weekend ที่ผ่านมาเดินทางไปเที่ยวพัทยากะที่บ้าน แต่ว่าที่ไปก็เพราะว่า ได้รับอิทธิพลจาก ads ที๋ฉายผ่านทาง TV ทำให้ที่บ้านเกิดกิเลสเล็กๆอยากจะไปพักผ่อนกันที่เมืองพัทยา ตอนแรกคิดว่าพยายามที่จะหาทางเพื่อให้ได้ห้องพักฟรีสักหน่อยแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะเกือบทั้งหมดจะต้องทำผ่านรายการหรือวิธีการแนวชิงโชคเสียมากกว่านั้นก็แปลว่าจะได้ไปไม่ไปแหล่แน่ๆหากว่าเอาเงื่อนไขว่า “ถ้าได้ที่พักฟรี ถึงจะไปเที่ยวกัน”
เอาเถอะครับแต่ว่าไหนๆเกิดความอยากไปแล้วก็เลยตัดสินใจกันว่า เราไม่ได้อยากจะได้ห้องพักฟรีสักเท่าไหร่ แม้ว่า feeling สำหรับการได้ห้องพักฟรีแล้วไปเที่ยวกับการไม่ได้ห้องพักฟรีแล้วไปเที่ยวจะแตกต่างกันอยู่บ้าง เพราะของฟรีใครๆก็ชอบเหมือนกับว่าได้รางวัลอะไรสักอย่างมันรู้สึกไม่เหมือนกันแน่ๆครับ
สุดท้ายเราก็เลือกเดินทางไปแบบไม่ได้ห้องฟรีอยู่ดี เดินทางก็ไม่นานเท่าไหร่จาก กทม ขาไปผมเป็นคนนอนหลับในรถไม่ดูทางแล้วก็ไม่ขับอะไรน่ะครับ แล้วเมือ่เดินทางไปถึงก็เข้าห้องพักก่อนเลยเป็นอันดับแรกเพราะว่าน้องแนนนี่เป็นคนจองห้องพักหาข้อมูลห้องพักผ่าน internet เอาก็ไม่รู้หรอกว่ามันดีไม่ดี แต่ว่าเมื่อไปถึงห้องพักแล้ว ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียวกับห้องของมันตราปุระรีสอร์ทแอนด์สปาครับ (ภาพด้านล่างนี้เลยน่ะครับ)
เมื่อไปถึงเอากระเป๋าไปเก็บแล้วก็เดินทางไปยังที่ๆอยากจะไปแต่แรกก็คือ ตลาดสีภาคครับ ที่นี่เหมือนว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ทีมีการลงทุนไปไม่น้อยแต่ว่าก็ไม่น่าจะมากมายอะไรเช่นเดียวกันครับ มันจะเป็นเหมือนกับขุดสระหรือบึงขนาดใหญ่แล้วเอาน้ำเทเข้าไปแล้ว ที่เหลือก็จะเป็นอาคารกระต๊อบเล็กๆเยอะหลังมากๆทำเหมือนกับเป็น complex (แต่ว่ากลางแจ้ง) ต่อกันเป็น booth เชื่อมกันด้วยสะพาน เพื่อทำให้บรรยากาศโดยรวมแล้วเหมือนกับตลาดน้ำ ซึ่งถ้าหากว่าคนที่มาพัทยาปกติก็จะไม่ได้รู้จักหรอกว่า ที่เที่ยวอีกแบบที่เป็นไทยๆก็คือพวกตลาดน้ำแต่ว่าพัทยาไม่มี เค้าก็หัวใส่สรรสร้างออกมาเป็นแบบ fake ๆ ได้น่ะครับ เพราะมันไม่ได้เป็นคลองจริง แล้วมันก็ไมได้เป็นแหล่งชุมชนจริงๆเหมือนกับที่เราไปเที่ยวตลาดน้ำของจริงครับ เอาเถอะครับก็ไม่ได้ว่าอะไรเรียกว่าเป็นการสร้างความสะดวกเพื่อจำลองสถานที่ให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเล่นได้อีกแนวหนึ่งก็ดีเหมือนกันครับผม ที่นี่ของที่ขายก็จะเหมือนกับตลาดน้ำทั่วไปแต่ว่าราคาอาจจะ upgrade ขึ้นไปหน่อยเพราะว่านี่มันเมืองพัทยา เป็นเมืองท่องเที่ยวแล้วก็คนต่างชาติพาทัวร์มาลงกันเยอะอย่างไม่ขาดสายเรียกได้ว่า location นี้มีการทำ PR เป็นอย่างดีเพื่อ่ทำให้เกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ได้เก่งใช้ได้เลยน่ะครับ ผมก็ไม่ได้ซื้อของอะไรที่นี้หรอก อ้อ ..จริงๆก็ซื้อน่ะครับแต่ว่าเป็นของที่ใช้แล้วหมดไปเดี๋ยวนั้นก็คือพวกของกิน ซื้อมาปั้บก็กินปุ้บเลย ก็เช่น ลูกชุบ น้ำชาเย็น (ชาชัก) อะไรเทือกนี้น่ะครับ ของที่เป็นวัตถุเอากลับมาได้จริงๆไม่ได้ซื้ออะไร่นะครับ เพราะ อย่างว่าล่ะครับ คนไทยเราก็เห็นอะไรแบบนี้มาเยอะแล้วเหมือนกับว่าถ้าหากว่าผมเป็นฝรั่งหรือว่าเป็นคนจีนนี่คงจะตื่นตาตื่นใจไม่ใชน้อยเพราะว่ามันเป็นการเอาของประหลาดขอประเทศไทยทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดมาแสดงเอาไว้ ณ ที่เดียวกันน่ะครับ
สุดท้ายในวันเดียวกันนี้ก็เดินทางไปที่ “อุทยานสามก๊ก” ที่ๆซึ่งถ้าหากว่าเราไม่ได้เอา GPS ไปก็ไม่มีทางที่จะเดินทางไปถึงได้ง่ายๆน่ะครับ เพราะ เป็นสถานที่ที่ลึกลับเอามากๆแล้วก็ไม่มีการแสดงป้ายบอกอะไรตามท้องถนนทั้งนั้น นอกจากนี้ถนนหนทางที่ขับเข้าไปด้วย GPS นั่นก็ดูเหมือนกับว่าไม่น่าจะมีอะไรอยู่ข้างหน้าเกือบตลอดเวลา ทำไมน่ะเหรอครับ เพราะว่าที่นี่เค้าไม่ได้ทำการ promote แหล่งท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ครับ ที่แห่งนี้เหมือนจะเป็นสถานที่ๆลูกหลานของตระกูลศรีเฟื่องฟุ้ง ทำขึ้นเพื่อเป็นการตอบแทน หรือทำตามดำริ (ความคิด) ของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วในตระกูล เพื่อเป็นการเอาวัฒนธรรม และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนั้นนับถือเอามารวมไว้ด้วยกันแล้ว เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อให้คนมาสักการะได้น่ะครับ ต้องเข้าใจว่าตระกูลนี้ก็เป็นตระกูลใหญ่ที่มีเงินทุน ลงทุนใน business มากกว่า 50 โรงงาน แล้วก็มีโครงการทางธุรกิจมากมายหลายประเภททำให้มีเงินเพื่อสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ออกมาได้น่ะครับ ตอนที่เดินทางไปถึงปุ้บคนต้อนรับพูดออกมาคำแรกเลยน่ะครับว่า “มาถึงกันได้ยังไง?” เหมือนกับที่ๆนี้ไม่ได้มีคนมากันสักเท่าไหร่ ทั้งๆที่มันแสดงเอาไว้ที่ใบแนะนำแหล่งท่องเที่ยวที่ได้มาจาก information ตามโรงแรมหรือว่า guide book น่ะครับแต่แค่ในนั้นจะไม่ได้แสดงเส้นทางโดยละเอียดทำให้คนปกติที่ไม่ได้หาข้อมูลมาก่อนว่าพิกัดสถานที่อยู่ที่ไหนไม่สามารถที่จะเดินทางไปได้เองแน่ๆ เพราะมันต้องเดินทางเข้าเหมือนกับหมู่บ้านโครงการเข้าไปอีกต่อหนึ่งซึ่งตอนแรกที่เข้าไปก็เหมือนจะไม่มั่นใจเหมือนกันดีที่โผล่หน้าออกไปถามยามเค้าว่า อุทยานไปทางไหน ยามหน้าหมู่บ้านก็สวนกลับบอกออกมาทันทีว่า ที่นี่น่ะหละครับ ! ตอนแรกก็อึ้งไปอยู่เหมือนกันว่าที่แบบนี้จะมีได้ยังไงกันอุทยาน แต่ว่าก็เค้าบอกอย่างงั้นก็ต้องเชื่อเค้าน่ะหละครับ แล้วก็ขับเข้าไปจนมาถึงที่นี่ได้ครับ นอกจากนี้ที่อุทยานจะมีภาพวาดเกี่ยวกับสามก๊กที่วาดบนแผ่นกระเบื้องเซระมิกปะติดเอาไว้ที่กำแพงเป็นเรื่องสามก๊กยาวไปเรื่อยๆราวตัวสถานที่ถ้าหากว่ายืนอ่านเรื่องทั้งหมดคิดว่าน่าจะเป็นชั่วโมงๆอยู่เหมือนกัน ซึ่งผมไม่อ่านแน่ๆครับ เพราะว่าไม่ได้ติดใจหรือว่าชอบอะไรเกี่ยวกับสามก๊กมากนัก คิดว่าบางคนที่ชอบก็น่าจะมีกันที่นี่ก็น่าจะคุ้มค่ากว่าที่ผมมาน่ะครับผม
สำหรับผมแล้วการได้มาที่นี่จุดที่เป็น highlight สำหรับผมจริงๆเกี่ยวกับ อุทยานสามก๊กนี้กลับเป็น “จดหมายเปิดผนึก” ที่มีเนื้อความที่เขียนเอาไว้เพื่อลูกหลานเหลนในตระกูลเค้าน่ะครับ มีการเขียนเอาไว้ก่อนที่คนที่ดำริอยากจะได้ที่นี่เขียนเอาไว้ก่อนที่เค้าคนนั้นจะเสียชีวิตไปครับ เนื้อความเขียนด้วยคำพูดที่เรียบง่ายแต่ว่ากินความเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตและธุรกิจได้อย่างลึกซึ้งตรงประเด็นกันไปเลยผมว่าเนื้อความนั้นกะว่าจะพิมพ์ออกมาที่นี่แต่ว่าต้นฉบับไม่ได้อยู่กับผม (อยู่กะน้องสาวน่ะครับ) ก็เอาไว้มีโอกาสจะพิมพ์เก็บเอาไว้แสดงไว้ที่นี่เหมือนกันเพราะมันสอนอะไรเราได้ดีมากๆน่ะครับ
โดยรวมแล้วถ้าหากว่าจะเดินทางไปไปพัทยาเพื่อให้ไปไหนมาไหนคล่องตัวสำหรับคนที่ไม่กลัว technology แล้วแนะนำอย่างแรงว่าเอา GPS ไปด้วยเพื่อ mark ตำแหน่งต่างๆเอาไว้ก่อน (ที่อยากจะไปทำเหมือนกับผม) โดยการค้นหาตำแหน่งเหล่านั้นใน internet แล้วก็ transfer ข้อมูลเหล่านั้นไปที่ GPS ต่ออีกทีหนึ่งเพราะหลายที่ใน GPS จะไม่ได้มีแสดงเอาไว้น่ะครับ
สรุปเป็นว่า “เที่ยวช่วยชาติ” งวดนี้สนุกสนานดีมากน่ะครับคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปจริงๆครับผม
No comments:
Post a Comment