Friday, July 31, 2009

สินค้าประทับใจในการลดต้นทุนการผลิตจากเมืองจีนอีกครั้ง (ครั้งที่สาม) จากผลิตภัณฑ์เล็กๆไปยังสินค้าไฮเทค

ผมเคยบ่นเล่าให้ฟังแล้วว่าสินค้าเมืองจีนมีพฤติกรรมหนึ่งที่แตกต่างจากสินค้าประเทศอื่นๆ (ณเวลานี้) ตรงที่มันมีความพิเศษในด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าสินค้าประเภทเดียวกัน ที่ผลิตจากที่อื่นเป็นไหนต่อไหน แล้วยังลดต้นทุนได้ในระดับที่แทบเป็นไปไม่ได้ โดยการแลกกับคุณภาพของสินค้าตัวนั้นๆครับ ครั้งแรกที่เดินเข้าไปที่ร้านยี่สิบบาททุกชิ้นก็จะเห็นได้ว่า สินค้าเหล่านั้นเหมือนกันกับสินค้าหน้าตาปกติแค่ว่ามันถูกกว่าเป็นไหนๆเท่านั้นเอง เราดูจากเปลือกนอกดูไม่ออกจริงๆน่ะครับ ว่าทำไมมันถึงได้ถุกกว่าอย่างงั้นได้

อย่างแรกที่เคยพูดถึงคือ มีดโกนหนวดที่ไม่สามารถเอามาโกนได้จริงครับ เพราะ มันผลิตจากใบมีดทื่อพิเศษที่แม้แต่ขนอ่านก็ตัดไม่เข้า สิ่งที่สองที่เคยเจอก็คือ คอทตอนบรัช แกนของมันไม่สามารถที่จะรับแรงเฉียดได้แม้แต่น้อย นั่นหมายความว่าเมื่อเอาไปสัมผัสกับหูคุณจะไม่สามารถที่จะออกแรงกดให้ตัวสำลีถูไปกับใบหูได้เลย เพราะแกนมันอ่อนเกินไปนั่นเองครับ เช็ดเหมือนไม่ได้เช็ด มันเล่นงอไปงอมาไม่มีแรงต้านเลยแม้แต่น้อย สังเกตได้น่ะครับว่าสินค้าสองสินค้าที่ผมเล่าให้ฟังนี้จะไม่สามารถที่จะทดสอบได้ตอนที่กำลังเลือกซื้ออยู่ได้เลยครับ แต่ว่าแน่นอนว่าสิ่งที่เห็นคือ ราคาที่ถูก และ รูปลักษณ์สินค้าที่ดูเหมือนว่าจะใช้การได้ ล่าสุดที่เจอไม่ได้เจอกับตัวผมเองน่ะครับ คือ สินค้าตลับเมตรหรือสายวัดระยะหรือขนาด ที่มันถูกได้เพราะ มันไม่ได้เริ่มที่ศูนย์ที่ปลายสุดครับ แต่มันกลับเริ่มที่ 1.8 นิ้วครับ นั่นแปลว่า ถ้าหากว่าคุณวัดและอ่านได้ค่าเท่าไหร่บนสายวัดแล้วคุณต้องลบออกด้วยค่าคงที่นี้ทุกครั้งไปครับ ผมเข้าใจว่าสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่เกิดความผิดพลาดอันเนื่องมาจากการผลิต หรือ เป็นสินค้าที่ผลิตจากส่วนประกอบ(สายวัด)ที่ไม่สมบูรณ์ครับ (มีการขาดที่หัวสาย) ทำให้ได้สินค้าที่ไม่มีคนเอาหากว่าราคามันไม่ได้น่าดึงดูดเป็นพิเศษน่ะครับ

สรุปแล้วการที่สินค้าทำได้ราคาถูกอาจจะมี concept ในการผลิตสินค้าดังต่อไปนี้ครับ

- ใช้ของที่ใช้ไม่ได้แล้วหรือมีตำหนิเอามาผลิตเพื่อให้เป็นสินค้าสำเร็จที่ไม่สามารถดูออกได้ ณ จุดขาย เช่น ตลับเมตรที่เริ่มต้นด้วย 1.8 ไม่ใช่ 0
- ใช้วัตถุดิบที่คุณภาพต่ำนอกอุตสาหกรรมมาใช้ในการผลิตสินค้า เช่น การใช้ใบมีดที่ตัดขนใดๆไม่ได้แม้แต่น้อยเพื่อเอามาผลิตเป็นมีดโกนหนวด
- ออกแบบสินค้าด้วยต้นทุนที่ต่ำผิดปกติให้หลุดจาก spec. ที่จะทำให้สินค้านั้นใช้การได้เป็นสินค้าที่ใช้การไม่ได้ เช่น คอทตอนบรัชที่ก้านอ่อนจนเอามาถูกับหูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
- ทำการปลอมปนหรือผสมวัตถุดิบใดๆนอกอุตสาหกรรมตนเอง เช่น การใช้เมลามีนเอามาผสมนมเพื่อทำให้นมเจือจางแต่มีค่าคุณภาพความเข้มของตัวชี้วัดทางคุณภาพว่าผ่าน เป็นกรณีที่ทำให้เจ้าของกิจการต้องโดนประหารชีวิตครับ หรือ การสร้างไข่ปลอมออกมา หรือ การเอากระดาษ(อุตสาหกรรมกระดาษ)มาใช้เป็นไส้หมูสับ (อุตสาหกรรมอาหาร) เป็นต้น

หลักการใหญ่ๆเพียงเท่านี้ก็จะทำให้วิศวกรผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์สามารถพัฒนาลดต้นทุนการผลิตสินค้าที่มีหน้าตาเหมือนเดิมทุกประการ และคุณภาพไม่สามารถสำเนียกรู้ได้ ณ จุดขาย สินค้าเหล่านั้นก็จะขายออกไปได้โดยไม่มีการกลับมาซื้ออีกต่อไปครับถ้าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณภาพสินค้าแล้วรู้ภายหลังว่ามันใช้ไม่ได้น่ะครับ แน่นอนว่าสินค้าเหล่านี้พยายามที่สุดที่จะไม่มี brand เป็นของตัวเอง เพราะจะตามตัวได้ หรือรู้ได้ว่าอย่ากลับมาซื้ออีก หรือ สินค้าเหล่านี้จะเป็นสินค้าที่ผลิตเพื่อทำการผลิตต่อ (B2B product) รู้อย่างนี้แล้ว โลกแห่งการผลิตสินค้าคงจะได้เจริญรุ่งเรืองมากๆในประเทศจีนเหมือนกับที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้ยังไงอย่างงั้นเลยน่ะครับ

แต่ประเด็นไมได้หยุดแค่นี้น่ะครับเพราะว่าตอนนี้ประเทศจีนเริ่มหาทางที่จะทำให้คนจีนมีการผลิตในจีนได้เพื่อผลิตออกมาเป็นสินค้าที่ต้องการเมคโนโลยีสูงเพื่อเปิดตลาดจีนใหม่ๆได้น่ะครับ เข้าใจว่าน่าจะเป็นการประหยัดต้นทุนเพื่อการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในประเทศเป็นอย่างมาก เช่น การผลิตเครื่องบินโดยสารเองได้ทั้งหมด การผลิตรถไฟฟ้าความเร็วสูงได้เอง การผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ได้ การผลิตเครื่องจักรอุตสาหกรรมที่ต้องการ know-how และเทคนิตเฉพาะได้ การผลิตเหล่านี้ดำเนินไปอย่างมีทิศทางโดยรัฐบาลเหมือนจะเป็นผู้กำหนดเกมส์ต่างๆเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกำแพงภาษีเพื่อไม่ให้สินค้าที่ผลิตจากประเทศอื่น ไหลเข้าไปขายเฉยๆได้ง่ายๆ แต่หากวาต้องการขายให้ประเทศจีนจำเป็นต้องทำการผลิตในประเทศจีนเท่านั้น แน่นอนว่าบริษัทหลายแห่งก็ตกหลุมดำนี้ โดยการเปิดบริษัทแล้วเอาวิศวกรของตนเองเข้าไปคลุกคลีกับคนจีน สอนวิศวกรชาวจีนว่าจะทำต้องทำอย่างไร สร้างสายการผลิตสินค้าต่างๆเหล่านั้นที่ประเทศจีน แน่นอนว่าสิ่งประเทศจีนและคนจีนจะได้ก็คือ ความรู้สั่งสมที่บริษัทเหล่านั้นสร้างสมมาเพื่อที่จะผลิตสินค้าหรือผลิตพัณฑ์ต่างๆเหล่านั้นทั้งหมดแบบเห็นภาพการผลิตและจะผลิตออกมาได้จริง แค่ถีบฝรั่งนั่นออกไปเสียก็หมดเรื่องเมื่อได้ความรู้ทั้งหมดมาแล้ว ซึ่งวิธีการนี้ได้ดำเนินการมาแล้วสักพักใหญ่ๆ แล้วคนทั่วโลกก็ตกลงหลุมตามแผนการณ์ที่ทางจีนได้วางหลุมดำเอาไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แล้วตอนนี้ผมว่าจีนพร้อมแล้วที่จะเป็นเจ้าโลก ในโลกแห่งการผลิตไม่ว่าจะสินค้านั้นจะเป็นสินค้าจิ้บจ้อยไร้สาระ ยันสินค้าที่ต้องการความรู้เทคนิคสูง แต่อันตรายจะยังไม่ได้เกิดเวลานี้แน่ๆกับสินค้าที่ต้องการเทคนิคสูง เพราะ สินค้าเหล่านี้จะทดสอบคุณภาพได้ยาก ยากกว่าการสำเนียกรู้ได้ ณ จุดขายเป็นไหนต่อไหน เช่น สินค้าเครื่องจักรอุตสาหกรรม หากว่า เกิดการลดต้นทุนการผลิตตามหลักการใหญ่ๆที่ผมได้เล่าให้ฟังแล้วนั้น ผลของมันจะไม่เกิดขึ้นทันทีให้เห็นได้ (เพราะว่าต้องการขายของได้ก่อน) แต่มันจะสะสมผลลัพธ์ผลร้ายต่อไปตามระยะเวลาการใช้ และการใช้สินค้าที่ลดต้นทุนตามแนวคิดเหล่านั้น(โดยบังเอิญหรือตั้งใจหรือเพราะว่าไม่ได้คิดมากก็แล้วแต่)จะเป็นผลร้ายต่อผู้ซื้อผลิตภัณฑ์หรือผู้ใช้สินค้าเหล่านั้นได้ในท้ายที่สุด นี่แหละครับ ความน่ากลัวของการผลิตสินค้าในประเทศจีนหากคนยังมีแนวคิดที่จะได้กำไรเพื่อให้ได้มากต่อมากโดยการลดต้นทุนแบบฉลาดๆอย่างที่ผมว่าไปแล้วคนซวยก็คงจะเป็นประชากรโลกนี้นั่นเอง

Saturday, July 25, 2009

คนเราอยากมีอยากเป็นเหมือนคนอื่นและชอบที่จะทำอะไรเหมือนๆคนอื่นจริงๆเลย

ผมเคยเล่าให้ฟังว่า คนเราไม่ได้ต้องการความแตกต่างจากคนอื่น แต่ว่าต้องการที่จะเหมือนกับใครบางคนหรือ คนบางกลุ่มต่างหาก อาจจะดูได้จากพฤติกรรมดิบของวัยรุ่นก็ได้ สิ่งที่เค้าเหล่านั้นต้องการก็คือ ต้องการแสดงออกถึงความเป็นตัวตนของตัวเอง หรือ ต้องแสดงออกถึงความเป็นตัวตน แต่ผมไม่ได้บอกนะครับว่า จะต้องไม่เหมืออนคนอื่น เพราะการแสดงออกถึงความเป็นตัวตนนั้นในจิตแล้ว วัยรุ่นต้องการที่จะไม่แตกต่างจากกลุ่มเพื่อนๆของเค้าสักเท่าไหร่ ถ้าพวกเพื่อนขอบการถ่ายภาพ หรือ ชอบดูบอล เค้าก็จะแสดงออกว่า เค้าต้องเป็นคนเล่นกล้อง ต้องแสดงออกถึงความเป็นตัวตนของเค้าว่า เค้าอยากดูบอล เพื่ออะไรน่ะเหรอครับ เพื่อที่จะเข้ากับสังคมหรือเป็นบุคคลในจิตนาการของตนนั้นได้ แล้วเรียกสิ่งเหล่านั้นว่า "การแสดงออกถึงความมเป็นตนเอง" (self-dentity)

นอกจากคนเราต้องการที่จะมีพฤติกรรมเหมือนกลุ่มในอุดมคลิของเค้าเหล่านั้นแล้ว คนนั้นก็พยายามที่จะหาใช้ข้าวของเครื่องใช้ที่คิดว่าเหมือนคนอื่น(หรือกลุ่มอุดมคตินั้น) ที่เราอยากให้เหมือนอีกด้วย

แค่นี้ยังไม่พอ ความเหมือนกัน ความเป็นสัตว์สังคมยังแสดงถึงระดับความคิด ! ที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันด้วย ทำให้สังคมมนุษย์เกิดก้กกลุ่มก้อนย่อยทางความคิดที่แตกต่างกันออกไป คนเราไม่ชอบหรอกที่จะเถียงกับคนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป เราอยากอยู่มีปฏิสัมพันธ์(รวมทั้งปฏิสนธิ) กับบุคคลที่แนวความคิดหลักเหมือนๆกัน ลองคิดดูแล้วกันสามีภรรยาที่ความคิดแตกต่างกันแล้วจะอยู่ด้วยกันได้ด้วยเหรอครับ ถ้าบอกว่าได้เพราะอยู่ด้วยความเข้าใจ แสดงว่าเข้าใจๆเหมือนกันๆ แนวคิดนั้นไม่แตกต่างกันทำให้เข้ากันได้นั่นเองครับ คนที่คิดแตกต่างกลับสะท้อนภาพความโกรธแค้น ความไม่เห็นด้วย การเถียงกัน ความรุนแรงทางความคิด จนถึงขั้นแสดงออกมาได้ด้วยความโกรธเคือง ที่แสดงออกมาผ่านทางจิตใต้สำนึก (ไม่รู้ตัว) ออกมาให้เห็นได้ไม่ยาก

สังคมที่มีมนุษย์ที่คิดระลึกแบบนี้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำให้เกิดความเป็นฝั่งฝ่าย พรรคพวก จะไม่เป็นสังคมที่สงบสุขในอุดมคติ ที่ที่ซึ่งทุกคนเท่าเทียมกัน ที่ไม่แยกแยะความแตกต่างแห่งความเป็นคน ทุกคนเหมือนกันอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งในกายภาพและความคิด มันจะเป็นโลกที่ไม่เกิดความขัดแย้งแม้แต่ประเด็นเดียว อย่างไรก็ตามแม้ว่ามนุษย์อยากอยู่ในสภาวะเหล่านั้นทำให้ต้องออกเป็นกฏเกณฑ์ กฏหมายเพื่อควบคุมให้ทุกคนอยู่ในระเบียบโลกมนุษย์ มีการสั่งสมกำลังอาวุธเพื่อแสดงออกถึงความเป็นสงครามเย็น เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในท้ายที่สุด แต่ได้สภาวะการอยู่ร่วมกันบนโลกที่คล้ายกันแต่แค่อยู่กันอย่างกดดันเท่านั้นที่แตกต่างกันระหว่างโลกในอุดมคติกับโลกที่มันเป็นอยู่ตอนนี้

คุณก็คิดอย่างนี้เหมือนกันเหรอเปล่าล่ะครับ ?
note: อ่านความคิดของคนที่คิดคล้ายๆผมพูดถึงเรื่อง social norm

Friday, July 24, 2009

แนวคิดของคนปกติเกี่ยวกับการแก้ปัญหาตรงหน้า !

เยอะครั้งที่เราจะคิดวิธีการแก้ปัญหาออกมาได้เพื่อให้ปัญหานั้นๆผ่านพ้นไปจากตัวเท่านั้น แต่ว่าไม่แก้กันที่ต้นตอหรือสาเหตุของปัญหาอย่างแท้จริงกัน ทำไมเรามักจะเป็นอย่างงั้น เพราะว่าการแก้ปัญหาทีต้นตอเลย มันทำได้ยากกว่าการแก้ปัญหาตรงหน้ายังไงล่ะครับ เช่น ถ้าหากว่าแอร์ที่เคยปรับเอาไว้ที่ 25'c แล้วมันก็เย็นสบายดี ทีนี้มาวันนึงพบว่าเปิดแอร์ที่25'c เหมือนเดิมแต่ว่ามันกลับไม่เย็น วิธีการแก้"ปัญหาตรงหน้า" ทำได้ไม่ยากเลยน่ะครับเกือบจะใช้ common sense เพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น ทำยังไงน่ะเหรอครับ แม้แต่เด็กเล็กๆก็คิดออก (แหมเราก้เอาความคิดเด็กหรือวิธีการแก้ตรงหน้าแบบเด็กๆมาคิดน่ะหละครับมันก็ง่ายซิ จริงเหรอป่าวล่ะ) วิธีการก็คือ ปรับแอร์ให้เย็นขึ้นยังไงล่ะครับ ตรงประเด็นเป้ะเลยปัญหานั้นโดนแก้ไปแล้ว แล้วเราก็นอนได้อย่างเย็นสบายดีในคืนนั้นๆ เราจะรู้สึกเหมือนกับว่าปัญหาได้โดยแก้ไปแล้ว ไม่มีปัญหานั้นๆอีกต่อไปแล้ว แล้วก็ลืมๆมันไปซะ การกระทำแบบนี้ หรือวิธีการแก้ปัญหาตรงหน้าแบบนี้จะฝังหัวเราลึกและลึกลงไปทุกครั้งที่เราแบบนี้ ตรงๆแบบนี้โดยไม่ได้ทำการฝึกคิดถึงต้นตอของสาเหตุของปัญหา โดยไม่ได้คิดที่จะแก้ไขที่ต้นเหตุแห่งปัญหานั้น เพราะเรื่องพวกนี้จะต้องผ่านการฝึกทางความคิดมาแล้วเท่านั้นถึงจะเริ่มหาต้นเหตุแห่งปัญหานั้นได้ ซึ่งวิธีการหาต้นเหตุเเห่งปัญหามันก็มีอยู่แยะวิธีการ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นวิธีการ"คิด" เท่านั้นเองครับ หรือวิธีการเหล่านี้อาจจะได้จากประสบการณ์ก็ได้เช่นเดียวกัน ทีนี้พอภาพความเคยตัวในการแก้ปัญหาตรงหน้ามันฝังตัวลึกกับความคิดของเราแล้ว แล้วมันไม่ดียังไงน่ะเหรอครับ เราจะเอาไปคิดต่อกับปัญหาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่า เราไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง เราแค่แก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น เรื่องที่ใหญ่ขึ้นแปลว่า เรื่องนั้นจะทำให้คุณเดือดร้อนได้มากขึ้นหากว่าการแก้ปัญหาไม่ถูกจุดน่ะครับ เช่น ลมยางรั่วล้อเดียว แก้ตรงๆก็เติมลมเข้าไป แล้วคิดดูแล้วกันแก้แบบนี้ไปเรื่อยๆถ้าหากว่ายางรถเกิดผิดปกติจริง ขับรถจะทำให้เกิดความเสี่ยงหรืออันตรายได้แค่ไหน ไม่รู้ตัวกันเลยน่ะครับแบบนี้ นี่แค่เล่านึกเล่นๆว่า มันจะอันตรายได้แค่ไหนกันเชียวกับความคิดแก้ปัญหาแค่เฉพาะตรงหน้าเท่านั้นไม่ได้ทำการหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อทำการแก้มัน

เอาเป็นว่าผมจะไม่ได้พิมพ์ว่าวิธีการหาต้นเหตุแห่งปัญหาใดๆกระทำได้ด้วยวิธีใด แต่จะบอกเอาไว้ก่อนเลยว่า "การแก้ปัญหาตรงหน้าจนเคยตัวนั้น มันกระทำกับชีวิตในภายหลังได้ไม่ยากน่ะครับ" ขอแค่รู้ไว้ว่า ตอนที่คิดแก้ปัญหานั้นพึงระลึกไว้เสมอว่า มันเป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริงแล้วหรือยังหรือว่ามันเป็นแค่การแก้ปัญหาตรงหน้าเท่านั้น ?

Sunday, July 19, 2009

กล้วยเคลือบ chocolate ครั้งที่ 2 คนเราก็มีการเรียนรู้เป็นเรื่องปกติน่ะหละครับ

เช้าวันอาทิตย์ก็มีแผนการณ์ว่าจะทำกล้วยเคลือบ chocolate ครั้งที่ 2 เป็น version ครึ่งท่อน วิธีการทำของผมวันนี้ก็คือ เอาตะเกียบตาสับเป็นสองท่อน แล้วก็เอาไปปักกับกล้วยหอมสุกที่ผ่านการลอกเปลือกกล้วยและหั่นออกมาเป็น 2 ส่วนบนล่างแล้วมันจะได้พอกันหน้าตาออกเหมือนกับในรูปน่ะครับ IMAGE_291

แล้วทีนี้ก็เอากล้วยไปแช่เย็น (แข็ง) สักหน่อย ทีนี้ผมก็ไปละลาย chocolate ที่ครั้งก่อนทำแล้วไม่เอาอ่าวอะไรกะเค้าสักเท่าไหร่ แต่ว่าตรั้งนี้ผมเอาหม้อต้มอยู่ด้านล่างแล้วก็เอากะละมัง stainless อยู่ด้านบนต้มน้ำให้เดือดแล้วก็ทำการกวน chocolate TULIP (แบบ Dark chocoloate ซื้อมาห่อละ 1 kg แต่ว่าใช้แค่ประมาณ 1/4 เท่านั้นของ 1 kg ) ผมว่าทิวลิปนี่น่าจะเป็น chocolate ไทยแท้แน่นอนเพราะว่ามีราคาที่ต่ำกว่า chocolate ยี่ห้ออื่นเป็นไหนต่อไหน ผมซื้อมาคราวนี้ก็แค่ 159 บาท พร้อมกะกล้วยสี่ผล 27 บาทน่ะครับ กวนๆไปเรื่อยด้วยตะหลิว (ตอนแรกกะว่าจะหาไม้พายแต่ว่าหาทั้งบ้านแล้วหาไม่เจอน่ะครับเลยเอาตะหลิวแทน) งวดนี้ผลออกมาคือ chocolate ละลายดีเป็นของเหลวในที่สุด ! ครับ ผมก็จัดแจงเอากล้วยที่แช่เย็นไม่นานเท่าไหร่เพราะว่าอยากจะทำเร็วๆก็เลยไปเอามานะครับ ทำการเคลือบมันก็โอเคเลยน่ะครับ แต่ว่าปัญหามีอยู่หน่อยก็คือ เพราะว่ากล้วยยังไม่ได้แข็งโป้ก ทำให้ตะเกียบที่เสียบกับกล้วยมันไหลออกจากการได้ (ไม่แน่นว่าอย่างงั้น) ทำให้เอามาถือหมุนๆไม่ได้แล้วก็ทำให้ผิวการเคลือบ chocolate ไม่เรียบเท่าไหร่ เอาเป็นว่าถ้าหากว่าคราวหน้าผมจะหิวความใจร้อนกว่านี้โดยทำตามแผนที่กำหนดเอาไว้ เพราะว่าถ้าหากว่ากล้วยมีการแช่ค้างคืนเอาไว้แล้วตะเกียบกับกล้วยมันจะยึดกันอย่างแน่นอนแล้วก็จะทำให้การหมุนเกลี่ย chocolate ทำได้ดีกว่าเดิมมากน่ะครับ ไว้คราวนี้แล้วกัน ครั้งนี้ผมว่าผมให้คะแนนตัวเอง 85% น่ะครับ (เพราะอีก 15% ต้องมีถั่วโรยแล้วก็ต้องเรียบกว่าน่ะครับ)

IMAGE_292

แล้วนี่ก็คือหน้าตาผลงาน Sunday Morning Project กล้วยเคลือบ chocolate ครั้งที่ 2 น่ะครับดีกว่าเดิมอยู่เหมือนกันน่ะครับผม^_^

Friday, July 17, 2009

คนเราประเมินสถานการณ์กับเกหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากอย่างเบี่ยงเบนเป็นอย่างมาก

ความรู้สึกกับโอกาสที่มีอยู่อันน้อยนิดนั้น สมองเราแทบรู้ถึงโอกาสที่น้อยนิดนั้นแทบไม่ได้เลย แปลกดีเหมือนกันนะครับ ทำไมผมถึงว่าเอาไว้อย่างงี้น่ะเหรอครับ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโลกเรา ไม่ว่าจะเรื่องการแตกของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นล่าสุด เหตุนั้นก็เกิดขึ้นมาจากการประเมินสถานการณ์ที่โอกาสเกิดขึ้นต่ำเกินว่าผลที่เกินคาดของมันครับ การไม่ได้รับรู้มันไม่ได้แปลว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ไดีมีอยู่จริงๆครับ ผมอาจจะเคยบอกให้ฟังแล้วหนหนึ่ง (ถ้าจำไม่ผิด) ผมเคยยกตัวอย่างเรื่องการหงส์ดำไม่มีในโลก มันไม่ได้แปลว่ามันไม่มีน่ะครับ ก็แค่ว่ายังไม่มีนเจอมันมาก่อนเท่าน้นเอง หรือ เรารับรู้ไม่ได้ว่ามันมีครับ เหตุผลนี้ก็คล้ายกับการที่เราประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่เกิดผลเลวร้ายรุนแรงได้เป็นตัวถ่วงน้อยเกินครับ โดยปกติแล้วการประเมินทางวิศรกรรมจะมีการถ่วงน้ำหนักกับโอกาสที่คาดว่าน่าจะเกิด แต่ว่าถ้าหากผลลัพธ์ของกรณีเกิดได้ยากแต่มันมีผลเลวร้ายมากๆสุด ก็คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักจากโอกาสนั้นก็แทบจะไม่ต้องคำนวณอะไร เช่น ถ้าหากว่าโอกาสเกิด 0.0001% แต่ว่าการเกิดผลลัพธ์เลวร้ายนั้นให้ outcome ออกมาเป็นตัวเลขที่ตัดสินจากระดับ infinite แล้วการวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์แบบคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักและโอกาสแบบนี้จะไม่ได้ถูกนำมาใช้ เป็นไปได้ที่ตอนที่มนุษย์เราจะใช้แนวคิดแบบนี้จะเริ่มมีการละลายมันไป เพื่อให้ model การคิดแบบนี้ใช้ได้ขึ้นมายังไงอย่างงั้น

แท้ที่จริงการรับรู้โอกาสที่ต่ำๆของคนเรานั้นรับรู้ได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก เราอาจจะประเมินการถูกล็อตเตอรี่เอาไว้มากกว่าความเป้นจริงๆราวกับว่าจะมีโอกาสถูกมากเสียนี่ยิ่งกระไร อย่างเช่น น้องผมเค้าจะส่งไปรษณีย์บัตรเพื่อกะว่าจะได้รางวัลใหญ่ของเค้า ถ้าหากคูณตัวเลขกันจริงๆโออกาสที่จะได้นั้นน้อยเกินกว่าที่เครื่องคิดเลขจะแสดงออกมาได้(เครื่องเลขทางบัญชีธรรมดาน่ะครับ) หัวเราอาจจะประเมินเป็น Utility ของการได้รางวัลออกมานั้นมากกว่าตัวเลขที่เป็นตัวเงินมากๆก็ได้ เพราะ อาจจะคิดไปว่า การเสียไปของเงินไม่กี่ร้อยบาท กับการที่ได้มาเป็นล้านบาท Utility ของการเสียเงินไปไม่กี่ร้อยบาทมันก็ไม่ได้มากตามจำนวนเงินนั้นตรงๆน่ะครับ ทำให้เรามักจะคิดเข้าข้างตัวเอง distort ภาพของโอกาสออกไปไกลกว่าความเป็นจริงครับ หรือ มองเรื่องโอกาสการติดหวัด 2009 นี่ก็ได้ เพราะมีการประโคมข่าวเป็นอย่างมาก ทำให้ประชาชนเกิดการป้องกัน (หรือออกอาการกลัวกันเลยก็ว่าได้) เพราะแท้ที่จริงแล้วสื่อต้องการที่จะนำเสนอ และรัฐบาลก็ต้องการที่จะนำเสนอเพื่อให้เกิดการรับรู้ได้ถึงโอกาสที่มากกว่าปกติมากๆอยู่เพื่อที่จะทำให้ทุกคนหรือคนส่วนใหญ่มีการกลัวแต่ป้องกันตัวซึ่งเป็นการ over reaction มากกว่าปกติ ถือได้ว่าจะเป็นผลดีในระยะยาว แต่ก็มีผลเสียเช่นเดียวกันน่ะครับ ดีต่อกันป้องกันแต่ว่าเสียต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เพราะ ทำให้คนกลัว กลัวมากจนไม่ออกจากบ้านไปห้าง ไปดูหนังไปจับจ่ายใช้สอย กลัวมากจนไม่อยากออกไปทำอะไรยกเว้นออกไปทำงาน เพื่อให้ได้เงินกลับมาดองเอาไว้ที่บ้าน (ไม่ได้ใช้ ณ สถานที่ที่มีการสะสมคนเอาไว้ด้วยกัน)

สำหรับกรณีที่การรับรู้โอกาสต่ำแล้วรับรู้ไม่ได้เลยหรือละเลยมันไป แทนที่จะรับรู้แบบขยายโอกาสหรือมากเกินจริงเหมือนกับกรณีที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็ยังเกิดขึ้นได้ เหมือนกับการประเมินเรื่องทางเศรษฐกิจและวิกฤตเศรษฐกิจที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วยังไงอย่างงั้น

โดยสรุปคือ คนเราประเมินรับรู้ความรู้สึกความใหญ่โตมากน้อยของโอกาสของการเกิดเหตุการณ์ที่น้อยๆได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก มีทั้งการขยายภาพโอกาสนั้นออกไปกรณีลอตเตอรี่ และการละเลยมันไปเลยก็มีครับ วิธีการป้องกันสำหรับคนที่มีภูมิความคิดคือ ขอให้รู้แค่ว่าการสำเนียงรู้โอกาสอันน้อยนิดนี้ มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในใจอยู่มากเท่าน้นก็พอครับ สำหรับวิธีการประยุกต์ใช้ก็ต้องแล้วแต่สถานการณ์ไปแล้วกันนะครับ ผมเอาเล่าก็เพราะผมเห็นว่า . อืม . มันแปลกดีเนาะ ความคิดของคนเราเนี่ยะ ..

Wednesday, July 15, 2009

เหล่างเน่ยยี่ 2 : อลังการงานสร้างอาคารวัดแบบจีน

วันหยุดที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปวัด เหล่งเน่ยยี่ 2 ที่ไม่ไกลจากตัวกทมมากนักขับรถไปก็ประมาณแค่ 45 นาทีเท่านั้นก็ถึงแล้วน่ะครับ พอไปถึงจะเป็นที่จอดรถกว้างๆ หาที่จอดได้สะดวกมากเพราะว่าพื้นที่มีมากเหลือเกิน หันไปหาตัวอาคาร (ผมจะเรียกว่าอาคารดีเหรอป่าวน่ะครับ เพราะมัน .. เหมือนกะอาคารจริงๆ) ที่ด้านล่างจะก็มีทางเข้าแล้วก็เราสามารถที่จะเดินดูได้ภายในอาคารวัดเกือบทั้งหลังยกเว้น zoning ที่พระเอาไว้อยู่อาศัยเท่านั้นที่เค้าจะมีประตูหรือป้ายกั้นเอาไว้ว่าไม่มีอะไรให้ดูอย่าเข้ามานะ ประมาณนั้นน่ะครับ ไปถึงผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากถ่ายภาพ ทำบุญแล้วก็ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นได้ใหญ่ตัวเหมือนกับเป็นวังในเมืองจีนอย่างงั้นเลยน่ะครับ หยุดๆว่างๆก็หาโอกาสไปดูกันดูเองแล้วกันนะครับ
SANY0001 SANY0002 SANY0004 SANY0009 SANY0010 SANY0011 SANY0012 SANY0013 SANY0014 SANY0016 SANY0017 SANY0020 SANY0021 SANY0022

ฮานาย่า ร้านอาหารญีปุ่นเก่าแก่ในตำนานนน..

ผมไปกินร้าน ฮานาย่า มาก็นานแล้วเหมือนกันน่ะครับ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ไปกินก็เพราะว่าเพื่อนที่ไปอยู่ที่นิวซีแลนด์เค้าบอกว่าเค้าอยากกินร้านนี้ก็พามากิน ร้านนี้เป็นร้านอาหารเก่าแก่เรียกได้ว่าเป็นอีกร้านที่รุ่นพ่อตอนวัยรุ่นกินยันรุ่นเราก็ได้กินเรื่อยมา เจ้าของร้านอาหารจะเป็นคนญี่ปุ่นที่อยู่เมืองไทยมานานตามเวลาของร้านน่ะหละครับ แต่ว่าเค้าเหล่านั้นก็ไม่ได้ศึกษาที่จะพูดไทยให้ได้รู้เรี่องเยอะๆสักเท่าไหร่ เวลาที่ผมแอบฟังเค้าพูดก็จะมีติดภาษาญี่ปุ่นออกมาตลอดเวลา แต่ผมเดาเอาน่ะครับว่าเค้าพูดไทยไม่ได้เท่าไหร่นักเพราะเค้าไม่ได้พูดไทยให้ฟังกันเลยน่ะครับ แล้วพนักงานที่นี่โดนสอนให้เขียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อบันทึก order แทนน่ะครับ ผมไม่รู้น่ะครับว่าพนักงานด้านในที่อยู่ห้องครัว หรือพวกคนครัวเค้าเป็นญี่ปุ่นหรือเปล่า แต่ว่าก็คิดว่าไม่หรอกนะครับ น่าจะเป็นคนอีสาน(ทำได้หมดและสร้างประเทศ ตึกรามบ้านช่องทั้งหมด ฝืมิอเค้าเหล่านั้นทั้งนั้นน่ะครับ)

อย่าไปบ่นเรื่องพูดไทยไม่ได้ดีกว่า มาดูว่าผมกินอะไรมาแล้วน่ะครับ ปกติแล้วร้านนี้ผมจะกินก็กินไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง ที่แน่ๆผมจะชอบกินชุดเบนโตะเค้าน่ะครับ ที่ผมกินจะเรียกเป็น ซูชิกล่อง ผมว่ามันก็ basic ดีน่ะครับ แต่ว่ามันก็อร่อยดีด้วยน่ะครับ นอกจากนั้นแล้วผมมักจะสั่งปลาไหลมาหนึ่งคำครับ คำนี้จะเป็นตัวปลาไหลยาวปะเอาไว้ที่ก้อนข้าวก้อนเดียวตรงกลางเพื่อให้ดูอลังการงานสร้าง เหมือนกับว่าข้าวเนี่ยะมันเอาไว้แค่เป้นฐานเท่านั้นเองครับ ประดับให้มันมีมิติความลึกสูงของตัวปลาไหลครับ อ้ออีกอย่างที่ชอบสั่งก็คือ ยำปลาหางแข็ง ครับแนวเป็นปลาดิบแต่ว่าจะมีการยำญี่ปุ่นแล้วก็จิ้มน้ำจิ้มรสเยี่ยม เข้ากันอย่างแรงน่ะครับผม สามอย่างที่ผมกินก็แน่หละจะเป็นสามอย่างที่แนะนำถ้าหากว่าจะมีกินร้านนี้ก็สั่งกันเอาเองแล้วกันนะครับ
IMAGE_217 IMAGE_219 IMAGE_232

Saturday, July 11, 2009

รู้ว่าพาเลโต้ แล้วมันได้อะไรขึ้นมาอย่างงั้นหรือ?

ถ้าหากว่าเราคิดว่าพาเลโต้ rule มันเป็นจริง (สำหรับคนที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็คือกฏที่ว่าด้วยการกระทำใดๆแล้วหรือสิ่งของสัดส่วนใดๆแล้วมักจะเป็น 80 ต่อ 20 เสมอๆโดยมาก ) แล้วมันก็จะเป็นจริงอย่างงั้นอย่าหักห้ามไม่ได้น่ะครับผม แล้วที่ผมบอกไปเนี่ยมันแปลว่าอะไรอีกล่ะ งั้นเรามาเริ่มจาก concept ของมันก่อนดีกว่าที่ว่าอะไรๆมันก็ แปดสิบยี่สิบเช่น สินค้าที่ขายดีนั้นคิดเป็นสัดส่วน 20% ของรายได้ 80% ของทั้งหมด หรือว่า งานที่เราทำออกแรงเป็น 80% แต่ว่ากลับจะผลของงานจากทั้งหมดคิดเป็นแค่ 20% เท่านั้น กรณีพวกนี้จะเป็นการศึกษาจากข้อมูลลวกๆโดยประมาณ ความเป้นจริงก็มักจะเป็นอย่างงั้น รวมุถึงสิ่งที่หาข้อสรุปไม่ได้สักเท่าไหร่ก็จะต้ะเอาพาเลโต้นี้ในการอธิบายสิ่งต่างแบบลวกๆไปได้น่ะครับ อย่างเรื่องงาน ลองคิดดูน่ะครับว่าถ้าหากว่าพาเลโตเป็นจริง ยังไงเราก็ต้องงาน 100% อยู่ดี แต่ว่างานที่ได้นั้น 80%จะมากแรงงานหรือเวลาที่ใช้ไปแค่ 20% เท่านั้น แล้วอย่างงั้นอีก 80% ที่เราทำ ก็จะได้ผลออกมาแค่ 20% ของผลลัพธ์ทั้งหมดอย่างงั้นหรอกหรือ แล้วอย่างงั้นทำไมเราไม่ทำแค่ 20% ล่ะ ... อืม .. ถ้าหากว่าเรื่องพาเลโต้เป็นจริงอย่างว่า อย่างไรก็ตามเราจำเป็นต้องทำ 100% อยู่ดี เพราะว่ามันจะมี 80% แล้วก็มี 20% ของแรงงานเราให้แบ่งได้อยู่ดีไม่ว่าเราจะทำมันไปเท่าไหร่ก็แล้วแต่น่ะครับ นั่นก็หมายความว่ามันยังไงๆก็ไม่สามารถที่ลดงานให้เหลือ 20% แล้วทำให้ได้ผลงาน 80%ออกมาได้ เพราะถ้าทำแบบนั้น 20% ที่เราออกแรงไปจะเป็น 100%ใหม่วันยันค่ำยังไงอย่างงั้นน่ะครับ โดยรวมๆแล้วเรื่องนี้มันจะเป็นแค่ concept เพื่อให้ระลึกเอาไว้ว่าไม่ว่างานใดๆเราไม่ได้ work งานออกมาเพื่อให้ได้ result ได้ร้อยเปอร์เซนต์อยู่ดีมันจะต้องแหว่งหายไปกับเรื่องไร้สาระอยู่ดีไม่มากก็น้อยน่ะครับแล้วก็ไม่ได้ต้องคิดไปเปลี่ยนแปลงอะไรมันหรอกน่ะครับ ก็แค่รู้เอาไว้เท่านั้นก็พอแล้วน่ะครับ

ไข้หวัดใหญ่ 2009 เหมือนว่าคนจะเป็นกันเยอะนะ? เคยคิดเป็นสถิติกันมั่งเหรอป่าว?

หลายคนกลัวว่าจะเป็นโรคนี้ทั้งๆที่โอกาสเป็น ณ เวลานี้นั้นไม่มาก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่า ถ้าหากว่าเรารับรู้มาก หรือว่ามีการสื่อสารผ่านทางสื่อต่างมาก ทำให้เหมือนกับโรคนี้อยู่รอบตัวเราแล้วก็ใกล้ตัวเอามากๆทั้งๆที่โอกาสนั้นต่ำเหลือเกินคณานับ (กดเป็นตัวเลขในเครื่องคิดเลขไม่ได้ก็ว่าได้) หรือว่าถ้าหากว่าเป็นแล้วก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเพราะโอกาสการที่จะหายได้เองแต่ต้องดูแลตัวเองมันก็เยอะมากโขอยู่เหมือนกัน คนที่เป็นแล้วตายนั้นเกิดจากอาการแทรกซ้อนอื่นๆ หรือว่าเป็นคนที่ร่างกายมีโรคอะไรฝังตัวอยู่ภายในเอาไว้แต่แรกแล้วน่ะครับ

นั่นก็หมายความ การที่สื่ออกมามากมากๆหรือตลอดเวลาแบบที่เป็นอยู่แบบนี้ ทำให้เราสำเหนียกรู้ได้ราวกับว่ามันมีอาการแพร่กระจายได้มากและเร็วเหมือนกับว่าโอกาสการติดโรคนี้เยอะเสียเต็มประดา เรียกว่า การรับรู้มันมากกว่าสถิติน่ะครับ ยังไงเสียก็แล้วแต่การที่สื่อออกมาแบบนี้ก็เป็นเรื่องดีอยู่ไม่น้อยเหมือนกันเพราะ เป็นการกระตุ้นเตือนเพื่อให้เกิดการป้องกันในวงกว้าง กลัวเอาไว้ก่อนก็ดีเพราะจะได้เป็นการป้องกัน (เผื่อเอาไว้) ก่อนก่อนที่จะมีการกระจายตัวของโรคที่มากกว่านี้น่ะครับ แต่แน่นอนว่าอย่าคิดให้มันรกสมองมากเกินไปหรือว่ากลัวจนเกินไป (อะไรที่เกินไปมันก็ไม่ดีทั้งนั้นนะหละ) มันจะทำให้ผู้คนไม่เป็นอันทำงานทำการเสียสมาธิแล้วก็ทำให้จิตใจไม่ผ่องใสได้น่ะครับ กรองความคิด กรองน้ำหนักของข่าว แล้วเอามาคิดต่ออีกครั้งว่า เราต้องคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆมากแค่ไหนกันแน่น่ะครับ แต่ขอให้รู้ไว้ด้วยว่าการที่เรารับสื่อมากนั้น มีแนวโน้มว่าโอกาสนั้นๆจะเกิดขึ้นกับเรา เราจะรับรู้ได้สูงกว่าความเป็นจริงเอามากๆ  กรณีที่อาจจะยกตัวอย่างให้ได้ชัดก็เช่น การกลัวเครื่องบินตก เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าคนจะกลัวเพราะว่ามีการส่งภาพและเสียงผ่านข่าวผ่านสื่ออกไปให้เราได้รับรู้ ทำให้ดูเหมือนว่าโอกาสเกิดเหตุนั้นๆมันมากกว่าปกติ แต่เราไม่รู้หรอกครับว่า แท้ที่จริงแล้วการที่เราขับรถไปถึงสนามบินได้นั้นเรียกได้ว่าปลอดภัยไปมากกว่าครึ่งเป็นไหนต่อไหนแล้ว เพราะโอกาสการเกิดอุบัติเหตุอันก่อนให้เกิดความตายนั้นบนถนนเยอะกว่าบนอากาศเป็นไหนต่อไหนน่ะครับ แค่ว่าเรารับรู้เรื่องโอกาสนั้นได้ไม่เท่ากับเรื่องของโศกนาฏกรรมทางอากาศเท่านั้นเองครับ รู้ไว้ใจว่าไว้แล้วกันนะครับผม

Tuesday, July 07, 2009

พัทยาปี 2009 update เมืองพัทยากันหน่อย

weekend ที่ผ่านมาเดินทางไปเที่ยวพัทยากะที่บ้าน แต่ว่าที่ไปก็เพราะว่า ได้รับอิทธิพลจาก ads ที๋ฉายผ่านทาง TV ทำให้ที่บ้านเกิดกิเลสเล็กๆอยากจะไปพักผ่อนกันที่เมืองพัทยา ตอนแรกคิดว่าพยายามที่จะหาทางเพื่อให้ได้ห้องพักฟรีสักหน่อยแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะเกือบทั้งหมดจะต้องทำผ่านรายการหรือวิธีการแนวชิงโชคเสียมากกว่านั้นก็แปลว่าจะได้ไปไม่ไปแหล่แน่ๆหากว่าเอาเงื่อนไขว่า “ถ้าได้ที่พักฟรี ถึงจะไปเที่ยวกัน”

เอาเถอะครับแต่ว่าไหนๆเกิดความอยากไปแล้วก็เลยตัดสินใจกันว่า เราไม่ได้อยากจะได้ห้องพักฟรีสักเท่าไหร่ แม้ว่า feeling สำหรับการได้ห้องพักฟรีแล้วไปเที่ยวกับการไม่ได้ห้องพักฟรีแล้วไปเที่ยวจะแตกต่างกันอยู่บ้าง เพราะของฟรีใครๆก็ชอบเหมือนกับว่าได้รางวัลอะไรสักอย่างมันรู้สึกไม่เหมือนกันแน่ๆครับ

สุดท้ายเราก็เลือกเดินทางไปแบบไม่ได้ห้องฟรีอยู่ดี เดินทางก็ไม่นานเท่าไหร่จาก กทม ขาไปผมเป็นคนนอนหลับในรถไม่ดูทางแล้วก็ไม่ขับอะไรน่ะครับ แล้วเมือ่เดินทางไปถึงก็เข้าห้องพักก่อนเลยเป็นอันดับแรกเพราะว่าน้องแนนนี่เป็นคนจองห้องพักหาข้อมูลห้องพักผ่าน internet เอาก็ไม่รู้หรอกว่ามันดีไม่ดี แต่ว่าเมื่อไปถึงห้องพักแล้ว ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียวกับห้องของมันตราปุระรีสอร์ทแอนด์สปาครับ (ภาพด้านล่างนี้เลยน่ะครับ)teepak (1) teepak (2) teepak (3) teepak (4) teepak

เมื่อไปถึงเอากระเป๋าไปเก็บแล้วก็เดินทางไปยังที่ๆอยากจะไปแต่แรกก็คือ ตลาดสีภาคครับ ที่นี่เหมือนว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ทีมีการลงทุนไปไม่น้อยแต่ว่าก็ไม่น่าจะมากมายอะไรเช่นเดียวกันครับ มันจะเป็นเหมือนกับขุดสระหรือบึงขนาดใหญ่แล้วเอาน้ำเทเข้าไปแล้ว ที่เหลือก็จะเป็นอาคารกระต๊อบเล็กๆเยอะหลังมากๆทำเหมือนกับเป็น complex (แต่ว่ากลางแจ้ง) ต่อกันเป็น booth เชื่อมกันด้วยสะพาน เพื่อทำให้บรรยากาศโดยรวมแล้วเหมือนกับตลาดน้ำ ซึ่งถ้าหากว่าคนที่มาพัทยาปกติก็จะไม่ได้รู้จักหรอกว่า ที่เที่ยวอีกแบบที่เป็นไทยๆก็คือพวกตลาดน้ำแต่ว่าพัทยาไม่มี เค้าก็หัวใส่สรรสร้างออกมาเป็นแบบ fake ๆ ได้น่ะครับ เพราะมันไม่ได้เป็นคลองจริง แล้วมันก็ไมได้เป็นแหล่งชุมชนจริงๆเหมือนกับที่เราไปเที่ยวตลาดน้ำของจริงครับ เอาเถอะครับก็ไม่ได้ว่าอะไรเรียกว่าเป็นการสร้างความสะดวกเพื่อจำลองสถานที่ให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเล่นได้อีกแนวหนึ่งก็ดีเหมือนกันครับผม ที่นี่ของที่ขายก็จะเหมือนกับตลาดน้ำทั่วไปแต่ว่าราคาอาจจะ upgrade ขึ้นไปหน่อยเพราะว่านี่มันเมืองพัทยา เป็นเมืองท่องเที่ยวแล้วก็คนต่างชาติพาทัวร์มาลงกันเยอะอย่างไม่ขาดสายเรียกได้ว่า location นี้มีการทำ PR เป็นอย่างดีเพื่อ่ทำให้เกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ได้เก่งใช้ได้เลยน่ะครับ ผมก็ไม่ได้ซื้อของอะไรที่นี้หรอก อ้อ ..จริงๆก็ซื้อน่ะครับแต่ว่าเป็นของที่ใช้แล้วหมดไปเดี๋ยวนั้นก็คือพวกของกิน ซื้อมาปั้บก็กินปุ้บเลย ก็เช่น ลูกชุบ น้ำชาเย็น (ชาชัก) อะไรเทือกนี้น่ะครับ ของที่เป็นวัตถุเอากลับมาได้จริงๆไม่ได้ซื้ออะไร่นะครับ เพราะ อย่างว่าล่ะครับ คนไทยเราก็เห็นอะไรแบบนี้มาเยอะแล้วเหมือนกับว่าถ้าหากว่าผมเป็นฝรั่งหรือว่าเป็นคนจีนนี่คงจะตื่นตาตื่นใจไม่ใชน้อยเพราะว่ามันเป็นการเอาของประหลาดขอประเทศไทยทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดมาแสดงเอาไว้ ณ ที่เดียวกันน่ะครับ ตลาดน้ำสี่ภาค (3) ตลาดน้ำสี่ภาค (4) ตลาดน้ำสี่ภาค (5) ตลาดน้ำสี่ภาค ตลาดน้ำสี่ภาค (1) ตลาดน้ำสี่ภาค (2)

สุดท้ายในวันเดียวกันนี้ก็เดินทางไปที่ “อุทยานสามก๊ก” ที่ๆซึ่งถ้าหากว่าเราไม่ได้เอา GPS ไปก็ไม่มีทางที่จะเดินทางไปถึงได้ง่ายๆน่ะครับ เพราะ เป็นสถานที่ที่ลึกลับเอามากๆแล้วก็ไม่มีการแสดงป้ายบอกอะไรตามท้องถนนทั้งนั้น นอกจากนี้ถนนหนทางที่ขับเข้าไปด้วย GPS นั่นก็ดูเหมือนกับว่าไม่น่าจะมีอะไรอยู่ข้างหน้าเกือบตลอดเวลา ทำไมน่ะเหรอครับ เพราะว่าที่นี่เค้าไม่ได้ทำการ promote แหล่งท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ครับ ที่แห่งนี้เหมือนจะเป็นสถานที่ๆลูกหลานของตระกูลศรีเฟื่องฟุ้ง ทำขึ้นเพื่อเป็นการตอบแทน หรือทำตามดำริ (ความคิด) ของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วในตระกูล เพื่อเป็นการเอาวัฒนธรรม และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนั้นนับถือเอามารวมไว้ด้วยกันแล้ว เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อให้คนมาสักการะได้น่ะครับ ต้องเข้าใจว่าตระกูลนี้ก็เป็นตระกูลใหญ่ที่มีเงินทุน ลงทุนใน business มากกว่า 50 โรงงาน แล้วก็มีโครงการทางธุรกิจมากมายหลายประเภททำให้มีเงินเพื่อสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ออกมาได้น่ะครับ ตอนที่เดินทางไปถึงปุ้บคนต้อนรับพูดออกมาคำแรกเลยน่ะครับว่า “มาถึงกันได้ยังไง?” เหมือนกับที่ๆนี้ไม่ได้มีคนมากันสักเท่าไหร่ ทั้งๆที่มันแสดงเอาไว้ที่ใบแนะนำแหล่งท่องเที่ยวที่ได้มาจาก information ตามโรงแรมหรือว่า guide book น่ะครับแต่แค่ในนั้นจะไม่ได้แสดงเส้นทางโดยละเอียดทำให้คนปกติที่ไม่ได้หาข้อมูลมาก่อนว่าพิกัดสถานที่อยู่ที่ไหนไม่สามารถที่จะเดินทางไปได้เองแน่ๆ เพราะมันต้องเดินทางเข้าเหมือนกับหมู่บ้านโครงการเข้าไปอีกต่อหนึ่งซึ่งตอนแรกที่เข้าไปก็เหมือนจะไม่มั่นใจเหมือนกันดีที่โผล่หน้าออกไปถามยามเค้าว่า อุทยานไปทางไหน ยามหน้าหมู่บ้านก็สวนกลับบอกออกมาทันทีว่า ที่นี่น่ะหละครับ ! ตอนแรกก็อึ้งไปอยู่เหมือนกันว่าที่แบบนี้จะมีได้ยังไงกันอุทยาน แต่ว่าก็เค้าบอกอย่างงั้นก็ต้องเชื่อเค้าน่ะหละครับ แล้วก็ขับเข้าไปจนมาถึงที่นี่ได้ครับ นอกจากนี้ที่อุทยานจะมีภาพวาดเกี่ยวกับสามก๊กที่วาดบนแผ่นกระเบื้องเซระมิกปะติดเอาไว้ที่กำแพงเป็นเรื่องสามก๊กยาวไปเรื่อยๆราวตัวสถานที่ถ้าหากว่ายืนอ่านเรื่องทั้งหมดคิดว่าน่าจะเป็นชั่วโมงๆอยู่เหมือนกัน ซึ่งผมไม่อ่านแน่ๆครับ เพราะว่าไม่ได้ติดใจหรือว่าชอบอะไรเกี่ยวกับสามก๊กมากนัก คิดว่าบางคนที่ชอบก็น่าจะมีกันที่นี่ก็น่าจะคุ้มค่ากว่าที่ผมมาน่ะครับผม

สำหรับผมแล้วการได้มาที่นี่จุดที่เป็น highlight สำหรับผมจริงๆเกี่ยวกับ อุทยานสามก๊กนี้กลับเป็น “จดหมายเปิดผนึก” ที่มีเนื้อความที่เขียนเอาไว้เพื่อลูกหลานเหลนในตระกูลเค้าน่ะครับ มีการเขียนเอาไว้ก่อนที่คนที่ดำริอยากจะได้ที่นี่เขียนเอาไว้ก่อนที่เค้าคนนั้นจะเสียชีวิตไปครับ เนื้อความเขียนด้วยคำพูดที่เรียบง่ายแต่ว่ากินความเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตและธุรกิจได้อย่างลึกซึ้งตรงประเด็นกันไปเลยผมว่าเนื้อความนั้นกะว่าจะพิมพ์ออกมาที่นี่แต่ว่าต้นฉบับไม่ได้อยู่กับผม (อยู่กะน้องสาวน่ะครับ) ก็เอาไว้มีโอกาสจะพิมพ์เก็บเอาไว้แสดงไว้ที่นี่เหมือนกันเพราะมันสอนอะไรเราได้ดีมากๆน่ะครับ อุทยานสามก๊ก (1) อุทยานสามก๊ก (2) อุทยานสามก๊ก (3) อุทยานสามก๊ก

โดยรวมแล้วถ้าหากว่าจะเดินทางไปไปพัทยาเพื่อให้ไปไหนมาไหนคล่องตัวสำหรับคนที่ไม่กลัว technology แล้วแนะนำอย่างแรงว่าเอา GPS ไปด้วยเพื่อ mark ตำแหน่งต่างๆเอาไว้ก่อน (ที่อยากจะไปทำเหมือนกับผม) โดยการค้นหาตำแหน่งเหล่านั้นใน internet แล้วก็ transfer ข้อมูลเหล่านั้นไปที่ GPS ต่ออีกทีหนึ่งเพราะหลายที่ใน GPS จะไม่ได้มีแสดงเอาไว้น่ะครับ

สรุปเป็นว่า “เที่ยวช่วยชาติ” งวดนี้สนุกสนานดีมากน่ะครับคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปจริงๆครับผม

Monday, July 06, 2009

สัมนาการตลาดมี Design , Design อะไรกันเหรอนั่น?

วันก่อนได้ไปฟังสัมนาเกี่ยวกับการ Design ในการตลาด ก็ยังแปลกใจว่า มันแปลว่าอะไรอยู่เหมือนกันครับ แท้ที่จริงแล้วมันก็คือ การออกแบบการนำเสนอและออกประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการให้แตกต่างออกไปจากที่เคยเป็นหรือที่เคยมีมาก่อน กรณีที่ผมเอากลับมาคิดก็ได้แก่ การตลาดของโรงบาบเจ้าพระยา เรื่องคุณหมอเฉพาะทางเที่ยงคืน ผมได้ยิน ads ตัวนี้มาหลายครั้งแล้วทางววิทยุแต่ก็ไม่ได้สังเกตอะไรแค่ผมคิดว่ามันก็แค่การแข่งขันทำให้ต้องบีบหมอหรือรพ.เพื่อให้ทำอะไรที่มากกว่าคนอื่นเพื่อเสนอต่อประชาขนหรือสังคม เหมือนกับทื่เด็กต้องไปเรียนพิเศษมากกว่าคนอื่นเค้าเท่านั้นเอง แต่ว่าหลังจากที่ฟังเหตุผลว่ามันต้องออกแรงเพื่อที่ present ไอเดียนี้ผ่านกรรมการท่านอื่นๆหรือว่าเพื่อทำให้หมอคนอื่นๆเค้ามาอยู่กันกลางค่ำกลางคืนดูๆแล้วมันก็ไม่ได้เป็นง่ายสักเท่าไหร่ แล้วก็ผลลัพธ์คือ การคิดที่ขยายตลาดเพื่อการ present โรงพยาบาลเพื่อให้มี innovative product แบบนี้กลับกลายเป็นความคิดฐานเพื่ออกแบบ (Design) ตลาดใหม่ออกมาด้วยซ้ำ กรณีนี้ผมเข้าใจว่า demand มีอยู่แล้วแต่ว่าไม่เคยคิดกันมาก่อนหรือว่าลงมือทำมาก่อนมากกว่า เพราะ แค่รู้สึกได้ทันทีว่าถ้าหากว่าเราเกิดปัญหาเฉพาะเรื่องตอนไหน ที่รู้จักกังวลใจจริงๆเราก็จะไปหาหมอกันตอนนั้นเลยครับ ส่วนมาแล้วก็จะเป็น ประมาณทุ่มสองทุ่มเห็นจะได้ ผมเคยไปรพ.ดึกสุดๆก็ประมาณสักสามท่มกว่าก็จะเหลือหมอแบบเข้าเวรกี้กเอาไว้แบบว่าหมอทั่วไปน่ะครับไม่ได้เฉพาะทางอะไร แต่รพ นี้โชว์ว่ามีผู้ป่วยจากที่อื่นๆในบริเวณอื่นๆที่ไม่มีหมอ ณ เวลานั้นไหลเข้าที่ รพ แห่งนี้แทน เรียกได้ว่าเป็นการเปิดตลาดใหม่กันเลยก็ว่าได้

ยังมีอีกกรณีที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาคนซื้อรวมทั้งเป็นการสร้างกระแส คือ ยามาฮ่า ที่ฟังๆมาไม่น่าเชื่อว่าแต่ก่อนจะมีการนำเสนอสินค้าเรื่องความทนทาน แต่ว่าเดี๋ยวนี้มีการรู้จักลูกค้ามากขึ้นเพื่อให้เกิดความภูมิใจกับมอเตอร์ไซด์ที่เค้าเหล่านั้นซื้อไปมาก แล้วก็มีการปรับสโคปของลูกค้าให้มากกว่าเดิม (แปบว่าแคบกว่าเดิมน่ะครับ) นำเอา presentor ที่เหมาะสมกับตลาดมานำเสนอ ซึ่งแนวคิดแบบนี้เป็นการคิดแบบ designer หรือ สินค้าประเภท fashion อยู่แล้วโดยปกติ คือ ต้องมี ผู้แทนแบรนด์ มาเป็น key หลักในการส่งผ่านสินค้าจากโรงงานไปยังใจของคนซื้อน่ะครับ จ้าวนี้ก็เอา clash หรือว่าพวกวง boy band ดังๆที่สาวๆหรือกะลังอินสำหรับวัยรุ่น ณ ตอนนั้นๆมานำเสนอกัน ผมว่าทางยามาฮ่าก็ต้องภูมิใจที่รักษายอดหรือว่าเป็นผู้นำตลาดสำหรับกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้แน่นอนน่ะครับ แหม เอาใจวัยรุ่นได้ทำไมจะไม่อยากทำล่ะครับ ล่าสุดมีการเน้นให้ออกมาแต่งรถกันก็เรียกว่าน่าจะตรงประเด็นเอามากๆสำหรับสินค้าเพื่อให้แต่งรถ เหมือนกะว่ามันเป็นของเล่นยังไงอย่างงั้นเลยแต่ว่ามีราคาหน่อยเท่านั้นเอง ก็เป็นการนำเสนอได้อย่างตรงประเด็นอีกแล้วว่าสินค้าเชิง fashion ทำให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เหมือนกันใคร (ผมคิดว่าเค้าก้ไม่ได้อยากแต่งต่างอะไรหรอก แค่ว่าอยากจะ present ความเป็นคัวเองผ่านวัตถุหรือเสื้อผ้าเท่านั้นเอง มันอาจจะเหมือนใครก็ได้ไม่ว่ากันน่ะครับ)

ส่วนเรื่องของโก๋แก่ที่ฟังนั้นดูเหมือนจะเจอกับปัญหาเดิมๆของระบบกงสีคือว่า เรื่องเดิมๆทำมาอย่างไรจะต้องทำตามนั้น แม้ว่าจะเป็นรุ่นสองหรือสามเข้ามาทำก็่ต้องมี concept เดิมเอาไว้เป็นหลักทำให้เกิดการหักดิบในการ dfesign หรือเพื่อทำอะไรบางอย่าง เช่นลักษณะห่อสินค้าหรือ concept ในการนำเสนอ ซึ่งเดี๋ยวนี้โลกเราเปลี่ยนไปแล้วความคิดแบบเดิมหรือการคิดแบบไม่เปลี่ยนแปลงไว้นั้น ถ้าหากมองเป็นเรื่อวดีมันก็ดีได้เหมือนกันแต่หากมองว่าไม่ดีมันก็ไม่ดีได้เช้นเดียวกัน ยังไงก็แล้วต้องทดสอบแล้วก็ดูผลเอาก็น่าจะดีกว่า โก๋แก่จะ present เรื่องซองของเค้าเอามากๆว่าเมื่อมีการ design ใหม่เพื่อการสื่อสาร (เพราะเป็นทางเดียวที่โก๋แก่ทำเพราะว่าไม่ได้ทำ ads ผ่านสื่อใดๆมานานมากแล้ว) ทำให้มี effect ต่อยอดขายอย่างมีนัยสำคัญ แล้วก็มี present เกี่ยวกับเรื่องการเข้าใจแย่งตลาดของสินค้าตัวเอง เพื่อวิเคราะห์ความเป็น market share ออกไปได้ฉลาดกว่าเดิม คือ เค้าคิดว่าให้แยกแยะเป็นสินค้าประเภทถั่วเคลือบและถั่วไม่เคลือบออกจากกันอันเนื่องมาจากผู้บริโภคมองสินค้าเหล่านี้ทั้งสองส่วนไม่เหมือนกัน พวกเคลือบจะเป็น snack ส่วนไม่เคลือบจะเป็นสินค้า basic แล้วก็พูดออกมาคำนึงว่าการทำแบบนี้ คือ แยกแยะจัดหมู่สินค้าตามมุมมองลูกค้าจะเป็นการทำ product portfolio (มันก็คือมีอยู่แล้วนั่นเองวิธีการนี้) ผมก็ว่าจริงๆแล้ว เราก็น่าจะแบ่งสินค้าของเราบ้างเหมือนกันน่ะครับ

โดยสรุปแล้วเนื้อหาดีมากน่ะครับสำหรับสัมนาครั้งนี้คิดว่าถ้าหากว่ามีจัดอีกก็จะไปฟังอีกได้แนวคิดอะไรมาเยอะเหมือนกันเยอะกว่าที่จะพิมพ์ออกมาด้วยซ้ำน่ะครับ

Thursday, July 02, 2009

ทำไมต้องมีอาชีพหรือความชำนาญพิเศษ ? ทำไมเราเลือกที่จะทำอะไรเองหรือว่าจ้างคนอื่นทำ ?

คนเยอะแยะที่อยากจะทำอะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเองแต่ว่าทำไม่ได้หรือว่าถ้าจะทำได้ก็ต้องใช้เวลาหรือการฝึกฝนมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้คนเกินการ trade ความสามารถกันระหว่าง ผลงาน คุณภาพ กับเวลาครับ เช่น ถ้าหากว่าอยากจะออกแบบบ้าน คนที่ไม่เคยวาดภาพออกแบบบ้านมาก่อนแท้ที่จริงถ้าเค้าจะทำเองทั้งหมดย่อมทำได้ แต่ว่าจะกินเวลาแล้วก็คุณภาพสำหรับผลงานครั้งแรกนั้นไม่น่าจะสู้ดีนัก เรียกว่าจ้างมืออาชีพจะดีกว่าเพราะการออกแบบบ้าน สำหรับคนๆหนึ่งที่คิดจะทำเองนั้น โอกาสที่จะเรียนรู้ได้ทักษะมาซึ่งการออกแบบวาดภาพให้ได้ดีนั้นจะกินระยะเวลามาก แต่สำหรับคนที่ทำแล้วทำอีกทำซ้ำทำซากทำเหมือนเดิม เค้าจะมีความชำนาญมากกว่า เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า สิ่งที่แลกกันก็คือ มูลค่าเป็นตัวเงิน กับผลงานที่จะได้ดีในครั้งแรกทันที และ เวลาที่จะไม่ต้องพัฒนาทักษะหรือฝืมือนั้นหากต้องทำอะไรเองเป็นต้นครับ มันจะเป็นแบบนี้สำหรับการออกแบบ website การสร้าง website หรือการทำอะไรพิเศษๆที่มันไม่คุ้มค่าที่จะเรียนรู้เพราะมีการทำน้อยครั้งในชีวิตครับ สู้ให้คนอื่นที่เค้าทำแล้วทำอีกทำไม่ได้แน่ๆ คนเหล่านั้นก็จะยึดทักษะการที่เค้าเหล่านั้นได้ศึกษาหรือมีการทำซ้ำ (อยู่ในวงการ) มานานแล้วเป็นมูลค่าเพิ่มที่คนอื่นเค้าไม่มีกัน และ ยึดเป็นอาชีพหรือทางไหลเข้าของ income ได้อีกทางหนึ่ง

แนวคิดนี้ทำให้ส่งผลไปยังความคิดต่อองค์กรหรือคนอื่นๆว่า ถ้าหากว่ารู้ว่าเราทำอะไรไมได้ดี หรือว่าขี้เกียจที่จะทำ "จงจ้างมือดีที่สุดที่คุณหาได้มาทำแทนซะ"  เพราะฉะนั้นหากว่าคุณจะทำอะไรก็ได้ในโลกนี้โดยที่ไม่ต้องไปเรียนรู้มันทักษะสำหรับบุคคลธรรมดาที่สำคัญก็คือ "ความสามารถในการค้นหามือดี" นั่นเองครับ ทักษะนี้จะกระจายไปให้คนอื่นไม่ได้ ( ณ เวลานี้ยกเว้นจะมีอาชีพ connector เพื่อค้นหามือที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้ผลงานคุ้มค่าต่อเงินว่าจ้างในหลากหลายสายงานครับ) มันจะออกแนวเหมือนกับการจัดซื้อหน่อยแต่ว่าเรื่องนี้เป็นการว่าจ้างแทนครับ ส่วนมาแล้วการที่จะเลือกว่าใครเป็นมือดีจะถามกันไปมาหรือถามกันในวงสังคมที่ตัวเองมีเพื่อให้มีคนแนะนำกันต่อไปเสียมากกว่า หรือว่าหาตาม forum กับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องทำให้คนที่ active มากๆแล้วมีช่องทาเพื่อติดต่อได้ก็จะได้รับงานที่ตนเองถนัดได้ไม่ยากน่ะครับ เพราะฉะนั้นสำหรับบุคคลที่มีความสามารถอะไรบางอย่างเฉพาะที่คุ้มค่าต่อค่าจ้างก็ต้อง post comment หรืออยู่ตาม forum ที่เกี่ยวข้อง (อันเนื่องมาจากการ search ของ keyword ที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง) แล้วก็ post comment ให้ดีให้เด่นไว้น่ะครับ ทำตัวให้เป็นมือดีคนก็จะเชื่อแล้วครับว่าคุณทำงานได้ดีจริงครับผม

แต่ถ้าหากว่าคิดจะทำอะไรเองนั้นคุณก็ยังคิดที่จะทำได้เพราะผมไม่ได้บอกว่าทุกอย่างจะต้องว่าจ้างคนอื่นออกไปทำ วิธีการคิดว่าคุณควรจะศึกษาเองด้วยหรือไม่นั้นก็คิดไม่ได้ยากเย็นอะไร การคิดต้องคิดว่า เริ่มมาถ้าหากว่าคุณรู้ไปด้วยแล้วจะทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีกว่าเดิมมากๆหรือไม่ เพราะคุณเท่านั้นเป็นคนที่เข้าใจตัวคุณเองมากที่สุด หรือว่าการที่คุณเรียนรู้ทักษะนั้นๆแล้วมันมีประโยชน์คุ้มค่ากับเวลาหรือไม่ ถ้าหากว่าคุณคิดแล้วว่าคุ้มจงลงมือทำเองเลยดีกว่าครับ เพราะคุณจะได้ประสบการณฺ์ในการทำสิ่งนั้น แล้วคุณก็จะเป็นมือดีในสายความสามารถที่คุณสนใจนั้นได้เช่นเดียวกัน คนเราจะต้องมีทักษะเพิ่มเติมเข้าไปเพื่อเป็นการเติมความรู้ เติมความคิดและความสามารถเข้าไปด้วย แต่อย่างว่าล่ะครับ คุณต้องเชื่อเสียก่อนว่ามันคุ้มค่าที่จะเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้มันกินเวลาและพลังงานอย่างเห็นได้ชัด (ทั้งนี้ขึ้นกับความสามารถในการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลครับ) จะไม่เท่ากัน บางคนเรียนรู้ได้เร็วก็อัตราความคุ้มค่าก็จะคุ้มเร็วหน่อย โอกาสเลือกที่จะเรียนรู้เองเพื่อทำเองก็จะสูงขึ้น แต่ว่าถ้าหากว่าอัตราการเรียนรู้ในนั้นๆต่ำหน่อย โอกาสความคุ้มต่อการทำเรื่องนั้นๆเองก็จะตำลงมาอย่างเห็นได้ชัดครับ

ความสามารถในการเรียนรู้เรื่องนันๆมันจะเป็นผลสะท้อนมาจากความสนใจ ! เท่านั้นถ้าหากว่าคุณสนใจมันจริงๆ มันสามารถที่จะกินเวลาอย่างที่คุณไม่ต้องรู้สึกว่าโดนดูดพลังงานหรือดูดเวลาไปเท่าไหร่ คุณจะเรียนรู้มันได้เร็วกว่าปกติ เพราะ คุณสนใจมันนั่นเองครับ

และนี่ก็เป็นภาพเหตุและผลว่าทำไมเราเลือกที่จะทำอะไรเอง หรือ ทำไมเราเลือกที่จะจ้างคนอื่นเพื่อทำอะไรบางอย่างนั้นยังไงล่ะครับ