฟันยังไงล่ะครับ ><

- Hostel ต่างจาก Hotel แบบ optimized มาแล้ว แปลว่า เราสามารถตำรงชีวิตอยู่ได้เหมอืนกับอยู่โรงแรมน่ะหละครับ แค่ว่าทุกอย่างถูกคิดให้ประหยัดลงไปมาก ในทุกๆเรื่องน่ะครับ เช่น
    พื้นที่ อาจจะเป็นเตียงสองชั้น หรือการนอนอาจจะเป็นนอนห้องรวมๆกันเหมือนกับดอมหอพักรวมครับ
    พื้นที่ส่วนกลางอะไรอยู่กลางได้ก็อยู่เป็นส่วนกลางทั้งหมดครับ เช่นห้องน้ำ หรือว่าพวกพื้นที่โล่ง ทีวี และ computer
    อะไรเก็บเงินเพิ่มได้อีกหน่อยก็จะต้องเก็บเพิ่ม เช่นไม่มีผ้าเช็ดตัวให้เป็นพื้นฐานแต่อย่างใด แต่ว่าถ้าหากว่าอยากได้ก็ต้องจ่ายเพิ่ม
    อะไรไม่มีได้ก็ไม่มี เช่น พนักงานที่อยู่ตอนกลางคืนไม่มีน่ะครับ เค้ากลับบ้านกลับช่องกันหมด หรือว่าสบู่นี่ก็ไม่มีน่ะครับ ซื้อกันเองใช้กันเองครับ
    ลด cost อื่นๆ เช่น จะไม่มีการรับcredit card หรือว่าจะไม่ต้องจ้างคนมาทำความสะอาด ถ้าอยากจะนอนฟรีๆก็ทำได้น่ะครับโดยรับอาสาทำความสะอาดห้องน้ำให้ทั้งหมดเป็นต้น     มีการรักษาความปลอดภัยโดยอาศัยรหัส lock ประตูแทนการจ้างคนมาดูและหรือว่าติดตั้งระบบวงจรปิด
    อะไรลดขั้นตอนได้ก็ลด เช่น ผ้าปูที่นอนไม่ต้องปูครับให้คนพักปูเองเพราะว่ามันเป็นโหลดงานคนจริงๆน่ะครับถ้าหากว่าต้องไปปูเรื่อยๆ รวมทั้งการใส่ปอกหมอนครับ นอกจากนี้พวกเครื่องนอนพวกนี้เมื่อเราจะทำการ checkout เราก็ต้องเอาออกไปใส่ตะกร้าให้เค้าด้วยน่ะครับ หน้าที่ของเค้าก็คือ แค่เอาผ้าใหม่ไปวาง แล้วก็เอาผ้าเก่าส่งซัก outsource (มั้ย อันนี้ไม่รู้)
    ข้อมูลที่ซ้ำซาก คนก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะว่าทำเป็นเอกสารแจกแล้ว อยากรู้อะไรก็หยิบๆแล้วกันดูเอาเอง

แนวคิดของ Hostel นี้จะเหมือนหรือคิดค่อนข้างแนวเดียวกับอุตสาหกรรมครับแต่ว่าเข้าใจว่าหลักก็เพื่อต้องการลด cost สำหรับการบริหารเสียมากกว่าครับ เพราะว่า คนต้องน้อย ได้ตังค์เท่าเดิมแล้วก็เหมือนกับเป็นการบริหารสินทรัพย์เพื่อให้เกิดรายได้เท่านั้นค่าบริหารต่อเดือนอยากจะให้มันน้อยๆเข้าไว้ครับ

- สาวๆหน้าตาดีเหมือนกับสาวๆที่อยู่ในนิตยสารยังไงอย่างงั้น ผมเข้าใจว่า สาวๆพวกนี้สวยด้วยแต่งโดยแท้ครับ ไม่ได้ว่าคนประเทศเค้าไม่สวยน่ะครับ พวกนี้เค้าก็น่ารักดีอยู่แล้วเข้าทางผมน่ะครับ (><) แต่ว่าอยากจะบอกก็คือ คนเมืองจะแต่งหน้าเหมือนกับนิตยสารมาก แล้วก็ทำตัวเหมือนกับนางแบบเหล่านั้น หรืออาจจะมองในทางตรงกันข้ามได้ก็คือ นางแบบเหล่านั้นเอาคนปกติมาถ่ายแบบ เพื่อกำหนด life style ให้กับคนอื่นๆที่เหลือ เหมือนบอกทุกคนว่า เราต้องทำแบบนี้นะ แต่งหน้าแบบนี้นะ แล้วก็แต่งตัวแบบนี้นะ อืม .. นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมญี่ปุ่นถึงได้เป็นเมืองทื่พัฒนาแล้ว เพราะมีคนหน้าตาดีอยู่เยอะ ทำให้มองไปทางไหนก็สิวิไลอยู่ก็ได้น่ะครับ

- สาวๆหน้าตาดีมากนี้จะมีผมทอง เหมือนฝรั่ง แทนที่จะมีผมดำไม่รู้คิดยังไงต้องทองๆมันถึงจะสวยเข้าใจว่าเป็น fashion (แล้วผมเองก็มองว่ามันดูดีอีกและ) แต่มันไม่ทำให้ผมเสียกันทั่วบ้านทั่วเมืองเหรอครับนั่น

- ร้านขายยาของเยอะสุดๆ อาจจะเป็นเพราะว่าสาวๆต้องหน้าตาดี จำเป็นต้องใช้สินค้าเชิงแต่งหน้าและประทินผิวเยอะ แล้วก็ทำให้สินค้าเหล่านี้มีรูปแบบเยอะมาก ซึ่งมันก็จะกองๆกันที่ร้านขายยา ทำให้ร้านประเภทนี้ดึงดูดน้องสาวผมอย่างแรงไม่ว่าจะเดินไปไหน ร้านก็จะออกแนวเดียวกันแต่ก็ทั้งหมดก็ดึงดูดให้คนเข้าไปได้ไม่ยากทั้งหมดครับ

- ที่ญี่ปุ่นมีสินค้าให้เลือกเยอะเหลือคณา จากข้อตะกี้นี้จะเห็นได้ว่ามันเป็นแค่สินค้าประเภทประทินโฉมที่มันดูเหมือนเยอะแต่ว่าไม่ใช่เลยครับ สินค้ามันเยอะแบบให้เลือกในทุกๆ section ผลิตภัณฑ์ครับ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า ร้านอาหาร ของเล่น ยาสระผม ผมว่าถ้าหากว่าเทียบกับประเทศไทยเราแล้ว มันเยอะประมาณสัก 3=5 เท่าเห็นจะได้น่ะครับ ทำไมต้องเยอะแบบนี้ก็ไม่รู้ ตัวเลือกเยอะงง

- การแต่งกายจะถูกแบ่งออกเป็นสองค่ายเท่านั้นคือฝ่ายธรรมะ และอธรรม คือไม่แต่งเป็นนางฟ้าก็จะแต่งเป็นเด็กนักเรียนเกเรียน ก็มีเท่านี้เอง ก็ต้องเลือกเอาว่าตัวเองเหมาะกับแบบไหนแล้วก็แต่งตัวแบบนั้นครับ สำหรับผู้ชายแล้วทรงผมจะเหมือนๆกันหมด(วัยรุ่นนะครับ)คือทรงเดียวกับในการ์ตูน อยากได้บุคคลิกแบบไหนก็ทำตามตัวการ์ตูนญี่ปุ่นเอาก็แล้วกัน ว่าง่ายๆ

- ญี่ปุ่นคิดว่าสัตว์สี่ประเภทนี้น่ารัก ได้แก่ หมี ลิง กระต่าย แล้วก็ แมว (หรือหมาเนี่ยะล่ะ) ซึ่งผมก็ว่ามันก็น่ารักดีน่ะครับเพราะว่าผมยังชอบหมีเล้ย.. >< อิอิ ที่แน่ๆมันจะไม่มีหมู ควาย ปิศาจ หนอน เหมือนกับที่เราเจอๆทีเมืองไทยอ่ะครับ ที่เราคิดว่ามันน่ารักน่ะครับ

- เมื่อคุณใส่หมวกหมี จะมีคนเด็กนักเรียนตะโกนว่า คาวาอี้.... จากฝากถนนฝั่งนู้น

- คำว่า คาวาอี้ เป็นคำที่ได้ยินเข้าหูผมเป็นประจำบ่อยมาก ไมว่าจะเป็น ตุ้กตา ของเล่น เสื้อผ้า รวมทั้งปากกาด้วย (ได้ยินที่ร้านเครื่องเขียน)

- การเดินมากๆทำให้เมื่อยได้จริง

- ห้ามคุยโทรศัพท์บนรถไฟ เพราะว่าเค้ากลัวว่าจะรบกวนคนอื่นเค้า หรือไม่ก็รบกวนเครื่องกระตุ้นหัวใจของคนแก่น่ะครับ

- ที่ญี่ปุ่นจะใช้ 3G มาดูทีวีกันบนรถไฟหรือไม่ก็ sms ส่งหากันครับ เพราะว่าค่าโทรน่าจะแพงมาก ไม่ค่อยเห็นคนคุยโทรศัพท์กันเลย

- Game center หรือ entertainment center สามารถดูดเงินคนญี่ปุ่นกันเองได้ทุกกลุ่มตลาด เค้าจะมีโครงสร้างต่อไปนี้ครับ
    ชั้นล่างสุด จะมีที่ให้หนีบตุ้กตาน่ารักๆ (ผมก็โดนหลอกไปหนีบอยู๋เหมือนกันน่ะครับ เฮอะๆ ก็ตุ้กตามันน่ารักนี่หน่า) หรือว่าจริงแล้วเอาไว้ดูดเงินหนุ่มๆหรือคุณพ่อที่เดินผ่านหน้าร้านแล้วสาวๆอยากจะได้ตุ้กตาขึ้นมา หนุ่มๆก็ต้อง show man หยอดเอาตุ้กตาเอ๋อๆน่ารักๆเหล่านั้นออกมาให้ได้ แต่ว่าถ้าหากว่าเราหยอดเยอะๆแล้วไม่ได้สักที จะมีพนักงานมาคุยด้วยด้วยความสังเวท เหมือนกับว่าจะอยากช่วยเปิดตู้ออกมาปรับให้ดูเหมือนง่ายขึ้นแต่ว่ามันก็ยากเท่าเดิมน่ะหละ แล้วก็บอกให้หยอดไปเรื่อยๆ แต่บางคนก็ใจดีจริงๆน่ะครับ คือ เห็นหยอดเยอะแล้วก็อยากจะให้ได้น่ะครับก็ปรับให้เป็นตำแหน่งที่ง่ายมากๆ ครับ แล้วก็หยิบได้ครับผม
    ชั้นสอง เล่นเกมส์กัน พวกตู้เกมส์ปกติ
    ชั้นสาม จะมีพวกเกมส์ที่ต้องหยอดเงินแล้วมันดันๆเหรียญออกมาอธิบายยากน่ะครับ เค้าให้ถ่ายรูปด้วยซิ
    ชั้นสี่ ตู้ม้า ไพ่นกกระจอก slot machine แบบที่กดหยุดเองได้

- Game หนีบตุ้กตา มันไม่ได้แค่มีหนีบขึ้นน่ะครับ มันเยอะแบบหลากลีลามากๆ เช่นให้เกี่ยวห่วง ให้ตัดเชือก ให้คุ้นให้หล่น  แล้วมันก็ไม่ได้มีแค่ตุ้กตาด้วยซิมันมีทั้งขนมกล่อง model หุ่นยนต์ ผ้าห่ม limited edition (จำไมได้ว่ามีตุ้กตายางเหรอป่าวนะ ไม่มีมั้ง)

- คนญี่ปุ่นมีวินัยมากอย่างน่าประหลาดใจเมื่อเทียบกับคนไทย สังเกตจากว่าเมื่อเราใช้รถไฟใต้ดินของเค้า ตอนที่ขึ้นหรือลงบันได้เลื่อนคนที่จะยืนเฉยๆจะชิดไปด้านหนึ่งแล้วก็พวกที่อยากจะเดินเร็วๆ ไม่รู้จะรีบไปไหนก็จะเดินชิดอีกขอบหนึ่งครับ โดยแต่ละเมืองจะก็ชิดไม่เหมือนกันด้วยโดยถ้าหากว่าเป็นโตเกียวคนที่เดินจะอยู่ซ้าย แต่ว่าถ้าหากว่าเป็นเกียวโตจะอยู่ขวาครับ สลับกัน อาจจะเป็นเพราะว่าชื่อเมืองเรียกกลับกันเหรอป่าวอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจครับ เหมือนกับว่ามันเป็นธรรมเนียมที่ไม่ต้องสอนกันเห็นคนอื่นทำก็ต้องทำตามน่ะครับ ที่รุนแรงกว่านั้นก็คือ ตอนที่ผมเดินออกจากใต้ดินเพื่อโผล่ออกมายังผิวโลก จะมีบันไดทางออกนึงที่คนออกเยอะมาก แล้วทุกคนก็เรียงเดี่ยวเดินหน้ากันขึ้นไปโดยไม่เดินหลุดเข้าไปที่บอกว่าเป็นเลนสำหรับคนที่จะเดินสวนมาถีงแม้ว่าจะไม่มีคนเดินลงมาแม้แต่คนเดียวก็ตามที .. อืม .. ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าหากว่าเป็นคนไทยอย่างเราๆท่านๆแล้วล่ะก็ไม่พลาดหรอกครับที่จะต้องขยายเลนเดิน(คนเดิน)เพื่อเดินไปให้มันเร็วขึ้นเหมือนกับเป็นช่องทางเพื่อขยายการเดินรถยังไงอย่างงั้นน่ะครับ

- ก่อนเข้างานจะมีการยืนประชุมกัน คุยอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ออกว่าเค้าคุยอะไรกัน แต่ว่าผมแค่เดินผ่านร้านค้า ทุกจะยืนเข้าหากัน กุมเป้าไว้ ทำตัวนอบน้อม เข้าใจว่าน่าจะเหมือนกับ pep talk คุยเพื่อเรียกพลังกันซะมากกว่าหรือว่าอาจจะสรุปงานว่าวันนี้จะทำอะไร (แล้วมันไม่เหมือนกับเมื่อวานหรือไม่ยังไงเนี่ยะ )

- เด็กญี่ปุ่นพลังงานเยอะมาก แล้วก็ไม่กลัวหนาวกันเลย

- อาชีพเลี้ยงดูแลเด็กอนุบาลดูเหมือนเป็นงานที่มีความสุขดีระดับนึงครับ ^_^ (อาชีพที่ต้องดูแลชินจังน่ะครับ)

- AKB48 เป็นก้วนสาวๆน่ารักๆที่รวมตัวกันเล่นmini concert เต้นๆโดยที่ผู้ชายหนุ่มๆแต่งตัว hiphop แรงๆก็เต้นท่าน่ารักๆเหล่านั้นตามได้ทุกคน (ไม่น่าเชื่อ มันผิดกับภาพที่เห็นอย่างแรงครับ)  การแสดง concert แบบนี้เข้าใจว่าจะมีการจัดเป็นประจำด้วยวันที่แน่นอนเช่นอาจจะเป็นวันจันทร์ พูธ ศุกร์อะไรก็แล้ว แต่ เพราะว่าผมเห็นมีพวกที่ขึ้นกระดานด้วยเหตุผลว่า มาดูเยอะรอบจัดเป็นร้อยๆรอบ ไม่รู้ว่าจะดูซ้ำไปซ้ำมาทำไม แล้วทำไมไม่ซื้อ dvd มาดูไม่เข้าใจ (หรือว่ารักมากต้องแบ่งปันสตางค์ไปใช้ด้วยก็ไม่รู้)

- หมวกหมี rirakkuma น่ารักดีซื้อมา 1 อันกะว่าเอาไว้ใส่หน้าหนาว (แต่ว่าอยู่ กทมมันก็ไม่ได้หนาวอะไร ไปเดินทางเชียงรายก็ลืมเอามาซะอีก ดีมาก)

- ตอนที่ไปยังมีการฉายการ์ตูนโคนันกันอยู่เลยแสดงว่าเราอาจจะได้ดูการ์ตูนค่อนข้างจะ update พอๆกับประเทศญี่ปุ่นก็ได้อันนี้ไม่แน่ใจ

- ร้านเช่าวีดีโอหรือ dvd สำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ชั้นบนสุดด้านในมุมเล็กๆแต่ว่าเข้าไปแล้วมันไม่ได้เล็กตามมุม (มันเยอะเหมือนจะล้มทับซะอย่างงั้นเลย)

- คนที่นู้นใช้มือถือที่หน้าตาจะเหมือนๆกันหมดคือเป็นสีหลี่ยมแบนๆแล้วก็บางๆ เป็นแบบพับได้ด้วย แต่ว่าก็คนเห็นใช้ iphone อยู่บ้างแต่ก็ไม่เยอะเหมือนกับเมืองไทยน่ะครับ

- ร้านเสื้อผ้าเค้าจะบังคับให้พนักงานของเค้าใส่เสื้อผ้าของร้านเค้า นอกจากนั้นต้องแต่งหน้าแต่งตาเข้ากับ theme ร้านด้วยครับ

- ผมเห็นคนอ้วนแค่ 2 คนตลอด Trip แต่ก็พอจะคิดออกว่าทำไมคนเค้าไม่ค่อยจะอ้วนเท่าไหร่ เดาเอาว่า พวกญี่ปุ่นนี่เค้าจะเดินเยอะแล้วก็เดินเร็วด้วย

- แล้วก็เพิ่งคิดได้ว่าคนญี่ปุ่นก็ดูดบุหรี่เยอะแต่ว่าก็เป็นประเทศที่มีค่าเฉลี่ยอายุคนมากกว่าประเทศอื่นๆเยอะเช่นเดียวกัน แสดงว่าการดูดบุหรี่ไม่ได้ทำให้คนตายเยอะขึ้นมากอย่างเป็นนัย หรือว่าการกินของเค้าทำให้คนมีอายุยืนมากกว่าการบ่อนทำลายอายุจากการดูดบุหรี่

- ปังคุงยังคงฉายอยู่ที่ญี่ปุ่น แต่ว่าเป็นรายการแนวคนรักสัตว์

- อีกาที่บ้านเค้าไม่ค่อยจะกลัวคนสักเท่าไหร่ แล้วมันก็ตัวใหญ่มากซะด้วยซิ ก็เหมือนกับนกพิราบบ้านเราน่ะหละ แต่ว่ามันตัวใหญ่แล้วก็น่ากลัวกว่าเท่านั้นเองอ่ะครับ

- การกินซูชิของคนญี่ปุ่นโดยแท้จริงแล้วเค้าจะไม่ได้ใช้ตะเกืยบหรอกครับ เค้าจะเอามือเปิปโดยหยิบมาทั้งก้อนแล้วเอาด้านที่เป็นปลา หรือ อย่างน้อยก็เป็นด้านข้างของก้อนซูชิแตะจุ่มน้ำซี่อิ้วญี่ปุ่น

- ดูเหมือนว่าคนญี่ปุ่นจะรู้ว่าอายิโนะโมะโตะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากประเทศไทยแล้วก้ส่งไปญี่ปุ่นเยอะมากๆซะด้วย

- ขยะทุกที่ทุกทางต้องแยกประเภทขยะครับ แล้วก็ค่อนข้างจะน่าปวดหัวซะด้วยซิเพราะว่าต้องแยกว่ามันย่อยสลายได้หรือไม่เป็นโลหะหรือไม่เป็นแก้วหรือว่าเป้นกระดาษหรือไม่ มีครั้งนึงที่ร้าน ministop (mini mart ) น้องสาวผมทิ้งขยะผิดช่อง พนักงานจะเอามือลงไปหยิบแล้วก็ใส่ให้ถูกช่องทันที ผมไม่รู้หรอกว่าเบื้องหลังที่เค้าทำแบบเพราะว่าอะไร เพราะถ้าหากว่าใส่ไม่ถูกจะถูกปรับหรือ ? หรือว่าเพราะว่ามันเป็นสามัญสำนึกในเรื่องสิ่งแวดล้อมกันแน่

- ถ้าคุณอยากได้เหรียญ จงไปซื้อตั๋วรถไฟฟ้า ไม่ว่าคุณจะใส่แบงค์อะไรเข้าไปมันจะแตกออกมาเป็นเหรียญให้หมดเลย

- ดูเหมือนคนญี่ปุ่นจะไม่รังเกียจที่จะรับเหรียญ 1 เยน

- ราคาที่เราอยู่ตามร้านเป้นราคาที่รวม tax 5% ของญี่ปุ่นแล้ว

- soft cone เป็นไอติมที่ไปตามแหล่งท่องเที่ยวที่ไหนๆก็มีขาย แล้วก็ดูเหมือนกะว่าจะได้กำไรมากซะดว้ยซิ โดยถ้าหากว่าร้านค้าไหนมีขายเค้าจะเอา model soft cone ใหญ่ๆวางไว้ด้านหน้าร้าน เพื่อเป็นการบอกว่าร้านเค้ามีติมขายครับ

- คนญี่ปุ่นไม่ได้ตัวเตี้ยเหมือนในความคิด (ที่แอบมีอยู่ในใจมานาน)

- ขนมน่ากินมากๆ จัดวาง display ยังกะ jewelry ยังไงอย่างงั้นแล้วก็ราคาก็ค่อนข้างสูงด้วยเมือเทียบกับค่าอาหารน่ะครับ

- ร้าน 100 เยนบ้านเค้าจะขายสินค้าราคาต่อชิ้นรวมภาษีไว้ที่ 105 เยน นั่นก็แปลว่า Diaso บ้านเค้าจะถูกกว่าบ้านเราเป็นไหนต่อไหน (ซื้อมาเยอะอย่างอยู่น่ะครับ แต่ไม่อยากบอกว่าซื้ออะไรมาน่ะครับ อาย .. อิอิ)

- คนที่ออกแบบการห่อพลาสติกของข้าวห่อสาหร่ายแบบสามเหลี่ยมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาการออกแบบประดิษฐ์กรรมยอดเยี่ยม เพราะคุณสามารถที่จะแกะพลาสติกที่คลุมสาหร่ายออกแล้วสาหร่ายยังห่อข้าวได้อยู่โดยไม่ต้องเลอะมือ

- คนญี่ปุ่นเป็นพวกขี้เกรงใจจัดๆครับไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องขอโทษของโพยเป็นการใหญ่ คำที่ได้ยินบ่อยๆเค้าจะพูดกันว่า "ซื้อหมี่มาเซ็ง" ประมาณว่า "ขอโทษครับ" แต่ว่าใช้พร่ำเพรื่อกว่าคนไทยเป็นร้อยเท่าเห็นจะได้

เอาไว้เท่านี้ก่อนแล้วกันนะครับชักพิมพ์ชักเยอะเคยบอกกันตัวเองเอาไว้น่ะครับว่าอย่างพิมพ์เยอะ .. ^_^

No comments: