เพราะเรารู้สึกว่าเราจะต้องทำอะไรสักอย่างแต่ว่าก็ไม่ได้ทำตามที่รู้สึกเอาไว้นั่นเอง หรือว่ามีความคาดหวังเพื่อที่จะทำอะไรออกมาบางอย่างแก่โลกนี้ก็ไม่ได้ทำสักที มันเป็นเหตุที่ทำให้เรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก
หลายต่อหลายคนคิดเอาไว้ว่าจะทำอะไรสักอย่างขาดแค่ว่าจะได้ลงมือทำหรือไม่เท่านั้นเอง แค่คิดก็ถือว่าได้กระทำการคิดแล้ว แต่การกระทำเพื่อให้เกิดผลที่โลกจริงนั้นจะต้องผ่านการกระทำเท่านั้นไม่อย่างนั้นผลก็จะได้แค่ในจิตนการเราอย่างเดียวแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย แม้ว่าเราจะวาดฝันเอาไว้สวยหรูเริดอลังการงานสร้างสักเท่าไหร่ก็แล้ว มันก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลออกมาแม้แต่น้อย ไม่ว่าผลนั้นจะเป็นผลที่เป็นไปตามที่คิดหรือไม่ก็ตาม
ผมเคยอ่านหนังสือเรื่อง The Secret แล้วก็ยังดู DVD อีกต่างหาก เค้าจะบอกให้เริ่มคิด และคิดอย่างแรงกล้าเพื่อที่คาดหวังผลนั้นออกมาได้ที่โลกจริงที่เราสำเหนียกรู้ได้ ผ่านกระบวนการคิดอย่างตั้งใจจริงราวกลับได้เกิดขึ้นแล้ว และรู้สึกเหมือนกับว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วเป็นประจำครับ วิธีการนี้จะได้ผลกี่มากน้อยก็แล้วแต่ว่าคนที่เอาไปทำจะคิดจนเกิดการกระทำได้หรือไม่เท่านั้นเองน่ะครับ เพราะแค่คิดเฉยๆอย่างไรก็ไม่เกิดผล มันอาจจะสะท้อนออกมาในภาพที่ว่า เมื่อคุณคิดแล้ว มันอาจจะพาไปหาคนหรือเหตุการณ์ หรือบทความใดๆต่อไปเพื่อทำให้ตัวคุณนั้นเกิดการกระทำอะไรต่อไป ตามที่หัวคุณคิดอยากจะทำหรือต้องการที่จะให้เป็นนั่นเองครับ เหมือนกับคุณที่ได้อ่านบทความที่ผมโม้ให้ฟังนี้ เพราะผมรู้ว่าคุณต้องคิดที่จะทำอะไรสักอย่างอยู่แล้ว เหลือแค่ว่าคุณจะทำมันเมื่อไหร่เท่านั้นเอง
วิธีการหนึ่งเพื่อบังคับให้ตัวคุณเอง ทำสิ่งที่คุณอยากทำ หรือคิดว่าอยากจะทำก็คือ การเขียนมันออกมาแล้วก็วาดกล่องสีเหลี่ยมเอาไว้ด้านหน้าเหมือนกับเป็น todolist เป็น checkbox เมื่อคุณได้เริ่มทำมันแล้วก็ให้ติ้ก checkmark ซะว่าการกระทำนั้นได้ทำแล้ว วิธีการเขียน todolist ก็เหมือนกับที่ David Allen บอกน่ะหละครับก็คือ ให้เขียน action ที่เป็นกริยาแล้วก็ไม่ต้องผ่านการคิดอื่นอีกว่าคุณจะต้องทำอะไรเช่น ถ้าหากว่า จะเลี้ยงแมว คุณก็เขียน action ไปว่า "ไปเจๆมอล์ร้านแมวที่เคยเจอ" ครับ ไม่ใช่เขียนว่า ไปซื้อแมวมา เพราะคุณยังต้องมาคิดอีกว่าไปที่ไหน มันเป็นการกระทำที่ต้องมาคิดต่อยังไงล่ะครับ แค่บอกว่าไปเจๆมอล์เท่านั้นก็พอที่จะทำให้ action นั้นเกิดได้ไม่ยาก เพราะการไป JJ mall จะทำให้คุณได้ซื้อแมวนั่นเองครับ แล้วคุณก็จะได้เลี้ยงแมวสมใจอยากครับ ภาพในหัวที่คุณกำลังมีความสุขกะการเลี้ยงแมวน้อยก็ปรากฏชัดได้บนโลกจริง แหม แต่ก็อีกน่ะหละ โลกเรามันไม่ได้ง่ายเหมือนกับการจะซื้อแมวนี่หน่า ก็แหงล่ะซิครับเพราะว่าคุณไม่ได้พิมพ์เขียนบอกออกมาให้เป็น real next action จริงๆนั่นหละ มันเกินกว่าที่จะทำให้มันขยับเขยื้อนได้ครับ เช่น ผมบอกว่าผมจะลดต้นทุนโรงงานที่ทำอยู่ วิธีคิดผมก็คือ หา next action คือ "เขียนวิธีการว่าจะลดอะไรได้บ้าง!บนกระดาษหรือ notepad" เมื่อผมทำผมก็จะมีการขยับ action เข้าไปเกี่ยวกับการลดต้นทุนโรงงานเป็นเป้าหมายอย่างแน่นอนน่ะครับ แม้ว่ามันจะมีเวลาสักหน่อยก็เถอะ
ทำไมต้องมีเวลามาหน่วงเอาไว้ เพราะถ้าหากว่าผมแค่คิดแล้วทุกอย่างเป็นอย่างนั้นจะทำให้โลกเราสับสนเกินไปน่ะครับ เช่นถ้าหากว่าอยากจะขี่ช้างแล้วช้างปรากฏตรงหน้าใต้หว่างขาเราเลยก็คงไม่ดีแน่ โลกเราจะสับสนกับการคิดแล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆทันทีครับ ทุกอย่างต้องมีเวลาที่เหมาะสมครับ ในหัวคุณก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ ผมแทบไม่ต้องบอกด้วยซ้ำว่า หัวคุณกำลังคิดแบบนี้อยู่เพราะว่าเราๆท่านๆอยู่ในโลกที่คุ้นชินกับสภาพแบบนี้มานานตั้งแต่เกิดแล้วน่ะครับ เช่น ถ้าหากว่าเราร้องไห้หิวนมเราก็จะรู้ว่าอีกเวลาไปนานนักนมก็จะมายัดใส่ปากเรานั่นเองครับ เรารู้เองด้วยซ้ำว่ามันต้องมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย ทำให้หัวเราคิดไปซะอย่างงั้น แต่ว่าถ้าใครจะฝืนเรื่องนี้ก็ต้องฝึกว่ามันจะลด constrain เรื่องเวลาออกไปได้โดยกำหนดคิดว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วมากๆหรือเร็วมากขึ้นครับ เช่น เดี๋ยวนี้คนจะพูดว่า กรรมติด internet high speed มันเดินเร็วมากภายในชาตินี้ เราคิดแบบนี้เราก็จะได้ผลของมันตามนี้ก็เป็นเรื่องดีน่ะครับเราก็จะได้เชื่อเรื่องกรรมซะหน่อยน่ะครับ ซึ่งเป็นเรื่องน่ะครับ คนเราจะได้ไม่ทำให้คนอื่นเค้าเดือดร้อนสักเท่าไหร่ หรือถ้าจะทำก็ทำให้น้อยลงไปได้ไม่มากก็น้อยกับการที่คนคิดแบบนี้น่ะครับ ยังไงก็แล้วแต่เรื่องของเวลาหน่วงเพื่อให้ได้อะไรบางอย่างตามที่เราคิดแล้วจะเร่งมัน มันก็เป็นเรื่องยากอยู่เพราะโดนฝึกมาแบบนั้นจริงๆน่ะครับ
ย้อนกลับมาประเด็น เมื่อมีเวลาหน่วงทำให้สิ่งที่เราต้องการนั้น หรือ คาดหวังนั้นเกิดขึ้นได้ช้า ทำให้เรารู้สึกไปเองว่า เวลานั้นมันเดินเร็ว อีกเหตุผลที่ว่าทำไมเวลาเดินเร็วก็อาจจะเป็นเพราะว่าใจเราจ่อกับเรื่องบางอย่างทำให้เวลารอบตัวเราเร็วได้ครับ เช่น ถ้าหากว่าเราจ่อสมาธิกับการทำข้อสอบมาก ไม่สนโลก เราจะรู้สึกว่าได้ว่าเมื่อทำข้อสอบสามชั่วโมงหมด มันก็แทบจะหมดเวลาแล้วน่ะครับ เหมือนว่าทำไมเวลาโลกมันเดินได้เร็วมากนัก หรือ ในทางตรงกับข้ามเราก็ทำให้เวลารู้สึกว่าช้าได้น่ะครับ ก็โดยการที่รออะไรบางอย่างใจเราไม่ได้จ่อกับอะไรบางอย่างแต่ว่านั่งรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เวลาก็เริ่มหนืด เพราะเราจดจ่อเหมือนกันแต่ว่าเราไม่ได้จ่อกับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่เวลา การจดจ่อกับเวลาจะทำให้รู้สึกว่าเวลามันช้าลงได้ถ้าหากว่าเรารออะไรบางอย่างน่ะครับ เวลาเหมือนจะเป็นผลที่เรารับรู้ได้จากการสัมผัสและเปรียบเทียบเหมือนกับอุณหภูมิก็ได้น่ะครับ (เช่นเรารู้สึกร้อนได้ก็ต่อเมื่อตัวเราเย็นกว่าสิ่งนั้นเป็นต้น)
ยังไงซะขอให้เรารู้ตัวแค่ว่าคิดอะไรแล้วจะทำให้มันเกิดได้ต้องมีการกระทำเท่านั้นเองครับ การกระทำจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีวิธีที่จะทำให้ตัวเองกระทำการครับ หรือมีแรงผลักดันเราในการกระทำนั้น แค่นั้นมันก็จะเกิดแล้วเท่านั้นเอง