หลายคนกลัวว่าจะเป็นโรคนี้ทั้งๆที่โอกาสเป็น ณ เวลานี้นั้นไม่มาก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่า ถ้าหากว่าเรารับรู้มาก หรือว่ามีการสื่อสารผ่านทางสื่อต่างมาก ทำให้เหมือนกับโรคนี้อยู่รอบตัวเราแล้วก็ใกล้ตัวเอามากๆทั้งๆที่โอกาสนั้นต่ำเหลือเกินคณานับ (กดเป็นตัวเลขในเครื่องคิดเลขไม่ได้ก็ว่าได้) หรือว่าถ้าหากว่าเป็นแล้วก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเพราะโอกาสการที่จะหายได้เองแต่ต้องดูแลตัวเองมันก็เยอะมากโขอยู่เหมือนกัน คนที่เป็นแล้วตายนั้นเกิดจากอาการแทรกซ้อนอื่นๆ หรือว่าเป็นคนที่ร่างกายมีโรคอะไรฝังตัวอยู่ภายในเอาไว้แต่แรกแล้วน่ะครับ
นั่นก็หมายความ การที่สื่ออกมามากมากๆหรือตลอดเวลาแบบที่เป็นอยู่แบบนี้ ทำให้เราสำเหนียกรู้ได้ราวกับว่ามันมีอาการแพร่กระจายได้มากและเร็วเหมือนกับว่าโอกาสการติดโรคนี้เยอะเสียเต็มประดา เรียกว่า การรับรู้มันมากกว่าสถิติน่ะครับ ยังไงเสียก็แล้วแต่การที่สื่อออกมาแบบนี้ก็เป็นเรื่องดีอยู่ไม่น้อยเหมือนกันเพราะ เป็นการกระตุ้นเตือนเพื่อให้เกิดการป้องกันในวงกว้าง กลัวเอาไว้ก่อนก็ดีเพราะจะได้เป็นการป้องกัน (เผื่อเอาไว้) ก่อนก่อนที่จะมีการกระจายตัวของโรคที่มากกว่านี้น่ะครับ แต่แน่นอนว่าอย่าคิดให้มันรกสมองมากเกินไปหรือว่ากลัวจนเกินไป (อะไรที่เกินไปมันก็ไม่ดีทั้งนั้นนะหละ) มันจะทำให้ผู้คนไม่เป็นอันทำงานทำการเสียสมาธิแล้วก็ทำให้จิตใจไม่ผ่องใสได้น่ะครับ กรองความคิด กรองน้ำหนักของข่าว แล้วเอามาคิดต่ออีกครั้งว่า เราต้องคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆมากแค่ไหนกันแน่น่ะครับ แต่ขอให้รู้ไว้ด้วยว่าการที่เรารับสื่อมากนั้น มีแนวโน้มว่าโอกาสนั้นๆจะเกิดขึ้นกับเรา เราจะรับรู้ได้สูงกว่าความเป็นจริงเอามากๆ กรณีที่อาจจะยกตัวอย่างให้ได้ชัดก็เช่น การกลัวเครื่องบินตก เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าคนจะกลัวเพราะว่ามีการส่งภาพและเสียงผ่านข่าวผ่านสื่ออกไปให้เราได้รับรู้ ทำให้ดูเหมือนว่าโอกาสเกิดเหตุนั้นๆมันมากกว่าปกติ แต่เราไม่รู้หรอกครับว่า แท้ที่จริงแล้วการที่เราขับรถไปถึงสนามบินได้นั้นเรียกได้ว่าปลอดภัยไปมากกว่าครึ่งเป็นไหนต่อไหนแล้ว เพราะโอกาสการเกิดอุบัติเหตุอันก่อนให้เกิดความตายนั้นบนถนนเยอะกว่าบนอากาศเป็นไหนต่อไหนน่ะครับ แค่ว่าเรารับรู้เรื่องโอกาสนั้นได้ไม่เท่ากับเรื่องของโศกนาฏกรรมทางอากาศเท่านั้นเองครับ รู้ไว้ใจว่าไว้แล้วกันนะครับผม
No comments:
Post a Comment