Friday, February 19, 2010

หิวล่ะซิ : เอานี่ไปกินซะ

ไม่ได้ใช้ animoto ทำอะไรเสียตั้งนานเพราะว่าไม่มีโอกาสได้ใช้มันครับ ยังไงก็ทำเล่นๆเอาของกินมาทำเป็น presentation ประกอบเพลงสักหน่อย อาจจะทำให้เพื่อนๆหิวกันได้ไม่ยาก อิอิ ..

Wednesday, February 17, 2010

แค่ป่วยสั้นๆไม่เกิน 16 ชั่วโมง ก็มาคิดเป็นตุเป็นตะแล้ว

mikan-cute หลังจากที่ไม่ได้ปวยมานาน แค่เมื่อวานก่อนมีอาการป่วยเล็กน้อยเท่านั้นก็ทำให้ไม่อยากจะทำอะไรสักเท่าไหร่เหมือนว่า โลกนี้มันหน่วง มองอะไรก็ดูมึนสภาพโลกไม่เหมือนเดิมมากนัก เมื่อเทียบกับวันก่อนๆที่อาการเป็นปกติครับ

กะการแค่ปวดไหล่ขึ้นมา (อาการก็เหมือนกับปวดคอน่ะหละ) ทำให้การนอน ก็หลับไม่สนิทแล้ว พอหลับไม่สนิททำให้มีผลต่อมายามเช้าทำงานก็ทำได้ไม่สะดวก คิดออกไม่ได้ออกไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป แล้วก็เกิดอาการเหมือนกับจะเป็นไข้อีก พอเจอไปประมาณนี้มันไม่ได้ไม่มีกำลังใจจะไปทำอะไรหรอกครับ แค่อยากให้มันหายไปในทันทีมากกว่า ทำให้คิดว่า หยุด นอน พัก เพื่อให้ร่างกายกลับเป็นปกติให้ได้เร็วที่ดีน่าจะเป็นเรื่องดีกว่า การลอย .. ละเมอไปเฉยๆ (คิดแบบ optimal เหมือนเดิมน่ะหละครับ)

หลังจากคิดได้อย่างงั้นก็จัดแจง ... ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งทำงาน กินข้าว แล้วหายา กิน แล้วก็นอน นอนก็นอนไม่ได้เปิดแอร์เป็นพัดลม ไม่น่าเชื่อว่า ทุ่กอย่างเป็นไปตามที่คิดคือ นอนแล้วจะเหงื่อไหลออกมาจากกว่าปกติมาก แม้ว่าจะไม่ได้ร้อนมากก็ตาม แล้วก็หลับไปบ้างไม่หลับบ้าง (ปกติก็นอนกลางวันอยู่แล้วแต่ว่างวดนี้ก็นอนให้นานกว่านั้นมากๆ) ผ่านไปสามสี่ชั่วโมงเท่านั้น เหมือนสภาพจะกลับเป็นปกติดี กลางคืนก็นอนได้ดีขึ้นไม่ลุกขึ้นมาเหมือนสองคืนก่อนที่นอนไม่หลับต้องมานั่งปวดท้องปวดตัว (ที่ปวดท้องด้วยเพราะว่าตอนเย็นกินข้าวน้อยน่ะครับ )

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าหากว่าเป็นอะไรรีบจัดการมันไปซะด่วน ผมว่าเป็นทางนึงที่จะทำให้หายได้โดยละม่อมเป็น optimal ของการจัดการต่อโรคที่จะเกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้น

การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่คุ้มค่าสุดๆแล้วถ้าหากว่าไม่บาดเจ็บอะไร มันเป็นการสะสมชีวิตเพื่อไม่ให้เกิดความไม่เสถียรของร่างกายในระยะยาว (ผมคิดอย่างงี้จริงๆน่ะครับ สสส.ไม่ต้องมาบอกผมก็ได้ ) เพราะว่าแค่รุมๆไม่มีแรงแค่นี้ผมก็เดือดร้อนเป็นตุเป็นตะในใจแล้ว แม้ว่าผมพยายามจะคิดว่า การเจ็บเป็นเรื่องธรรมโลก แต่ผมก็อยากเลี่ยงอยู่ดี แม้คิดว่าเอาจิตไปเพ่งอยู่ มองมัน แล้วมันจะหายไป แต่ว่าความเจ็บ อ่อนแรงหรือปวดนั้นมันก็มี time span ของมันอยู่จริงมันก็ยังตัดความเจ็บไม่ได้อย่างงั้นหรอก จิตยังไม่ได้ผ่านการฝึกมากเท่าที่ควรในเรื่องของความเจ็บปวดมากนัก ยังทนต่อสภาพที่เปลี่ยนแปลง บาดเจ็บ หรือเพลียไม่ได้

สุดท้ายรู้เลยว่า ความไม่เป็นโรคเป็นลาภอันประเสริฐโดยแท้

Thursday, February 11, 2010

ไปเที่ยวญี่ปุ่นกลับมานั่งคิด ..

zenen2
การที่จะมีชีวิตได้พื้นฐานแล้ว เราต้องไม่เจ็บป่วยอะไร (ถ้าหากว่าป่วยนี่คงเที่ยวเดินๆไปไหนมาไหนไม่ได้แน่นอนน่ะครับ) และ สิ่งที่ต้องการ คือ น้ำและอาหาร เรื่องนี้เหมือนกับว่าเป็นเรื่อง basic แต่หลายครั้งอาจจะลืมคิดไปได้ว่า เราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ถ้าหากว่าคุณมีสุขภาพดีอยู่ เราต้องการแค่น้ำและอาหารที่กินเข้าไปอย่างเหมาะสม เท่านั้นเองก็จะมีชีวิตต่อได้แล้ว .. ง่ายๆแค่นั้น สิ่งที่ทำตอนเที่ยวส่วนใหญ่คือ การหาที่กิน และ กินอาหาร ถ้าไม่กินแน่นอนว่าก็จะไม่มีแรงทำอะไรต่อไปได้

เสื้อผ้าคนเราก็ใส่ได้แค่ที่ละชุดเท่านั้น เหมือนกับว่าถ้าหากว่ามีเยอะไปมันก็หนักเปล่าๆ เกิดการใส่เสื้อซ้ำๆครั้งเป็นจำนวนมาก เราไม่ได้ต้องการให้เสื้อสะอาดเอี่ยมตลอดเวลา สิ่งที่เราต้องการคือ เสื้อผ้าใส่เพื่อไม่ให้หนาว แล้วมักก็ไม่จำเป็นว่าต้องสะอาดมากๆอีกด้วย

เวลานอน นอนแบบ Hostel เรากินพื้นที่การนอนแค่เท่าๆกับตัวเรา x1.5 เท่านั้น (เพื่อความสบายในการพนิกตัวผมถ่วงน้ำหนักเข้าไปอีก 1.5 น่ะครับ) ไม่ว่าเราจะนั่งจะยืนจะเดินหรือจะนอน เรากินพื้นที่ volume บนโลกนี้ก็ไม่เท่าไหร่เอง

แปลกดีที่พักนี้มาคิดอะไรแบบนี้ ..

คนไม่มีสี : เหตุผลร้อยแปดทำไมคนเราไม่เลือกข้าง

อ้างอิง link เกี่ยวกับทัศนะวิจารณ์ เรื่อง คนไม่เลือกข้าง .. ก็เอามาคิดต่อว่าทำไมคนเราไม่เลือกข้าง ไม่เลือกสี

เป็นบทความที่บอกว่า "ไม่เลือกข้าง" แปลว่าเลือกแล้ว แล้วก็ไม่ได้เลือกว่าจะอยู่สีไหน แต่ผมอยากคิดแตกเพิ่มเติมหน่อยน่ะครับว่า คนไม่เลือกสีเหล่านี้มีความคิดเบื้องลึกอะไรกันแน่ ?

คนที่ไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมือง : แน่นอนว่าพวกนี้ไม่มีสีไม่มีข้าง ไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่รับรู้ ไม่จำเป็นต้องรับรู้ เช่น พระสงฆ์(ที่ประพฤติเหมาะจะเป็นพระสงฆ์) เด็กทารก เด็กอ่อน คนเป็นอัมพาต คนที่ใกล้ตายและปลงโลกแล้ว เป็นต้น คนเหล่านี้จะได้รับผลกระทบไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นไปในทิศทางใดก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายก็จะหนีผลกระทบนี้ไม่ผลอย่างแน่นอน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จะเบาหรือแรงแล้วแต่ความไหลเข้าผ่านทางโลกมากแค่ไหนเท่านั้น สำหรับเด็กแล้วแน่นอนว่าตัวตนจะต้องไหลเข้าสู่ทางโลกมากขึ้นทุกขณะ เมื่อโตขึ้นจะต้องกินต้องใช้ ต้องออกสังคม ทำงานถ้าหากว่าเด็กที่กำลังจะโตยังอยู่ในสังคมไทย การกระทำใดๆ จะต้องมีผลให้แก่เด็กคนนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คนที่สนใจการบ้านการเมืองและสนใจตัวเอง (มันจะส่งผลต่อตัวเขาเหล่านั้นแม้จะไม่กระทำการใดๆ) แต่ไม่อยากจะเข้าข้างเพราะเค้าคิดว่าแนวคิดที่มีอยู่ให้เลือกเป็น option แค่ไม่กี่ option ไม่เข้าท่า คนพวกนี้ผม(เดา)ว่าน่าจะมีเยอะอยู่พอสมควรเพราะ มองไม่เห็นทางออกจากการเลือกข้าง ไม่รู้ว่าจะกระทำอะไรเพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหว แล้วผลลัพธ์ที่ได้นั้นจะดีเพียงพอต่อการกระทำ (เลือกข้าง) ของตนหรือไม่

คนที่สนใจการบ้านการเมืองและสนใจตัวเอง (มันจะส่งผลต่อตัวเขาเหล่านั้นแม้จะไม่กระทำการใดๆ) แต่ไม่อยากเข้าข้างเพราะกลัวต่อผลลัพธ์ในการเลือกข้าง : มนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ ถ้าหากว่าเลือกข้างแล้วตนเองมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แล้วผลลัพธ์ออกมาพบว่าตนเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือในการดำเนินการบางอย่าง หรือ ผลลัพธ์ของการเลือกข้างของตนออกมาไม่ดีอย่างที่อยากจะให้เป็นแล้ว จะทำให้ตนเองรู้สึกผิด เพราะตนเองได้มีส่วนต่อการกระทำนั้นๆด้วย ทางที่ดีอย่างเลือกข้างจะดีกว่า จะไม่เกิดความรู้สึกผิดต่อการเลือกข้างนั้น แม้การไม่เลือกสี ไม่เลือกข้างจะเป็นการกระทำ แต่เป็นการกระทำของคนส่วนใหญ่ถ้าหากว่าเกิดผลลัพธ์ใดแล้ว ความรู้สึกผิดนั้นจะกระจายตัว หรือ ผ่อนกว่ากรณีของการเลือกกลุ่มสีใดๆที่มีปริมาณที่น้อยกว่า

คนที่ไม่เลือกข้าง แบบผู้สังเกตการณ์ : คนบนโลกนี้อื่นๆที่คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ(หรือมีเล็กน้อยแค่สะกินเท่านั้น) จากสภาวการณ์ของการบ้านการเมือง และการปกครองของประเทศไทย เช่น Homeless ที่นอนอยู่ที่ถนนในอเมริกา ผู้คนที่ประสบภัยเฮติ ชาวเขาชาวดอย คนชาติอื่นๆที่ไม่ได้ทำการติดต่อค้าขายกับประเทศไทย เป็นต้น แน่นอนว่าคนเหล่านี้"ไม่มีสี"  ไม่เลือกข้างไม่ว่าประเทศไทยจะมีสีหรือข้างให้เลือกก็ตาม มันไม่ได้ส่งผลใดๆกับความเป็นอยู่ของเค้าแม้แต่น้อย ไม่จำเป็นต้องคิดวิเคราะห์ สนับสนุนฝ่ายใด หากคนไทยที่อยู่ในสภาวะการณ์นี้ก็จะตกเข้าไปใน คนไม่เลือกข้างกรณีแรกสุด เพราะถ้าหากว่าเป็นคนไทยอยู่ในไทยแล้วไซร้จะได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นอัมพาตที่ต่อสายอากาศนอนอยู่บ้าน  ถ้าหากว่าเศรษฐกิจไทยเลวร้าย ทำให้คนดูแลไม่มีเงินเพื่อจ่ายค่ารักษา อาจจะทำให้แนวโน้มในการถอดสายอากาศออกมีมากขึ้นได้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ถอดสายจะไม่เกิดก็ตาม แต่ ความเป็นไปได้จะมีมากขึ้น เป็นต้น)

คนไม่เลือกข้าง เพราะรับได้ทุกอย่าง และปรับตัวอยู่กับสภาวการณ์นั้นๆ : แม้ว่าเหตุการณ์จะเป็นไปในรูปทางใด จะไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องให้ตนเองมีความรู้สึกผิด ถ้าหากว่าผลลัพธ์ออกมาไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นไปตามที่ตนเองคาดหวัง แต่กลุ่มคนเหล่านี้ จะเป็นมนุษย์ (หรือสัตว์ประเภทหนึ่ง) ที่มีการปรับตัวต่อสภาวะแวดล้อมได้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของคนเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ดี และ เค้าเหล่านั้นก็ยอมรับ ในสภาวะการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบใดก็ตามได้ เช่น พวกพ่อค้า ไม่ว่าสถาการณ์จะเป็นอย่างไร สิ่งที่คิดหรือทำ ไม่ได้เป็นการเลือกข้างแต่ใช้สถานะการเพื่อการหาประโยชน์จากสังคม หรือนำเสนอประโยชน์ต่อคนอื่นแล้วแปลงประโยชน์ที่ส่วนเกินมาเป็นความมั่งคั่งร่ำรวยของตนเองได้ หรือถ้าหากว่าสถานการณ์แย่มาก คนเหล่านี้ก็มองแค่ตนเองลักษณะการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจของตนมากขึ้นไปอีก

Monday, February 08, 2010

anchor pricing : สินค้าที่ไม่มีตัวเทียบกับประเมินค่า

anchor pricing เป็นกลยุทธ์การตั้งราคาอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ sub-concious ของคนซื้อสินค้า case ที่มักจะเล่ากันก็คือ ถ้าหากว่ามีการเสนอตัวเลขใดๆเข้ามาระหว่างการสนทนา หรือก่อนที่จะเข้าเรื่องการซื้อขายสินค้า ตัวเลขนั้นๆแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับราคาเลยก็ตาม เลขนั้นๆจะมีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตัวเลขใน action ถัดๆไป

คุณมักจะเห็นป้ายราคาที่บอกว่า 199 แล้วก็ขีดฆ่าออกแล้วก็พิมพ์ตัวเลขใหม่ให้เห็นว่า 149 บาทถ้าหากว่าเค้าอยากจะขายราคานั้นๆจริงๆอย่างเดียวทำไม ทำไมล่ะครับ ถึงไม่พิมพ์มันไปเลยว่า 149 บาท แล้วก็ลบของเก่าทิ้ง

สังเกตมั้ยล่ะครับว่า Amazon.com ไม่มีสินค้าตัวไหนเลยที่ขายราคาเต็มหรือถ้าหากว่ามีก็เห็นน้อยเสียเหลือเกิน ไม่ได้เป็นเพราะว่าเค้าขายสินค้าเหล่านั้นได้ถูกว่าราคาเต็ม แต่ราคาเต็มต่างหากที่โดนออกแบบมาให้เป็น anchor price ตั้งแต่ต้นแล้ว

ราคาเต็มจะเป็นตัวกำหนดว่า ห้ามขายสินค้าประเภทนั้นให้มากกว่าราคาเต็มต่างหาก ถ้าหากว่าใครขายมากกว่าราคาเต็มที่ทางผู้ผลิตกำหนดปะเอาไว้ที่ข้างกล่องแล้วล่ะก็แสดงว่าคนซื้อโดนเล่นงานเข้าแล้วยังไงล่ะครับ

ข้อสังเกตอีกอย่างว่า amazon จะบอกเสมอว่า You save ไปเท่าไหร่ อ้อไม่ใช่แค่ amazon คนเดียวที่ทำแบบนี้พวกร้านค้าแนวฝรั่งๆเค้าก็จะบอกเอาไว้เหมือนกันว่า you save เท่าไหร่ โดยจริงๆแล้ว เราไมได้ save อะไรหรอกเพราะว่าเราไม่มีวันที่จะได้มีโอกาสซื้อสินค้าราคาเต็มนั้นอย่างแน่นอนน่ะครับ

ตัวเลขที่คุณเห็นเป็นราคาเต็มจะทำให้คุณเทียบราคาที่คุณกำลังจะตัดสินใจซื้อว่า มันถูกกว่าสิ่งที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่ตัวคุณเองก็ไม่รู้หรอกว่า มันควรจะมีราคาเท่าไหร่กันแน่ ลองคิดดูน่ะครับ ถ้าหากว่า iphone ยังไม่มีขายในโลก แล้วมันทำอะไรได้มากมายกว่าโทรศัพท์มือถือปกติมากนัก คุณจะประเมินได้แค่ว่า มันจะต้องราคาสูงกว่ามือถือธรรมดาแน่นอน แต่ว่ามันจะแพงเท่าไหร่นั้น คุณประเมินเองไม่ได้ครับ แม้ว่าคุณจะรู้เรื่องมือถือมากมายเท่าไหร่ แต่คุณก็ไม่สามารถที่จะประเมินมันได้อยู่ดีครับ คุณไม่รู้ว่าจะเทียบกับอะไรเพราะมันไม่มีอะไรให้เทียบ หรือจุดเทียบนั้นมันห่างไกลกันมากนักยังไงล่ะครับ

ลองนึกย้อนไปตอนที่ไปซื้อของที่เมืองจีน ที่นั่นมักจะมีสินค้าเชิงศิลปะขายกันอยู่ทั่วไป ซึ่งมันประเมินราคาได้ยาก (ไม่มีอะไรเป็นตัวเทียบและไม่รู้ต้นทุนในการผลิตได้ หรือรู้ไปก็เท่านั้นเพราะว่ามูลค่าไม่ได้อยู่ที่ material แต่ว่ามันอยู่ที่ content ต่างหาก) anchor pricing จะถูกใช้งานอย่างเต็มที่ครับ แม้ว่า เราจะมี defend อยู่ในตัวอยู่แล้วก็ตาม คือ ลักษณะการคิดของคนไทยเมือ่ไปซื้อสินค้าจีนก็มักจะบอกว่า ต้องต่อราคาอย่างรุนแรง อย่างต่ำก็ต้องบอกเค้าไปครึ่งราคาเลยดีกว่าเพราะรู้หรอกว่าคนพวกนี้เค้าจะบอกราคาผ่านมาทั้งนั้น แต่เดี๋ยวก่อนครับ ถ้าหากว่าคุณคิดแบบนี้ แปลว่าคุณก็โดน anchor price เข้าแทรกแทรงใน sub concious ของคุณแล้วอยู่ดี แถมมี heuristic และวิธีคิดอย่างเป็นระบบที่ผูกกับราคาที่โดน anchor pricing เข้ามาใช้เต็มๆแล้วน่ะครับ  เพราะว่าอะไรน่ะเหรอครับ ? เพราะคุณกำลังคิดว่า ถ้าหากว่าคุณจะต่อราคา คุณต้องต่อราคาจากราคา anchor price มาอย่างต่ำครึ่งหนึ่งยังไงล่ะครับ คุณก็เอาราคาบอกผ่านเป็นฐานอยู่ดีน่ะหละหรือว่าไม่จริง

อย่างที่บอกไปตะกี้สินค้าที่เหมาะสมกับการใช้งาน pricing แบบนี้คือ สินค้าที่ไม่รู้จะเทียบกับอะไร หรือจะเทียบมันก็เทียบได้ยากเพราะสินค้าที่จะเอามาเทียบนั้นมันไม่ได้ใกล้เคียงกันมากสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเรือ่งคุณภาพหรือว่าการใช้งานก็สุดแล้วแต่ นอกจากนี้คนที่ติด brand ก็จะโดน anchor pricing เข้าเล่นงานได้ไม่ยากเหมือนกันน่ะครับ เพราะภาพ brand name จะมีราคาสินค้าอยู่แล้ว ถ้าหากว่าสินค้าเมืองจีน copy grade A ทำออกมาได้เหมือนมากๆ ในหัวคุณก็เริ่มคิดฐานราคามาจาก ราคาที่สูงมากๆ ของสินค้าประเภทนั้นๆอยู่ดี ทำให้แม่ค้าแทบไม่ต้องบอกผ่านเลยก็ได้ครับ เพราะคุณรู้มาก คุณรู้จัก Brand นั้นแล้วดั้น คุณรู้จักราคาโดยประมาณของสินค้านั้นๆอีกต่างหากครับ

ถ้าหากว่าคุณรู้แบบนี้แล้ว สิ่งที่คุณจะทำได้( หรือคิดได้) ก็คือ คุณรู้ว่าสิ่งนี้มีในโลกจงหาประโยชน์จากมันซะ หรือ อีกความคิดที่ผุดขึ้นมาก็คือ สิ่งนี้มีในโลก คุณต้องละ pricing แบบนั้นออกจากหัวไปได้เลย คุณแค่ประเมินว่า ราคาเท่านั้นคุณจะจ่ายหรือไม่แค่นั้นเองครับ อย่างไรก็ดีตัวเลข anchor นี้จะมีผลต่อคุณถ้าหากว่าคุณได้รับรู้มันแล้วอยู่ดีน่ะครับ (หนีไม่พ้นครับ)

Wednesday, February 03, 2010

KPN AWARD เข้าไปดูรอบก่อนชิงชนะเลิศที่ Moon Star studio (ไม่เคยเห็น studio ให้เช่าแบบนี้)


เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปทำอะไรที่ไม่เคยทำอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเข้าไปดู studio เพื่อการถ่ายทำ KPN AWARD ภาพโดยรวมแล้วตอนแรกถ้าหากว่าไม่ได้มาที่ Studio แล้วล่ะก็ ผมก็ยังคงจะคิดว่า มันจะต้องเป็นเหมือนกับงาน concert ย่อมๆแน่เลยแต่ว่า พอเข้าจริงแล้ว มันย่อมกว่าที่ผมคิดไปอีกสักประมาณ 3 เท่าเห็นจะได้ครับ

สภาพเวทีก็ยื่นเข้ามาในคนดูมาก แล้วก็ยันเกือบจะชมโต้ะกรรมการ (ที่เค้าทำหน้าที่ comment น่ะครับ) แล้วพื้นที่ที่เหลือก็จะเป็นพื้นที่สำหรับวางเก้าอี้กพลาสติกสีน้ำเงินแบบมีผนักพิงให้คนที่เข้ามาชม ผ่านการจองตั๋วล่วงหน้าทาง internet ได้เข้ามานั่ง เรียกได้ว่า กล้องที่ถ่ายออกมาผ่านรายการทีวีให้เราได้เห็นนั้นมันก็มีเท่านั้นจริงๆ อย่าคิดภาพขยายต่อออกไปว่าคนจะต้องเยอะแยะอะไรน่ะครับ

เรื่องที่แปลกใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เราเข้าไปแล้วอารมณ์จะเหมือนกับตัวประกอบของรายการซะมากกว่า ไม่ได้เหมือนกับเข้าไปดู concert แต่ประการใด แม้ความเครื่องเคราสำหรับการแสดงจะครบถ้วนเหมือนกับงาน concert แต่เสียงจะเบากว่ามาก นอกจากนี้ที่แปลกอีกอย่างก็คือ มีการแยกลำโพงของเสียงคนร้องเพลงออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ได้ฟังเนื้อเสียงคนร้องได้ชัดเจน และมันชัดเจนไปกว่าการที่จะเป็น concert เพื่อให้คนดูได้รับฟังเสียงทั้งคนร้องและดนตรีได้อย่างเข้ากันมากที่สุด ผมก็เข้าใจอยู่หรอกว่า เพราะว่างานนี้เป็นการประกวดเสียงร้องมากกว่าการประกวดวงดนตรีทำให้ต้องแยกระหว่างคนร้องและเครื่องดนตรีออกจากกกันแบบนี้ครับ

นอกจากนี้รายการนี้มันจะเป็นรายสด นั้นก็หมายความว่า ทุกคนจะต้องทำตัวสดๆให้คนอื่นได้เห็น ไม่ว่าจะคนพูด (พิธีกร) หรือว่าแม้กระทั่งคนดู และมีเวลาที่พักเบรคตัดภาพออกจากห้องส่ง สิ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนอีกประการก็คือ นอกจากจะมีพิธีกรจริงๆที่เราจะได้เห็นตอน on air แล้ว ยังจะมีพิธีกรที่ไม่เคยได้ปรากฏตัวอย่างใน TV เลยแม้แต่น้อยครับ นั้นก็คือ “พี่ Freeze” เห้นเค้าเรียกกันแบบนี้และ ดูเหมือนว่าคนนี้จะเป็นคนที่คนในวงการน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีระดับหนึ่งเลยทีเดียว หน้าที่ของเค้าคนนี้คือ สลับฉากกับพิธีกรตัวจริง เมื่อพักเบรคคนที่เป็นพิธีกรตัวจริงก็จะได้พักเบรค เพื่อไปเตรียมตัวอะไรของเค้าก็ว่าไป แต่ว่าพี่ Freeze เค้าก็โผล่หัวออกมาจากหลังฉาก และคนๆนี้น่ะหละ จะทำหน้าที่เหมือนกับพิธีกรแทน โดยจะทำตัว ยืนบนเวทีหรือล่างเวลา ทำการสัมภาทย์คนเข้าห้องส่ง และที่สำคัญทำการกระตุ้นให้คนดูที่อยู่ที่ห้องส่งมีส่วนรวมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้จะทำตอนที่ on air ไม่ได้

การสัมภาทย์สามารถทำได้แบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังมากนัก เพราะ ไม่ได้ on air แต่อย่างใด เช่น เอาให้คนอ้วนมาทำท่าแปลกๆ เอาคนแก่ที่เป็นคนดูมากรี้ด (ผมว่าถ้าหากว่า on air มันก็จะดูแปลกๆไปหน่อยจริงๆน่ะหละ) หรือแม้กระทั่งแจกของขวัญให้กับคนดู เรื่องเหล่านี้ถ้าหากว่า on air ก็จะเสีย air time ไปเฉยๆน่ะครับเพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาของรายการสักเท่าไหร่

เอาเป็นว่า หลังจากที่ผมฟังคนที่ร้องประกวดแล้วผมก็กลับมานึกได้อยู่อย่างว่า ถ้าหากว่าเลือกเพลงร้องได้เหมาะกับ range เสียงของตัวเองแล้วสามารถทำเสียงหลบ เสียงหลีกอะไรได้เหมาะสมแล้ว และคุณทำการสั่นเสียงลูกคอได้แล้วล่ะก็ เรื่องอื่นก็เป็นรองมานักไม่ว่าจะเป็นสีหน้าการแสดงออก ถ้าหากว่าผมขึ้นไปเวทีอย่างงั้นผมก็คิดว่าผมก็คงทำท่าทำทางอย่างงั้นอยู่เหมือนกัน เช่น ถ้าหากว่าเนื้อความบอกว่า ไกล ผมก็จะมองไปไกล แล้วก็ทำมือยื่นออกไปเหมือนกับว่า มันมีอะไรไกลๆอยู่ตรงนั้น หรือถ้าหากว่าจะบอกว่า “ฉัน” ก็เอามือมาผะอกตัวเอง เหมือนกับเป็นธรรมชาติการสื่อสารเลยครับ ที่แน่ๆผมว่านะ “เสียงร้องของผมเองก็ไม่ได้ย่อยเหมือนกับถ้าหากว่าเปรียบเทียบกับผู้สมัครคนอื่นๆแล้ว แม้ว่าน้องๆผมจะไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ก็ตาม แต่ว่า .. น่าผมก็คิดแบบนี้อยู่ดีน่ะหละ”


แอบเอาเพลงที่ตัวเองร้องไว้เมื่อนานมาแล้วปะไว้ให้ฟังแล้วกันนะครับว่าเหมือนกับนักร้อง KPN ได้เหรอป่าวน้อ ?