Saturday, August 29, 2009

หลากวิธีการทำให้คนเราไม่คิดอะไรสร้างสรรค์ หรือ innovative ออกมา

คนที่เป็น head ขององค์กรหรือว่าในระบบย่อยของตนเอง หากว่างานๆนั้นต้องการแนวคิดแปลกใหม่ และความคิดสร้างสรรค์แล้วล่ะก็ ( ผมก็คิดไม่ออกหรอกว่างานอะไรที่ไม่ต้องการแนวคิดสร้างสรรค์ เพราะว่ารู้ๆอยู่ว่าเดี๋ยวนี้องค์กรอยากได้ idea สดใหม่ด้วยกันทั้งนั้นเพียงแค่ว่าจะรับได้เหรอป่าวเท่านั้นเอง) มีวิธีการหลากหลายที่จะทำให้ตัวคุณเอง เพื่อนร่วมงาน และลูกน้องทั้งที่อยู่ภายใต้อำนาจตรงหรือเหลื่อมๆออกไปบ้าง "หยุดที่จะคิดอะไรสร้างสรรค์"

1. วิจารณ์มันซะให้เสีย : วิธีนี้ทำให้คนหยุดคิดได้ไม่ยากเลย เพราะว่าคิดไปก็เปล่าประโยชน์ มองเห็นความคิดคนอื่นไม่มีค่าเอาเสียเลยแล้วก็ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมัน ในทางตรงกันข้ามก็คือ คิดซะว่าความคิดตัวเองเป็นใหญ่ คนอื่นๆก็ต้องคิดเป็นทิศทางเดียวกันโดยวิจารณ์ความคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วการวิเคราะห์วิจารณ์พึงมีบ้างไม่มากเกินไป แต่ว่าถ้าหากว่าคุณเป็นหัวหน้าด้วยแล้วล่ะก็อย่าไปวิจารณ์ความคิดจะดีกว่าเพราะอย่างไรเสียคุณต้องก็ตัดสินใจอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นแล้วยอมรับฟังความคิดเห็นของลูกน้องให้เยอะและ support แนวคิดของเค้าเหล่านั้นให้ได้ลองให้ได้ทำ อย่าแค่ไปตีกรอบเค้าซะแล้วก็เลิกรากันไป อีกหน่อยเค้าก็จะไม่ต้องคิดอะไรให้คุณอีกต่อไป เมื่อคุณจำเป็นต้องการให้เค้าเหล่านั้นคิดอะไรออกไป เค้าก็จะไม่คิดแล้วก็จะทำให้ตัวคุณเองน่ะหละ คิดต่อยอดไปว่า .. ชิเจ้าพวกนี้ไม่รู้จักคิดไม่สร้างสรรค์แนวคิดอะไรมาออกมาให้เกิดประโยชน์มั่งเลย โดยไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวคุณน่ะหละเป็นคนทำให้เค้าทำแบบนั้น (รู้ตัวกันมั่งเหรอป่าวน่ะ เอ้อ ..)

2. ไม่เคยเลยที่จะระดมความคิด : การ Brainstorms เป็นเรื่องปกติสำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ นั่นก็แปลว่า ต้องระดมความคิดเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องตื่นเต้นหรือคิดว่ามันหรูหราอะไร เพราะเราอยากจะสร้างบรรยากาศให้ได้มีคนคิดออกมาเยอะๆแบบไม่ได้สนหรอกว่ามันจะไม่ดียังไง เราวิเคราะห์ต่อได้ภายหลัง แต่ว่าการ Brainstorm นั้นเราต้อ่งการ idea ที่มากทิศทางมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากหลากมุมมอง เลิกมองว่าคนอื่นผิดซะที แล้วจะทำให้คนอื่นๆเค้าเปร่งความคิดออกมามากขึ้นได้

3. โม้ปัญหาแนวคิดให้เป็นเรื่องใหญ่โต : แน่นอนว่าถ้าหากว่ามันฟังดูใหญ่โตแล้ว แล้วถ้าเป็นปัญหาใครล่ะจะรับผิดชอบ คนออกความคิดน่ะซิ หลายๆคนมักจะคิดอย่างงั้นเพราะฉะนั้นแล้วถ้าหากว่าคุณเป็นหัวคนแล้วล่ะครับ อย่าไปโม้เพ้อให้เรื่องที่ต้องการความสร้างสรรค์เป็นเรื่องที่ใหญ่โตเกินตัว มันไม่มีอะไรดีทั้งนี้ เช่น เรามาคิดกันซิว่าเราจะกำหนดทิศทางบริษัทกันยังไงดี แล้วถ้าหากว่าลูกน้องฟังแบบนี้แล้วความคิดเค้าโดนเอาใช้งานแล้วเกิดว่าไม่ work ล่ะทำยังไงดีล่ะเนี่ยะ แล้วถ้าหากว่ามัน work นี่เค้าจะได้ผลงานเยอะเลยเหรอ ? (ก็ไม่ถ้าหากว่าคนที่เป็นหัวที่ชอบเอาความคิดคนอื่นเป็นความคิดตัวเองอยู่แล้ว แล้วลูกน้องรู้หรอกว่าหัวหน้าเค้าเป็นคนนิสัยอย่างนี้) แน่นอนว่า ทำให้ปิดความคิดสร้างสรรค์ไปได้เลย

4. เน้นย้ำการทำงานเชิงประสิทธิภาพ ไม่ใช่ที่การสร้างสรรค์ : เราต้องทำให้ได้เยอะขึ้นประสิทธิภาพงานดีกว่าเดิม โดยใช้วิธีการเดิมๆนี่น่ะหละ พูดอย่างนี้เป็นการจำกัดแนวคิดสำหรับสิ่งใหม่ๆไปแล้ว เพราะเราคิดว่า business model หรือว่าโครงสร้างในการทำงานของเรานั้นมันดีอยู่แล้วไม่ต้องคิดอะไรใหม่ แล้วจะคิดอะไรใหม่อีกล่ะ

5. ทำให้เยอะเข้าไว้อย่ามาคิดอะไรให้เสียเวลา : เป็นแนวคิดที่เขื่อว่าการทำงานด้วยเวลาที่มากขึ้นแปลว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น หรือว่ามันจะแก้ปัญหาได้ แนวคิดนี้สนับสนุนการคิดและการทำงานแบบเดิมๆเหมือนกับข้อที่แล้ว แค่ว่าทำให้มันเยอะขึ้นเท่านั้นเอง ก็อีก ... มันไม่มีอะไรแปลกใหม่ออกมาได้หรอก  ยกเว้นงานๆนั้นคือ งานที่คิดอะไรใหม่ๆออกมาเป็นประจำน่ะครับ

6. ทุกอย่างต้องมีแผนการณ์แล้วทำตามนั้นซะ : แผนการณ์นั้นแท้ที่จริงแล้วมีได้ ผมได้อ่านบทความว่าแผนการณ์เราสามารถที่จะกำหนดให้ละเอียดได้มากเท่าที่จะมากได้ก็ทำได้ แต่ว่ามันจะกินเวลาแล้ว แท้ที่จริงแล้วเราทำตามนั้นทั้งหมดไม่ได้หรอก มันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็น trend หรือ fashionใหม่ๆ หรือทิศทางตลาดใหม่ๆที่เกิดขึ้น การทำไปแล้วรู้ข้อมูลมากขึ้น

7. ลงโทษคนผิดซะทางกายวาจาจิตใจได้ด้วยเนี่ยะดีเลย ตัวการนัก : การให้รางวัลแก่การทำดี แต่ว่ามีการทำโทษเมื่อเกิดความผิดพลาดจะเป็นการกำหนดว่าถ้าหากว่าแผนการหรือแนวคิดออกมาไม่ได้ดี หรือให้ผลออกมาไม่ดีเท่าไหร่ คนคิดจะต้องรับผิด(ชอบไม่ได้) เป็นการตัดกำลังคิดของคนในองค์กรอย่างรุนแรง ยอมรับเถอะว่าอะไรมันก็ต้องผิดพลาดกันได้แต่ว่าต้องรู้ตัวให้เราเท่านั้นเองและจะต้องไม่ประนามคิดใครคนๆนั้นเพื่อให้เค้าเหล่านั้นที่เสนอความคิดออกมาได้ยังคงคิดต่อไปในที่สุด

8. อย่าไปมองคนอื่นเค้าเพราะว่าสิ่งที่เราทำมันดีแล้ว : แนวคิดนี้เหมือนกับมุมมองที่ว่า คนอื่นทำได้ แต่ว่าเราก็อาจจะทำไม่ได้หรอกเพราะว่า business มันไม่เหมือนกัน แต่ว่าจริงๆแล้วเราต้องคิดให้เยอะกว่านั้นความจะใช้ความคิดของคนอื่นๆ หรือ แนวคิดขององค์กรแบบอื่นจะเอาปรับใช้ได้อย่างไรมากกว่า เพราะฉะนั้นแล้วจงดูคนอื่นภายนอกด้วยว่าเค้าทำอะไรกัน ?

9. โปรโมตคนที่คิดแบบเดียวกัน : ทำแบบนี้ทุกคนจะคิดเหมือนกัน ทำอะไรไม่ต่างกัน ไม่ต้องการแนวคิดอะไรที่แหวกไป เพราะว่า การที่คนอื่นคิดไม่เหมือนกันเป็นการเหนื่อยตัวเองต้องมาทำให้ตัวเองคิดเยอะขึ้น ทั้งๆที่จริงๆแล้วเป็นเรื่องดี แต่แค่ว่าไม่อยากเหนื่อยเท่านั้น หรือว่า จะทำอะไรมันกินเวลามากกว่าเดิม มันก็ถูกอยู่น่ะครับ แต่ว่าคุณแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณคิดถูกอยู่คนเดียว ?

10. อย่าเสียเวลาส่งคนไปเรียนรู้อะไรเลยจะดีกว่า : เราคิดว่า อืม .. .เราจ้างคนมาเพื่อเรียนรู้ความคิดเรา อย่าคิดแบบอื่นเลย มันจะมาคิดแทนเราไปได้อย่างไร เราเนียะหละเก่งที่สุดแล้ว แบบนี้จะได้เจริญกันน่ะครับ ใครๆก็รู้ว่าการที่ส่งคนเพื่อไปเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมเป็นเรื่องดี แต่ว่าไหงพออยู่สภาพขององค์กรขึ้นมา การส่งคนกลับเป็นเรื่องเลวร้ายเพราะว่าจะต้องไปเจอพวกเดียวกันอาจจะโดยจูงตัว ถามคำถามภายใน อย่าส่งมันออกไปเรียนจะดีกว่ามั้ย มันไม่ได้รู้อะไรขึ้นมามากมายหรอกกะแค่ไปเรียนข้างนอกปะๆปายๆเนียะ ถ้ากลัวโดนดึงคนแล้วจริงๆเดี๋ยวนี้มีการ in house training ได้ก็ส่งเสริมที่จะให้เรียนน่าจะดีกว่าน่ะครับ มันไม่ได้เสียเงินเสียเวลาเรียนอะไรมากมายหรอก ไม่แน่ว่าความคิดความรู้ใหม่ๆอาจจะทำให้คนๆนั้นเปิดโลกทัศน์ขึ้นบ้างก็ได้ ไม่มากก็น้อย

No comments: