Sunday, May 16, 2010

บางคนเริ่มรับรู้ว่าบางคนมีจิตใจโหดร้าย แต่ลองคิดให้ดีๆอีกสักทีดีกว่ามั้ยว่า .. อะไรทำให้คนเราดิดอย่างนั้น?

จิตใจคนเราไม่ได้โหดร้ายหรอกครับแค่ว่าเราให้ความสำคัญกับทุกชีวิตที่ไม่เท่ากันครับ เช่น ถ้าหากว่า มีนายเอฆ่าลูกคุณ คุณจะเสียใจกับการสูญเสียชีวิตของลูกคุณ แต่ เมื่อหลังจากนั้นนายเอโดนประหารชีวิตคุณจะเสียใจเหมือนกับที่ลูกคุณถูกฆ่าอย่างงั้นหรือ ? แปลกใจเหรอเปล่าล่ะครับ ว่า ทำไมคุณกลับรู้สึกไม่เหมือนกัน แล้ว คุณทำไมให้ความสำคัญกับชีวิต "คน" เหมือนกันได้ไม่เท่ากัน

คุณอาจจะพอคิดออกว่า เหตุที่คุณให้ความสำคัญแก่ชีวิตได้ไม่เท่ากัน มันมีเหตุผลต่างๆมากมายโดยที่ตัวคุณเองแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณก็คิดแบบนี้เหมือนกัน อันได้แก่

ความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณ : ถ้าหากว่าคุณเจอหน้ากันทุกวัน ปฏิสัมพันธ์กันทุกวัน จะทำให้คนๆนั้นเป็นตัวละครหนึ่งในชีวิตคุณ แล้วคุณก็จะเริ่มเพิ่มน้ำหนักและคุณค่าให้กับคนๆนั้น ถ้าหากว่าเค้าทำให้คุณมีความสุข หรือ ให้ผลประโยชน์กับคุณครับ ถ้าหากว่าลองคิดสถานการณ์ให้เป็นกรณีที่ชัดเจนก็เช่น ถ้าหากว่าพ่อแม่ของคุณไม่ได้เลี้ยงดูคุณแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งเพราะเค้าเหล่านั้นได้เสียไปก่อนแล้ว ระหว่างที่คุณยังเด็ก แล้วคุณก็ถูกเลี้ยงดูด้วย พ่อแม่ไม่แท้ของคุณ เมื่อคุณโตขึ้น ปรากฏว่าพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นเกิดปรากฏตัวด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง อาจจะด้วยความสามารถทางเทคโนโลยีใดๆก็สุดแล้วแต่ แต่คุณจะให้ความรู้สึกผูกสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่แท้ๆที่ไม่ได้เลี้ยงดูคุณและเค้าก็ไม่ได้ผิดอะไรที่ทิ้งคุณไป เมือเทียบกับพ่อแม่ไม่แท้แต่เลี้ยงดูคุณมา

การกระทำของบุคคลที่ทำให้เกิดผลต่อตัวคุณ : แน่นอนว่าเหตุผลนี้ก็ย่อมสัมพันธ์กับข้อที่แล้วไม่มากก็น้อย คือ ถ้าหากว่าคุณมีเพื่อนอยู่สองคน คนหนึ่งจ้องคอยแต่ละทำร้ายทำลายคุณ และอีกคนเฝ้าคอยแต่ช่วยเหลือไปเสียหมดในทุกๆด้าน เรียกว่าเพื่อนสองคนทำดีต่อคุณหรือสร้างผลประโยชน์ให้แก่คุณได้กลับขั้วกันสุดๆ (เพื่อให้เห็นภาพชัด) แต่เมื่อสองคนนี้นั่งรถไปเจอประสบอุบัติเหตุพร้อมกันด้วยเหตุผลเดียวกัน แล้วทั้งสองก็เป็นเพื่อนของคุณทั้งคู่ คุณรู้จักและมีปฏิสัมพันธ์กัน คุณอาจจะแปลกใจว่า นอกจากความเวทนาที่จะเกิดขึ้นนั้น ปกติแล้ว คุณจะรู้สึกได้ถึงความไม่เท่ากันในทันที

การกระทำของบุคคลที่ก่อให้เกิดผลต่อคนอื่น : แนวคิดนี้ก็คล้ายกับข้อเมื่อครู่ก็คือ แทนที่จะเป็นการกระทำต่อตัวคุณ ลองคิดวิเคราะห์กับการกระทำต่อคนอื่นแทน แม้ว่า คนอื่นนั้นจะเป็นคนที่คุณไม่รู้จักแม้แต่น้อย เช่น คนสองคนนี้ คือ คนหนึ่งใช้ปืนยิงหมาน้อยตาย และอีกคนหนึ่งที่เป็นฝาแฝดกับคนเมื่อตะกี้ ยิงคนตาย (คนคือใครก็ไม่รู้ไม่รู้จักแม้แต่น้อย) ทั้งสองคนจะถูกโทษประหาร เพราะมีการทำลายชีวิตสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่ตน คุณจะรู้สึกสงสารได้อย่างไม่เท่ากัน คุณอาจจะคิดว่า ก็อีกคนยิงหมาตายแล้วต้องมาตายมันก็ไม่ควร แต่ที่ผมยกสถาการณ์นี้มาสมมุติให้เพื่อที่คุณจะได้เห็นภาพว่า การกระทำของบุคคล มีผลต่อการให้คุณค่าชีวิตได้ไม่เท่ากัน คุณอาจจะลองคิดต่อว่า ถ้าหากว่า คนทั้งสองคนนี้ถูกเอามาประหารชีวิตโดยที่คุณไม่รู้และไม่มีทางรู้ได้ว่าสองคนนี้ได้กระทำอะไรมาบ้าง คุณจะเริ่มเกิดความสงสาร ต่อคนทั้งสองด้วยคุณค่าของชีวิตที่เริ่มขยับใกล้เคียงกันขึ้นมาทันที

แค่สองสามประเด็นที่กล่าวไปนั้นทำให้มนุษย์เราสร้างกรอบและวิธีคิดครอบชั้นเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก เช่น การแบ่งแยกประเทศ การแบ่งแยกสีผิว ชนชั้น และเผ่าพันธ์ โดยทั้งหมดยังอยู่ภายใต้แนวคิดพื้นฐานเดียวกัน คือ ความสัมพันธ์ และ การกระทำ โดยเกิดความคิดแบบอุปนัย ขยายผล และเหมารวมประกอบเฉลี่ยให้เป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นพรรคเป็นพวก เพื่อให้สมองเราคิดในเรื่องคุณค่าต่อบุคคลคนหนึ่งได้แตกต่างกันอย่างเป็นกลุ่มๆ เพราะ เราก็ไม่ได้รู้จักไปเสียหมดทุกคนได้อยู่แล้ว สิ่งที่เราทำได้ก็เพียงเท่านี้

ประเด็นที่ผู้ถาม ถามเป็นประเด็นทางศีลธรรมที่ถ้าหากว่าคิดกันแท้จริงแล้วกลับเป็นพื้นฐานความคิดอันเนื่องมาจากความต้องการการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตในสัตว์ทุกๆประเภท แค่ชีวิตสัตว์กับชีวิตคนเราก็มองคุณค่าได้ไม่เท่ากันแล้ว ถ้าหากไม่มีความสัมพันธ์อื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง สัตว์บางประเภทมองสัตว์บางประเภทเป็นอาหาร และมองสัตว์ประเภทเดียวกัน เป็นภัยแก่ตัวก็ได้ หรือมองสัตว์ประเภทเดียวกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อช่วยกันล่าสัตว์อื่นก็ได้ อย่างไรก็ดีความสัมพันธ์และการกระทำของสิ่งมีชีวิตตนนั้นๆจะยังคงอยู่ภายใต้สามเหตุผลที่ได้กล่าวไป ผมไม่ได้บอกว่า ถ้าหากว่าเป็นสัตว์แล้วคุณค่าจะลดลง ! เพราะถ้าหากว่าสัตว์นั้นมีความสัมพันธ์ต่อตัวคุณได้ดีกว่าสัตว์มนุษย์ด้วยกันเอง เช่น แฟนคุณเลี้ยงหมาตั้งแต่เด็กมาได้ห้าปีแล้ว แล้วเดินทางไปประเทศที่มีชนเผ่าประหลาดที่กำลังจะประหารชีวิตคนคนหนึ่ง แล้วหันมาหาแฟนคุณบอกว่า แฟนคุณมีสิทธิ์ที่จะเอาหมาที่เลี้ยงไว้โดยประหารแทนเพื่อยกเลิกคำสั่งประหารคนคนนั้นได้ คุณอาจจะเริ่มไม่แน่ใจว่าแฟนคุณจะยอมเอาหมาน้อยใช้เพื่อการนี้หรือไม่

มุมมองเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องประหลาดที่คนอาจจะไม่ได้กลับมานั่งคิดกันเสียเท่าไหร่แต่เมื่อที่คนถามก็ลองคิดๆดูได้ไม่ยากว่า "ทำไมชีวิตถึงได้มีค่าไม่เท่ากัน?" หรือคุณจะบอกว่า "ไม่จริง?"

Friday, February 19, 2010

หิวล่ะซิ : เอานี่ไปกินซะ

ไม่ได้ใช้ animoto ทำอะไรเสียตั้งนานเพราะว่าไม่มีโอกาสได้ใช้มันครับ ยังไงก็ทำเล่นๆเอาของกินมาทำเป็น presentation ประกอบเพลงสักหน่อย อาจจะทำให้เพื่อนๆหิวกันได้ไม่ยาก อิอิ ..

Wednesday, February 17, 2010

แค่ป่วยสั้นๆไม่เกิน 16 ชั่วโมง ก็มาคิดเป็นตุเป็นตะแล้ว

mikan-cute หลังจากที่ไม่ได้ปวยมานาน แค่เมื่อวานก่อนมีอาการป่วยเล็กน้อยเท่านั้นก็ทำให้ไม่อยากจะทำอะไรสักเท่าไหร่เหมือนว่า โลกนี้มันหน่วง มองอะไรก็ดูมึนสภาพโลกไม่เหมือนเดิมมากนัก เมื่อเทียบกับวันก่อนๆที่อาการเป็นปกติครับ

กะการแค่ปวดไหล่ขึ้นมา (อาการก็เหมือนกับปวดคอน่ะหละ) ทำให้การนอน ก็หลับไม่สนิทแล้ว พอหลับไม่สนิททำให้มีผลต่อมายามเช้าทำงานก็ทำได้ไม่สะดวก คิดออกไม่ได้ออกไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป แล้วก็เกิดอาการเหมือนกับจะเป็นไข้อีก พอเจอไปประมาณนี้มันไม่ได้ไม่มีกำลังใจจะไปทำอะไรหรอกครับ แค่อยากให้มันหายไปในทันทีมากกว่า ทำให้คิดว่า หยุด นอน พัก เพื่อให้ร่างกายกลับเป็นปกติให้ได้เร็วที่ดีน่าจะเป็นเรื่องดีกว่า การลอย .. ละเมอไปเฉยๆ (คิดแบบ optimal เหมือนเดิมน่ะหละครับ)

หลังจากคิดได้อย่างงั้นก็จัดแจง ... ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งทำงาน กินข้าว แล้วหายา กิน แล้วก็นอน นอนก็นอนไม่ได้เปิดแอร์เป็นพัดลม ไม่น่าเชื่อว่า ทุ่กอย่างเป็นไปตามที่คิดคือ นอนแล้วจะเหงื่อไหลออกมาจากกว่าปกติมาก แม้ว่าจะไม่ได้ร้อนมากก็ตาม แล้วก็หลับไปบ้างไม่หลับบ้าง (ปกติก็นอนกลางวันอยู่แล้วแต่ว่างวดนี้ก็นอนให้นานกว่านั้นมากๆ) ผ่านไปสามสี่ชั่วโมงเท่านั้น เหมือนสภาพจะกลับเป็นปกติดี กลางคืนก็นอนได้ดีขึ้นไม่ลุกขึ้นมาเหมือนสองคืนก่อนที่นอนไม่หลับต้องมานั่งปวดท้องปวดตัว (ที่ปวดท้องด้วยเพราะว่าตอนเย็นกินข้าวน้อยน่ะครับ )

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าหากว่าเป็นอะไรรีบจัดการมันไปซะด่วน ผมว่าเป็นทางนึงที่จะทำให้หายได้โดยละม่อมเป็น optimal ของการจัดการต่อโรคที่จะเกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้น

การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่คุ้มค่าสุดๆแล้วถ้าหากว่าไม่บาดเจ็บอะไร มันเป็นการสะสมชีวิตเพื่อไม่ให้เกิดความไม่เสถียรของร่างกายในระยะยาว (ผมคิดอย่างงี้จริงๆน่ะครับ สสส.ไม่ต้องมาบอกผมก็ได้ ) เพราะว่าแค่รุมๆไม่มีแรงแค่นี้ผมก็เดือดร้อนเป็นตุเป็นตะในใจแล้ว แม้ว่าผมพยายามจะคิดว่า การเจ็บเป็นเรื่องธรรมโลก แต่ผมก็อยากเลี่ยงอยู่ดี แม้คิดว่าเอาจิตไปเพ่งอยู่ มองมัน แล้วมันจะหายไป แต่ว่าความเจ็บ อ่อนแรงหรือปวดนั้นมันก็มี time span ของมันอยู่จริงมันก็ยังตัดความเจ็บไม่ได้อย่างงั้นหรอก จิตยังไม่ได้ผ่านการฝึกมากเท่าที่ควรในเรื่องของความเจ็บปวดมากนัก ยังทนต่อสภาพที่เปลี่ยนแปลง บาดเจ็บ หรือเพลียไม่ได้

สุดท้ายรู้เลยว่า ความไม่เป็นโรคเป็นลาภอันประเสริฐโดยแท้

Thursday, February 11, 2010

ไปเที่ยวญี่ปุ่นกลับมานั่งคิด ..

zenen2
การที่จะมีชีวิตได้พื้นฐานแล้ว เราต้องไม่เจ็บป่วยอะไร (ถ้าหากว่าป่วยนี่คงเที่ยวเดินๆไปไหนมาไหนไม่ได้แน่นอนน่ะครับ) และ สิ่งที่ต้องการ คือ น้ำและอาหาร เรื่องนี้เหมือนกับว่าเป็นเรื่อง basic แต่หลายครั้งอาจจะลืมคิดไปได้ว่า เราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ถ้าหากว่าคุณมีสุขภาพดีอยู่ เราต้องการแค่น้ำและอาหารที่กินเข้าไปอย่างเหมาะสม เท่านั้นเองก็จะมีชีวิตต่อได้แล้ว .. ง่ายๆแค่นั้น สิ่งที่ทำตอนเที่ยวส่วนใหญ่คือ การหาที่กิน และ กินอาหาร ถ้าไม่กินแน่นอนว่าก็จะไม่มีแรงทำอะไรต่อไปได้

เสื้อผ้าคนเราก็ใส่ได้แค่ที่ละชุดเท่านั้น เหมือนกับว่าถ้าหากว่ามีเยอะไปมันก็หนักเปล่าๆ เกิดการใส่เสื้อซ้ำๆครั้งเป็นจำนวนมาก เราไม่ได้ต้องการให้เสื้อสะอาดเอี่ยมตลอดเวลา สิ่งที่เราต้องการคือ เสื้อผ้าใส่เพื่อไม่ให้หนาว แล้วมักก็ไม่จำเป็นว่าต้องสะอาดมากๆอีกด้วย

เวลานอน นอนแบบ Hostel เรากินพื้นที่การนอนแค่เท่าๆกับตัวเรา x1.5 เท่านั้น (เพื่อความสบายในการพนิกตัวผมถ่วงน้ำหนักเข้าไปอีก 1.5 น่ะครับ) ไม่ว่าเราจะนั่งจะยืนจะเดินหรือจะนอน เรากินพื้นที่ volume บนโลกนี้ก็ไม่เท่าไหร่เอง

แปลกดีที่พักนี้มาคิดอะไรแบบนี้ ..

คนไม่มีสี : เหตุผลร้อยแปดทำไมคนเราไม่เลือกข้าง

อ้างอิง link เกี่ยวกับทัศนะวิจารณ์ เรื่อง คนไม่เลือกข้าง .. ก็เอามาคิดต่อว่าทำไมคนเราไม่เลือกข้าง ไม่เลือกสี

เป็นบทความที่บอกว่า "ไม่เลือกข้าง" แปลว่าเลือกแล้ว แล้วก็ไม่ได้เลือกว่าจะอยู่สีไหน แต่ผมอยากคิดแตกเพิ่มเติมหน่อยน่ะครับว่า คนไม่เลือกสีเหล่านี้มีความคิดเบื้องลึกอะไรกันแน่ ?

คนที่ไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมือง : แน่นอนว่าพวกนี้ไม่มีสีไม่มีข้าง ไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่รับรู้ ไม่จำเป็นต้องรับรู้ เช่น พระสงฆ์(ที่ประพฤติเหมาะจะเป็นพระสงฆ์) เด็กทารก เด็กอ่อน คนเป็นอัมพาต คนที่ใกล้ตายและปลงโลกแล้ว เป็นต้น คนเหล่านี้จะได้รับผลกระทบไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นไปในทิศทางใดก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายก็จะหนีผลกระทบนี้ไม่ผลอย่างแน่นอน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จะเบาหรือแรงแล้วแต่ความไหลเข้าผ่านทางโลกมากแค่ไหนเท่านั้น สำหรับเด็กแล้วแน่นอนว่าตัวตนจะต้องไหลเข้าสู่ทางโลกมากขึ้นทุกขณะ เมื่อโตขึ้นจะต้องกินต้องใช้ ต้องออกสังคม ทำงานถ้าหากว่าเด็กที่กำลังจะโตยังอยู่ในสังคมไทย การกระทำใดๆ จะต้องมีผลให้แก่เด็กคนนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คนที่สนใจการบ้านการเมืองและสนใจตัวเอง (มันจะส่งผลต่อตัวเขาเหล่านั้นแม้จะไม่กระทำการใดๆ) แต่ไม่อยากจะเข้าข้างเพราะเค้าคิดว่าแนวคิดที่มีอยู่ให้เลือกเป็น option แค่ไม่กี่ option ไม่เข้าท่า คนพวกนี้ผม(เดา)ว่าน่าจะมีเยอะอยู่พอสมควรเพราะ มองไม่เห็นทางออกจากการเลือกข้าง ไม่รู้ว่าจะกระทำอะไรเพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหว แล้วผลลัพธ์ที่ได้นั้นจะดีเพียงพอต่อการกระทำ (เลือกข้าง) ของตนหรือไม่

คนที่สนใจการบ้านการเมืองและสนใจตัวเอง (มันจะส่งผลต่อตัวเขาเหล่านั้นแม้จะไม่กระทำการใดๆ) แต่ไม่อยากเข้าข้างเพราะกลัวต่อผลลัพธ์ในการเลือกข้าง : มนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ ถ้าหากว่าเลือกข้างแล้วตนเองมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แล้วผลลัพธ์ออกมาพบว่าตนเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือในการดำเนินการบางอย่าง หรือ ผลลัพธ์ของการเลือกข้างของตนออกมาไม่ดีอย่างที่อยากจะให้เป็นแล้ว จะทำให้ตนเองรู้สึกผิด เพราะตนเองได้มีส่วนต่อการกระทำนั้นๆด้วย ทางที่ดีอย่างเลือกข้างจะดีกว่า จะไม่เกิดความรู้สึกผิดต่อการเลือกข้างนั้น แม้การไม่เลือกสี ไม่เลือกข้างจะเป็นการกระทำ แต่เป็นการกระทำของคนส่วนใหญ่ถ้าหากว่าเกิดผลลัพธ์ใดแล้ว ความรู้สึกผิดนั้นจะกระจายตัว หรือ ผ่อนกว่ากรณีของการเลือกกลุ่มสีใดๆที่มีปริมาณที่น้อยกว่า

คนที่ไม่เลือกข้าง แบบผู้สังเกตการณ์ : คนบนโลกนี้อื่นๆที่คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ(หรือมีเล็กน้อยแค่สะกินเท่านั้น) จากสภาวการณ์ของการบ้านการเมือง และการปกครองของประเทศไทย เช่น Homeless ที่นอนอยู่ที่ถนนในอเมริกา ผู้คนที่ประสบภัยเฮติ ชาวเขาชาวดอย คนชาติอื่นๆที่ไม่ได้ทำการติดต่อค้าขายกับประเทศไทย เป็นต้น แน่นอนว่าคนเหล่านี้"ไม่มีสี"  ไม่เลือกข้างไม่ว่าประเทศไทยจะมีสีหรือข้างให้เลือกก็ตาม มันไม่ได้ส่งผลใดๆกับความเป็นอยู่ของเค้าแม้แต่น้อย ไม่จำเป็นต้องคิดวิเคราะห์ สนับสนุนฝ่ายใด หากคนไทยที่อยู่ในสภาวะการณ์นี้ก็จะตกเข้าไปใน คนไม่เลือกข้างกรณีแรกสุด เพราะถ้าหากว่าเป็นคนไทยอยู่ในไทยแล้วไซร้จะได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นอัมพาตที่ต่อสายอากาศนอนอยู่บ้าน  ถ้าหากว่าเศรษฐกิจไทยเลวร้าย ทำให้คนดูแลไม่มีเงินเพื่อจ่ายค่ารักษา อาจจะทำให้แนวโน้มในการถอดสายอากาศออกมีมากขึ้นได้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ถอดสายจะไม่เกิดก็ตาม แต่ ความเป็นไปได้จะมีมากขึ้น เป็นต้น)

คนไม่เลือกข้าง เพราะรับได้ทุกอย่าง และปรับตัวอยู่กับสภาวการณ์นั้นๆ : แม้ว่าเหตุการณ์จะเป็นไปในรูปทางใด จะไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องให้ตนเองมีความรู้สึกผิด ถ้าหากว่าผลลัพธ์ออกมาไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นไปตามที่ตนเองคาดหวัง แต่กลุ่มคนเหล่านี้ จะเป็นมนุษย์ (หรือสัตว์ประเภทหนึ่ง) ที่มีการปรับตัวต่อสภาวะแวดล้อมได้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของคนเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ดี และ เค้าเหล่านั้นก็ยอมรับ ในสภาวะการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบใดก็ตามได้ เช่น พวกพ่อค้า ไม่ว่าสถาการณ์จะเป็นอย่างไร สิ่งที่คิดหรือทำ ไม่ได้เป็นการเลือกข้างแต่ใช้สถานะการเพื่อการหาประโยชน์จากสังคม หรือนำเสนอประโยชน์ต่อคนอื่นแล้วแปลงประโยชน์ที่ส่วนเกินมาเป็นความมั่งคั่งร่ำรวยของตนเองได้ หรือถ้าหากว่าสถานการณ์แย่มาก คนเหล่านี้ก็มองแค่ตนเองลักษณะการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจของตนมากขึ้นไปอีก

Monday, February 08, 2010

anchor pricing : สินค้าที่ไม่มีตัวเทียบกับประเมินค่า

anchor pricing เป็นกลยุทธ์การตั้งราคาอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ sub-concious ของคนซื้อสินค้า case ที่มักจะเล่ากันก็คือ ถ้าหากว่ามีการเสนอตัวเลขใดๆเข้ามาระหว่างการสนทนา หรือก่อนที่จะเข้าเรื่องการซื้อขายสินค้า ตัวเลขนั้นๆแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับราคาเลยก็ตาม เลขนั้นๆจะมีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตัวเลขใน action ถัดๆไป

คุณมักจะเห็นป้ายราคาที่บอกว่า 199 แล้วก็ขีดฆ่าออกแล้วก็พิมพ์ตัวเลขใหม่ให้เห็นว่า 149 บาทถ้าหากว่าเค้าอยากจะขายราคานั้นๆจริงๆอย่างเดียวทำไม ทำไมล่ะครับ ถึงไม่พิมพ์มันไปเลยว่า 149 บาท แล้วก็ลบของเก่าทิ้ง

สังเกตมั้ยล่ะครับว่า Amazon.com ไม่มีสินค้าตัวไหนเลยที่ขายราคาเต็มหรือถ้าหากว่ามีก็เห็นน้อยเสียเหลือเกิน ไม่ได้เป็นเพราะว่าเค้าขายสินค้าเหล่านั้นได้ถูกว่าราคาเต็ม แต่ราคาเต็มต่างหากที่โดนออกแบบมาให้เป็น anchor price ตั้งแต่ต้นแล้ว

ราคาเต็มจะเป็นตัวกำหนดว่า ห้ามขายสินค้าประเภทนั้นให้มากกว่าราคาเต็มต่างหาก ถ้าหากว่าใครขายมากกว่าราคาเต็มที่ทางผู้ผลิตกำหนดปะเอาไว้ที่ข้างกล่องแล้วล่ะก็แสดงว่าคนซื้อโดนเล่นงานเข้าแล้วยังไงล่ะครับ

ข้อสังเกตอีกอย่างว่า amazon จะบอกเสมอว่า You save ไปเท่าไหร่ อ้อไม่ใช่แค่ amazon คนเดียวที่ทำแบบนี้พวกร้านค้าแนวฝรั่งๆเค้าก็จะบอกเอาไว้เหมือนกันว่า you save เท่าไหร่ โดยจริงๆแล้ว เราไมได้ save อะไรหรอกเพราะว่าเราไม่มีวันที่จะได้มีโอกาสซื้อสินค้าราคาเต็มนั้นอย่างแน่นอนน่ะครับ

ตัวเลขที่คุณเห็นเป็นราคาเต็มจะทำให้คุณเทียบราคาที่คุณกำลังจะตัดสินใจซื้อว่า มันถูกกว่าสิ่งที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่ตัวคุณเองก็ไม่รู้หรอกว่า มันควรจะมีราคาเท่าไหร่กันแน่ ลองคิดดูน่ะครับ ถ้าหากว่า iphone ยังไม่มีขายในโลก แล้วมันทำอะไรได้มากมายกว่าโทรศัพท์มือถือปกติมากนัก คุณจะประเมินได้แค่ว่า มันจะต้องราคาสูงกว่ามือถือธรรมดาแน่นอน แต่ว่ามันจะแพงเท่าไหร่นั้น คุณประเมินเองไม่ได้ครับ แม้ว่าคุณจะรู้เรื่องมือถือมากมายเท่าไหร่ แต่คุณก็ไม่สามารถที่จะประเมินมันได้อยู่ดีครับ คุณไม่รู้ว่าจะเทียบกับอะไรเพราะมันไม่มีอะไรให้เทียบ หรือจุดเทียบนั้นมันห่างไกลกันมากนักยังไงล่ะครับ

ลองนึกย้อนไปตอนที่ไปซื้อของที่เมืองจีน ที่นั่นมักจะมีสินค้าเชิงศิลปะขายกันอยู่ทั่วไป ซึ่งมันประเมินราคาได้ยาก (ไม่มีอะไรเป็นตัวเทียบและไม่รู้ต้นทุนในการผลิตได้ หรือรู้ไปก็เท่านั้นเพราะว่ามูลค่าไม่ได้อยู่ที่ material แต่ว่ามันอยู่ที่ content ต่างหาก) anchor pricing จะถูกใช้งานอย่างเต็มที่ครับ แม้ว่า เราจะมี defend อยู่ในตัวอยู่แล้วก็ตาม คือ ลักษณะการคิดของคนไทยเมือ่ไปซื้อสินค้าจีนก็มักจะบอกว่า ต้องต่อราคาอย่างรุนแรง อย่างต่ำก็ต้องบอกเค้าไปครึ่งราคาเลยดีกว่าเพราะรู้หรอกว่าคนพวกนี้เค้าจะบอกราคาผ่านมาทั้งนั้น แต่เดี๋ยวก่อนครับ ถ้าหากว่าคุณคิดแบบนี้ แปลว่าคุณก็โดน anchor price เข้าแทรกแทรงใน sub concious ของคุณแล้วอยู่ดี แถมมี heuristic และวิธีคิดอย่างเป็นระบบที่ผูกกับราคาที่โดน anchor pricing เข้ามาใช้เต็มๆแล้วน่ะครับ  เพราะว่าอะไรน่ะเหรอครับ ? เพราะคุณกำลังคิดว่า ถ้าหากว่าคุณจะต่อราคา คุณต้องต่อราคาจากราคา anchor price มาอย่างต่ำครึ่งหนึ่งยังไงล่ะครับ คุณก็เอาราคาบอกผ่านเป็นฐานอยู่ดีน่ะหละหรือว่าไม่จริง

อย่างที่บอกไปตะกี้สินค้าที่เหมาะสมกับการใช้งาน pricing แบบนี้คือ สินค้าที่ไม่รู้จะเทียบกับอะไร หรือจะเทียบมันก็เทียบได้ยากเพราะสินค้าที่จะเอามาเทียบนั้นมันไม่ได้ใกล้เคียงกันมากสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเรือ่งคุณภาพหรือว่าการใช้งานก็สุดแล้วแต่ นอกจากนี้คนที่ติด brand ก็จะโดน anchor pricing เข้าเล่นงานได้ไม่ยากเหมือนกันน่ะครับ เพราะภาพ brand name จะมีราคาสินค้าอยู่แล้ว ถ้าหากว่าสินค้าเมืองจีน copy grade A ทำออกมาได้เหมือนมากๆ ในหัวคุณก็เริ่มคิดฐานราคามาจาก ราคาที่สูงมากๆ ของสินค้าประเภทนั้นๆอยู่ดี ทำให้แม่ค้าแทบไม่ต้องบอกผ่านเลยก็ได้ครับ เพราะคุณรู้มาก คุณรู้จัก Brand นั้นแล้วดั้น คุณรู้จักราคาโดยประมาณของสินค้านั้นๆอีกต่างหากครับ

ถ้าหากว่าคุณรู้แบบนี้แล้ว สิ่งที่คุณจะทำได้( หรือคิดได้) ก็คือ คุณรู้ว่าสิ่งนี้มีในโลกจงหาประโยชน์จากมันซะ หรือ อีกความคิดที่ผุดขึ้นมาก็คือ สิ่งนี้มีในโลก คุณต้องละ pricing แบบนั้นออกจากหัวไปได้เลย คุณแค่ประเมินว่า ราคาเท่านั้นคุณจะจ่ายหรือไม่แค่นั้นเองครับ อย่างไรก็ดีตัวเลข anchor นี้จะมีผลต่อคุณถ้าหากว่าคุณได้รับรู้มันแล้วอยู่ดีน่ะครับ (หนีไม่พ้นครับ)

Wednesday, February 03, 2010

KPN AWARD เข้าไปดูรอบก่อนชิงชนะเลิศที่ Moon Star studio (ไม่เคยเห็น studio ให้เช่าแบบนี้)


เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปทำอะไรที่ไม่เคยทำอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเข้าไปดู studio เพื่อการถ่ายทำ KPN AWARD ภาพโดยรวมแล้วตอนแรกถ้าหากว่าไม่ได้มาที่ Studio แล้วล่ะก็ ผมก็ยังคงจะคิดว่า มันจะต้องเป็นเหมือนกับงาน concert ย่อมๆแน่เลยแต่ว่า พอเข้าจริงแล้ว มันย่อมกว่าที่ผมคิดไปอีกสักประมาณ 3 เท่าเห็นจะได้ครับ

สภาพเวทีก็ยื่นเข้ามาในคนดูมาก แล้วก็ยันเกือบจะชมโต้ะกรรมการ (ที่เค้าทำหน้าที่ comment น่ะครับ) แล้วพื้นที่ที่เหลือก็จะเป็นพื้นที่สำหรับวางเก้าอี้กพลาสติกสีน้ำเงินแบบมีผนักพิงให้คนที่เข้ามาชม ผ่านการจองตั๋วล่วงหน้าทาง internet ได้เข้ามานั่ง เรียกได้ว่า กล้องที่ถ่ายออกมาผ่านรายการทีวีให้เราได้เห็นนั้นมันก็มีเท่านั้นจริงๆ อย่าคิดภาพขยายต่อออกไปว่าคนจะต้องเยอะแยะอะไรน่ะครับ

เรื่องที่แปลกใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เราเข้าไปแล้วอารมณ์จะเหมือนกับตัวประกอบของรายการซะมากกว่า ไม่ได้เหมือนกับเข้าไปดู concert แต่ประการใด แม้ความเครื่องเคราสำหรับการแสดงจะครบถ้วนเหมือนกับงาน concert แต่เสียงจะเบากว่ามาก นอกจากนี้ที่แปลกอีกอย่างก็คือ มีการแยกลำโพงของเสียงคนร้องเพลงออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ได้ฟังเนื้อเสียงคนร้องได้ชัดเจน และมันชัดเจนไปกว่าการที่จะเป็น concert เพื่อให้คนดูได้รับฟังเสียงทั้งคนร้องและดนตรีได้อย่างเข้ากันมากที่สุด ผมก็เข้าใจอยู่หรอกว่า เพราะว่างานนี้เป็นการประกวดเสียงร้องมากกว่าการประกวดวงดนตรีทำให้ต้องแยกระหว่างคนร้องและเครื่องดนตรีออกจากกกันแบบนี้ครับ

นอกจากนี้รายการนี้มันจะเป็นรายสด นั้นก็หมายความว่า ทุกคนจะต้องทำตัวสดๆให้คนอื่นได้เห็น ไม่ว่าจะคนพูด (พิธีกร) หรือว่าแม้กระทั่งคนดู และมีเวลาที่พักเบรคตัดภาพออกจากห้องส่ง สิ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนอีกประการก็คือ นอกจากจะมีพิธีกรจริงๆที่เราจะได้เห็นตอน on air แล้ว ยังจะมีพิธีกรที่ไม่เคยได้ปรากฏตัวอย่างใน TV เลยแม้แต่น้อยครับ นั้นก็คือ “พี่ Freeze” เห้นเค้าเรียกกันแบบนี้และ ดูเหมือนว่าคนนี้จะเป็นคนที่คนในวงการน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีระดับหนึ่งเลยทีเดียว หน้าที่ของเค้าคนนี้คือ สลับฉากกับพิธีกรตัวจริง เมื่อพักเบรคคนที่เป็นพิธีกรตัวจริงก็จะได้พักเบรค เพื่อไปเตรียมตัวอะไรของเค้าก็ว่าไป แต่ว่าพี่ Freeze เค้าก็โผล่หัวออกมาจากหลังฉาก และคนๆนี้น่ะหละ จะทำหน้าที่เหมือนกับพิธีกรแทน โดยจะทำตัว ยืนบนเวทีหรือล่างเวลา ทำการสัมภาทย์คนเข้าห้องส่ง และที่สำคัญทำการกระตุ้นให้คนดูที่อยู่ที่ห้องส่งมีส่วนรวมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้จะทำตอนที่ on air ไม่ได้

การสัมภาทย์สามารถทำได้แบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังมากนัก เพราะ ไม่ได้ on air แต่อย่างใด เช่น เอาให้คนอ้วนมาทำท่าแปลกๆ เอาคนแก่ที่เป็นคนดูมากรี้ด (ผมว่าถ้าหากว่า on air มันก็จะดูแปลกๆไปหน่อยจริงๆน่ะหละ) หรือแม้กระทั่งแจกของขวัญให้กับคนดู เรื่องเหล่านี้ถ้าหากว่า on air ก็จะเสีย air time ไปเฉยๆน่ะครับเพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาของรายการสักเท่าไหร่

เอาเป็นว่า หลังจากที่ผมฟังคนที่ร้องประกวดแล้วผมก็กลับมานึกได้อยู่อย่างว่า ถ้าหากว่าเลือกเพลงร้องได้เหมาะกับ range เสียงของตัวเองแล้วสามารถทำเสียงหลบ เสียงหลีกอะไรได้เหมาะสมแล้ว และคุณทำการสั่นเสียงลูกคอได้แล้วล่ะก็ เรื่องอื่นก็เป็นรองมานักไม่ว่าจะเป็นสีหน้าการแสดงออก ถ้าหากว่าผมขึ้นไปเวทีอย่างงั้นผมก็คิดว่าผมก็คงทำท่าทำทางอย่างงั้นอยู่เหมือนกัน เช่น ถ้าหากว่าเนื้อความบอกว่า ไกล ผมก็จะมองไปไกล แล้วก็ทำมือยื่นออกไปเหมือนกับว่า มันมีอะไรไกลๆอยู่ตรงนั้น หรือถ้าหากว่าจะบอกว่า “ฉัน” ก็เอามือมาผะอกตัวเอง เหมือนกับเป็นธรรมชาติการสื่อสารเลยครับ ที่แน่ๆผมว่านะ “เสียงร้องของผมเองก็ไม่ได้ย่อยเหมือนกับถ้าหากว่าเปรียบเทียบกับผู้สมัครคนอื่นๆแล้ว แม้ว่าน้องๆผมจะไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ก็ตาม แต่ว่า .. น่าผมก็คิดแบบนี้อยู่ดีน่ะหละ”


แอบเอาเพลงที่ตัวเองร้องไว้เมื่อนานมาแล้วปะไว้ให้ฟังแล้วกันนะครับว่าเหมือนกับนักร้อง KPN ได้เหรอป่าวน้อ ?

Sunday, January 17, 2010

TCDC สัมนาวันนี้บอกอะไรผมบ้าง ? (reflection note)

รายชื่อ วิทยากร ที่มาคุยกันให้ผมฟัง บนเวที :
คุณพิชิต วีรังคบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายนิทรรศการและกิจกรรมสัมพันธ์ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ,
พูลพัฒน์ โลหชิตรานนท์ ผู้อำนวยการเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บอทานิค จำกัด ,
คุณจีรพรรณ กิตติศศิกุลธร Design Director บริษัท Able Interior workshop จำกัด

Please download file here :
 file ที่ผม Note เอาไว้ได้จากที่นี่ครับก่อนที่จะอ่านเนื้อหาด้านล่าง

วันนี้ไปเดินทางไปฟังสันนาเรื่องประมาณว่า ธุรกิจมี design ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะได้เข้าฟังสัมนาเท่าไหร่เพราะว่าไม่ได้โทรไปจองก่อนก็คิดว่ายังไงซะก็เดินเข้าไปเซ็นเอาหน้างานก็น่าจะได้อยู่ ก็ปรากฏว่า ได้น่ะครับก็เลยได้มีโอกาสเข้าไปฟังกัน

คนฟังเยอะอยู่ครับ เรียกได้ว่าแน่นเต็มจำนวนเก้าอี้ที่เค้าจัดเอาไว้ให้น่ะครับ ประเด็นที่อาจจะเกี่ยวกับเรื่องคอมๆสักหน่อยก็จะมีอยู่ประเด็นนึงครับ แต่ว่าอาจจะต้องเล่าให้ฟังเป็นฉากๆไปจะได้เข้าใจกว่าครับ

คนที่มาบรรยายให้เราฟังจะเป็นคนที่ทำโรงงานทั้งหมดแต่สินค้าของเค้าจะเน้นการ design เป็นหลัก เพื่อให้สินค้าขายออก ถ้าหากว่าเหมือนกับคนอื่นเค้าก็คงไม่ได้ขึ้นเป็นผู้บรรยายในสัมนาครั้งนี้เป็นแน่แท้ครับ คนนึงทำเกี่ยวกับสินค้าประเภทผลไม้แห้ง หรือพวกดอกไม้ตากแห้งแล้วบรรจุ ในนั้นก็จะมีกลิ่นหอมๆออกมาด้วย ตั้งเอาไว้นานๆเข้าก็ต้องทิ้ง เค้าบอกว่าสินค้าแบบนี้เค้าชอบเพราะมันเป็นโอกาสตลาดอย่างเห็นได้ชัดเพราะมันมีการใช้แล้วทิ้งอย่างแน่นอนเพราะว่ากลิ่นมันก็ไม่ได้อยู่ถาวรอะไร ส่วนอีกคนก็จะเป็นคนผลิต furniture ที่เกี่ยวกับ home decoration ตกแต่งบ้านครับไมว่าจะเป็นโต้ะเก้าอี้ โคมไฟและอื่นๆ (ผมไม่ได้เห็นภาพสินค้าที่เค้าทำครับ คนนี้บังเอิญว่าเป็นคน present ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ว่าเค้าจะ design ไม่เก่งนี่ครับ ) แล้วก็อีกคนเป็นคนที่เหมือนจะผลักดัน TCDC ให้มีกิจกรรม มีเรื่องเดินไปได้ แล้วก็เป็นคนที่ทำธุรกิจออกแบบสินค้าใดๆเพื่อให้สินค้านั้นๆขายออกไปได้ เรียกตรงๆเลยน่ะครับว่า ขาย design ไม่สนหรอกว่าสินค้ามันจะเป็นอะไรกระเป๋าก็ได้รองเท้าก็ได้

ร่ายมาเสียยาว ก็จะได้ Get ภาพก่อนว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เป็นคนที่ลอยๆมาแต่ว่าผ่านประสบการณ์การออกแบบสินค้าเพื่อขายให้ได้สู้ตลาดกันหมดทุกคนน่ะครับ ประเด็นที่เป็นประเด็นหลักผมจะเล่าออกมาเป็นข้อๆได้ต่อไปนี้ครับ

1. Online Marketing สำหรับสินค้า Design ยังไม่ได้เป็นที่แพร่หลายมากนัก สำหรับคนไทยแม้กระทั่งผู้ประกอบการที่ทำสินค้าประเภท Design เอง : ตอนนี้คนเหล่านี้ก็ไม่ได้เน้นการ marketing ผ่าน Online marketing แต่ประการใด คนทีทำสินค้าดอกไม้แห้ง ก็บอกออกมาเองว่า ลูกค้าเค้าไม่ได้เข้ามาทางหน้าเว็ปสักเท่าไหร่ ก็แปลว่าเค้าไม่ได้มีคนออกแรงเพื่อให้เกิดการดูดคนผ่านการค้นหาสักเท่าไหร่ หรือว่าอาจจะไม่ได้มีความรู้ตรงๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้ ส่วนคนที่สองทีทำเฟอร์นิเจอร์ไม่ได้มีการ โปรโมตผ่าน online แต่อย่างใด เค้าบอกว่าสินค้าเค้าเป็นตัวบอกต่อให้คนอื่นๆด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว สินค้าของเค้ามีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร แล้วก็การ design เหมือนกับมี Brand signature อยู่ในตัวมันอยู่แล้ว ไม่ต้องตาม Trend อีกต่างหาก ก็น่าจะทำได้น่ะครับเพราะว่าก็ product เยอะแยะที่ทำตัวอย่างงั้น คือ รักษาภาพลักษณ์ และการ design  ให้เป็นแบบตัวเองได้เป็นตัวเองมากจริงๆ เค้าก็จะขายได้อย่างไม่ยากเย็น

2. มูลค่าในการออกงาน Trade show ลดน้อยลงไปเมื่อเทียบกับเมื่อสิบปีก่อน : คนบรรยายบอกออกมาและผงกหัวพร้อมกันราวกับนัดกันมาแล้วครับว่า คนที่เดิน Trade show น้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมัยก่อน มีผู้บรรยายท่านนึงประเมินเอาว่า เป็นเพราะว่าอิทธิพลของ internet ที่จะทำให้ผู้ซื้อกับผู้ขายมีโอกาสได้เจอกันมากกว่า แล้วก็เป็นการลดต้นทุน การ sourcing ของลูกค้า การเดาครั้งนี้ผมไม่เห็นข้อมูล support มากเท่าไหร่ แต่ผมก็เห็นด้วยส่วนหนึ่ง่นะครับ เพราะว่า มี Online Trader website มากมายผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดแล้วก็ website เหล่านี้ก็ทำกำไรระดับโลกเช่นเดียวกัน ถ้าหากว่า มันไม่ได้ก่อประโยชน์แต่อย่างใดเค้าจะทำกำไรจาก profit ส่วนเกินที่ provide ให้กับคนอื่นๆได้อย่างไรกันล่ะครับ ถึงอย่างไรก็ดีทั้งหมดก็ยังออกงานบูทอยู่ดีน่ะครับเพราะว่ามันเป้นประสบการณ์เก่าๆที่ยังบอกเค้าเหล่านั้นอยู่ว่า จะทำให้ได้ลูกค้าอยู่แม้ว่า ลูกค้าจะมาเดินน้อยลงแล้วก็ตามที แต่ก็จะเน้นเพิ่มเติมโดยการ knock door หรือว่านำสินค้าไปเสนอกับลูกค้าในฐานข้อมูลเก่าๆ (คนพวกนี้อยู่ใน business ของตัวเองมามากกว่า 10 ปี) เพื่อเอาสินค้าใหม่ๆไปเสนอได้ไม่ยาก เค้ามี profile ที่ดี มีความฉลาดในการ present มากขึ้นก็จะทำให้ขายสินคค้า Design ใหม่ๆของเค้าเหล่านั้นได้ เช่นเดียวกันครับ

3. submit ผลงานตัวเองกับ "media" : ถ้าหากว่าคุณอยู่วงการอะไรก็แล้วแต่ คุณจำเป็นต้องรู้ว่า website ไหน หรือว่าสื่อไหนที่มีอิทธิพลต่อ potential buyer ของสินค้าคุณได้บ้าง เช่น พวกงาน Design ประหลาดเหล่านี้ ก็จะมี website เหมือนกับเป็นศูนย์รวมของผู้ออกแบบ เอาสินค้าตัวเองมา post โชว์หรือออกสื่อนี้ให้ได้ เมื่อได้ออกแล้วก็จะมีการติดต่อกลับเข้ามายังผู้ผลิตโดยตรงได้ ผมอยากจะมองว่า สื่อที่เป็น inter แล้วเชื่อมต่อคนที่เป็น niche แบบนี้ได้ดีที่สุดไม่ได้เป็นนิตยสารเฉพาะทาง แต่เป็น online website อะไรบางอย่างหรือแม้กระทั่งเป็น weblog (บล็อก) ของใครบางคนที่ทำหน้าที่นี้ครับ ถ้าหากว่าเอาผลงานคุณออกไปสู่สายตาคนซื้อได้แล้วล่ะก็แน่นอนว่าโอกาสทางธุรกิจก็ต้องเกินขึ้นเป็นเรื่องปกติที่จะตามมา

4. มีหลายกรณีที่มีการสั่งซื้อแล้วต้องกระเสือกกระสนเพื่อทำการผลิตให้ได้กับปริมาณที่ลูกค้าต้องการ : สำหรับสินค้าใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะขายได้ดีแค่ไหน (คนผลิตเอาหรือคน design เองอาจจะคิดว่ามันก็ไม่ได้เจ๋งอะไรมากมาย หรือว่ามันก็ยังไม่รู้บอกไม่ได้หรอกว่าจะขายได้ หรือขายดีแค่ไหนกัน ) คนเหล่านี้เมื่อผ่าน process ของการ present ออกไปแล้วไม่ว่าจะเป็นการออกบู้ท หรือ submit ไปยัง media ก็แล้วแต่แผนใครแผนมัน เมื่อได้ลูกค้ามาอัตราผลผลิตจะเป็นปัญหาที่ติดตามมาเป็นเงาตามตัว เพราะลูกค้าเหล่านี้ถ้าหากว่าเป็นคนที่มี buyer connection หรือ network ของคนซิ้อยู่ในมือแล้ว อาจจะมีการสั่งสินค้าที่ present ไปเป็นปริมาณที่มากก็ได้ ปัญหาพวกนี้ก็ต้องเตรียมตัวรับมือครับ แต่ตอนบรรยายก็ไม่ได้บอกว่ารับมือได้อย่างไร เพราะเค้าเหล่านั้นไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นปัญหาเท่าไหร่ เพราะเงินมันก็อยู่ตรงหน้ากันแล้วนี่ครับ จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้สินค้าผลิตส่งได้จำนวนมากๆเท่านั้น มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีจริงเหรอป่าวล่ะครับ

5. การเข้าใจสินค้าหรือผู้ซื้อสินค้าตัวเอง หรือ business ที่ตัวเองทำนั้น ต้อง Get กันระดับ "ดื่มด่ำ" หรือ อีกคนเรียกว่า "เข้าใจแบบของสะสม" มีการเปรียบเทียบความเข้าใจของหมวดสินค้าที่ตัวเองจะขายระดับที่ Design ได้นั้น ไม่ได้เป็นแค่เหมือนกับ อาซิ้มที่ซื้อมาขายไปเท่านั้น เพราะพวกนี้ไมได้ดื่มด่ำแล้วก้ไมได้อินกับสินค้าสักเท่าไหร่ ใจจะต้องรักเข้าใจสินค้าประเภทนั้นๆอย่างบ้าคลั่ง ราวกับเป็นของสะสมของตัวเอง ผมเข้าใจเลยน่ะครับ ระดับนั้นมันคืออะไรเพราะว่าตัวผมเองก็มีของสะสมเป็น ความรู้มายากลอยู่ หรือเรียกว่าเป็นพวก secret collection (รู้สะสมแต่ว่าไม่ค่อยได้แสดงเพื่อหารายได้แต่ประการใด) ผมจะใช้เวลากับพวกนี้มากมาย (แต่ก่อนตอนที่บ้าคลั่ง) แล้วก็ความรู้เหล่านี้ก็สะสมมาเป็นระยะเวลานาน อ่านหนังสือเกี่ยวกับมัน ซื้อสินค้าเกี่ยวกับมันแม้ว่ามันจะแพงถ้าหากว่าเทียกับ material ที่เราได้แต่ว่า มันแอบใส่ valve add เข้าไปเป็นเชิงความลับ หรือ ความเป็นอัจฉริยะในการคิดออกมาวิธีการเล่นกลเหล่านั้นได้อย่างไม่น่าเชื่อทำให้ผมเองก็ลุ่มหลงระดับ passion กับมันเลยครับ แต่ว่านั่นมันไม่ได้เป็น business ของผมแต่ประการใด ในทางกลับกันถ้าหากว่าคุณจำ business อะไรก็ตามเพื่อให้ออกงาน design หรือมีแนวคิดใหม่ๆสำหรับสินค้านั้นๆได้แบบเจ๋งๆ แล้วล่ะก็ การหลงแบบมี passion นั้นเป็นเรื่องจำเป็น (ผมก็คิดแบบนี้น่ะครับถ้าหากว่าคุณไม่ได้รักไม่ได้ชอบเลย หรือเกลียดมันด้วยซ้ำ ก็คิดดูแล้วกันน่ะครับ ถ้าหากว่าแข่งกันระหว่างคนที่รักชอบอย่างบ้าคลั่งกับสินค้าหรือบริการที่เป็น business คัวเองกับคนที่เฉยๆทำ business เดียวกัน ใครจะทำผลงาน กำไร และออกแบบสินค้าใหม่ได้ดีกว่ากัน ) มีการอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ถ้าหากว่าคุณหลงสินค้าที่คุณทำเป็น business แล้ว อย่างอื่นจะ auto ออกมาเองไม่ว่าจะเป็น concept ในการคิดเรื่องการจัดสรรทรัพยากร เวลาของคุณกับ business หรือแม้กระทั่งการมองออกอย่างเป็นรูปธรรมว่า แบบไหนกันที่เรียกว่าเจ๋ง ! ก็คุณรักมันเข้าไส้ซะขนาดนั้นมันก็ต้องเห็นอะไรที่คนปกติมองไม่เห็นเป็นธรรมดาน่ะครับ

6. แนวคิดต้องนอกกรอบ : ไมว่าคุณเรียนอะไรมาก็แล้วแต่ คุณก็สามารถที่จะ design สินค้าหรือบริการที่คุณ passion กับมันได้ไม่ยาก โดยอย่าเอาเรื่องที่คุณรู้แล้ว มาจากการบันทึกเป็น textbook หรือคนอื่นบอกมา (แนวอย่าเชื่ออะไรใคร ) หรือแม้กระทั่งอย่าคิดเหมาเอาเอง (การแยะแยะได้เรื่อง สมมุติฐานจากบทความครั้งก่อนที่ผมก็โม้ให้ฟังเอาไว้แล้วน่ะครับ) มีการอธิบายว่า การแหกกฏจะต้องกระทำเป็นเรื่องปกติอย่างเป็นระบบ สำหรับคนที่ไม่เคยทำ เช่น ถ้าหากว่าคุณอยู่กับห้องประชุมเดิมๆ ประชุมด้วยวิธีการเดิมๆ แล้วคุณจะได้หนทางแก้ปัญหาหรือ product ใหม่ๆออกมาอย่างงั้นหรือ หรือคุณอาจจะต้องฝึกสมองโดยการรวมสินค้า function ใดๆในโลก เข้าด้วยกันเป็นประจำเพื่อเป็นการลับมีดสมองการคิดออกแบบ product ใหม่ๆของคุณเช่น จงออกแบบสินค้าหรือบริการที่มีความสัมพันธ์กันระหว่างเทปกาว กับเสื้อยืด เป็นต้น ซึ่งผมก็แอบเอามาคิดก็ยังคิดไม่ออกน่ะครับว่าจะทำอะไรออกมาเป็น product ได้

7. การแก้ปัญหาด้วยเงิน เป็นวิธีการที่เท่ห์น้อยที่สุด (เรียกว่ามันเจ๋งน่ะครับ) ถ้าหากว่าคุณแก้ปัญหาใดๆดว้ยการใช้เงินจัดการมันแสดงว่ามันผ่านการคิดออกมาน้อยไปหน่อยน่ะครับ เพราะว่า ปกติแล้วผมจะคิดเสมอว่ามันจะต้องมีวิธีการที่ดีกว่านี้ ผมไม่ได้เป็นงก (เท่าไหร่) แต่ก็ชอบที่จะคิดแบบนี้เช่นเดียวกันอะไรที่ทำออกมาแล้วโดยไม่ใช้เงินสักเท่าไหร่ในการแก้ปัญหา แล้วมันแก้ได้เหมือนกัน รู้สึกว่าไม่ต้องใช้เงินเนี่ยะเป็นวิธีการที่ได้ออกแรงสมองเพื่อลับความคิดแล้วก็เจ๋งกว่าน่ะครับ อันนี้ไม่เถียงน่ะครับ แต่ว่าก็อีก เดี๋ยวนี้ก็มีคนที่รับเงินเพื่อออกแรงคิดให้เราได้ด้วยเช่นเดียวกัน (ประเด็นนี้ผู้บรรยายไม่ได้พูดเอาไว้แต่ตัวผู้บรรยายเองก็ทำหน้าที่นี้ให้กับผู้ว่าจ้างคนอื่นๆเช่นเดียวกัน)

8. style เป็น subset ของ Design แล้วก็ Design ก็ไม่ได้แก้ปัญหาการขายของไม่ได้ไปซะทั้งหมด ?  มีประเด็นอยู่ว่าถ้าหากว่าคุณไม่ได้ passion กับสินค้าหรือบริการมากๆ เราจะไม่เข้าใจ content ของความต้องการซื้อสินค้าได้เลย เราสามารถที่จะออกแบบโดยการปรับเปลี่ยน style ของสินค้าได้แล้วแต่ผู้ออกแบบซึ่งมันก็จะมีวันตันได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นแล้วต้องกรองการออกแบบออกมาโดยการใช้ content มากน่าจะเป็นเรื่องดีกว่า

9. "Keep it Simple !"  : เป็นอีก concept ที่ผมบอกว่า ใช่เลยครับ ไม่ว่าจะออกแบบวิธ๊การผลิตหรือสินค้าใดๆก็ตาม หากว่าคุณทำออกมาแล้วเริ่มมีความซับซ้อนเกินไป (คุณรู้หรอกว่าอะไรเรียกว่าเกินไป ) มันจะเริ่มไม่ดีแล้ว แปลว่าอะไรน่ะครับ แปลว่าคุณยังหาวิธีการที่มันง่ายกว่านั้นไม่ได้มากกว่า ความเข้าใจกับตัวสินค้าถ้าหากว่าคุณแสดงมันให้ซับซ้อนลูกค้าก็จะงงๆอีก การนำเสนอจะต้องเรียบง่าย ดูไม่ซับซ้อน มันจะต้องดูไม่ซับซ้อนเกินไปตั้งแต่ตอนออกแบบสินค้ากันเลยก็ว่าได้ ผู้บรรยายเล่าถึงขนาดว่า เอาไม้มาผ่าเป็นท่อนอบกลิ่นมันแล้วใส่กระป๋องแล้วก็นำเสนอออกไป เท่านั้นเองก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำไม่รู้ว่าทำไมมันง่ายขนาดนี้เหมือนกัน ...

10. ทุกคนอยากต้องมอง waste ของตัวเองและของคนอื่น มาเป็น raw material เพื่อเอามาผลิตเป็นสินค้ามี design ของตัวเองให้ได้ : ผมใช้ใจว่าถ้าหากว่าเราฉลาดพอที่จะออกแบบสินค้า (รวมทั้ง process เพื่อแปลงมันให้เป็นสินค้าที่ออกแบบ) ได้จาก ขยะ หรือ สิ่งที่ทุกคนไม่รู้ว่าจะกำจัดมันอย่างไรดี ได้แล้วล่ะก็มันจะเป็นมูลค่าเพิ่มสูงสุดระดับที่ทำให้คนไม่มีอะไรจะทำ ไม่มีอันจะกิน ตกงาน ไร้ความสามารถ (ด้านอื่นๆ) ลืมตาอ้ามากกันได้เลยทีเดียว เรียกว่า valve add มันสูงสุดๆจากการแปลงของไร้ค่าให้เป็นของมีค่าได้ด้วยกระบวนการผลิตที่ออกแรงน้อยสุดๆแล้วก็ได้สินค้ามูลค่าที่ยอมมีคนจ่ายเงินให้กับคุณได้มากสุดๆ (ราคาขาย - ต้นทุนการผลิต - ต้นทุนวัตถุดิบที่เป็นขยะมาก่อน = กำไรนี่หน่า .. >< ) ถ้าทำได้ก็เอาไปกินครับผม แต่ note ไว้นิดหน่อยน่ะครับว่าจะทำอย่างนี้ได้ต้องดูด้วยว่า ขยะมันจะมีเยอะแค่ไหน แล้วจะมีต้นทุนอะไรมั้ยที่จะทำให้ขยะแปลงมาเป็นสินค้าด้วย activity ที่ต้นทุนต่ำ คนที่ขายขยะให้เราเค้าก็ต้องได้กำไรหรือเงินพอที่จะทำให้ตัวเค้าอยู่ได้ด้วยความ happy ไหลผ่านกระบวนการผลิตและ know-how ของเราแล้วก็ออกเป็นสินค้าของเรา ไปให้ลูกค้าได้ความ happy หลังจากการใช้งานได้ ก็จะ happy กันทั้งสาย จะทำให้สินค้านั้นๆยั่งยืนได้น่ะครับ

11. โชว์สินค้าคุณออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ต้องกลัวโดน Copy : มีการกล่าวอ้างว่าถ้าหากาว่าคุณคิดอยู่เสมอจะทำให้คุณวิ่งนำหน้าผู้ที่จะ Copy คุณตลอดไปและจะทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆด้วย เพราะคนที่ไม่ได้ฝึกวิ่งมาก็จะวิ่งได้ช้า ถ้าหากว่าคนวิ่งเป็นประจำก็จะอึดกว่าและวิ่งได้เร็วกว่า ทำให้ระยะทางก็ต้องห่างออกไปเรื่อ่ยๆเมื่อวิ่งไปพร้อมๆกัน (เหมือนกับโจทย์ physics ม ปลายยังไงก็ไม่รู้แฮะ) ยังไงคุณก็ต้องโดน copy อยู่แล้วถ้าหากว่า product คุณเจ๋ง ! เรื่องนี้โดนตีความออกเป็นสองส่วนที่ทำให้คน C&D ( Copy and Develop) ตามคุณได้ไม่ทันก็คือ Know-how ในการผลิต (ถ้าหากว่ามันมี trick นิดหน่อยก็จะเป็นเรือ่งดี ไม่ใช่ทุกคนก็ทำได้หมด ) แต่ถ้าหากว่ามันง่ายจัดๆก็ไม่ต้องอ่อนระทวยไป ยังมีอีกเรื่องก็คือ การ present สินค้าถ้าหากว่าคุณ present ได้ดูดีตรงใจ คุณก็จะได้กินตลาดไปก่อนอยู่ดีน่ะหละ

12. imaginative -> creative -> innovative อย่ากลัวที่จะคิดเพราะว่ามีคนบอกว่าก็คนอื่นเค้าไม่ได้ทำกันแบบนี้ ! มันจะทำให้ imagine ของคุณย่อยสลายไปได้ ทุกอย่างเริ่มจากจินตนาการอันเพ้อฝันก่อนทั้งนั้นน่ะครับไม่ว่าสินค้าหรือบริการอะไรที่เราสำเหนียกรู้ได้ผ่านผัสสะทั้งห้าของเราตอนนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว คุณต้องเก็บความเป็นเด็กเอาไว้ในตัวเพื่อสร้าง จินตนาการ เพื่อต่อยอดออกเป็้นความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็ออกแรงทำสินค้าออกมาได้จริงเป็น นวัฒกรรมต่อไปครับ

... ประเด็นมากมายที่อาจจะยัง reflect ออกมาตอนนี้ไม่ออกเพราะว่า note ที่ผมจดเอาไว้ไม่ได้อยู่กับผมตอนนี้น่ะครับ ยังไงถ้าหากว่าได้อ่าน note แล้วผมจะเอามาตีประเด็นต่ออีกเป็นภาคสองน่ะครับ ^_^ ..

Friday, January 15, 2010

สิ่งพึงระวังในการคิดถึงปัญหาและการแก้ปัญหา

ตอนที่เราทำงานใดๆหรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิต คนเรามักจะเจอปัญหา หรือ สิ่งใดที่เราคิดว่ามันเป็นปัญหา หรือ อุปสรรค ต้องบอกเอาไว้ก่อนเลยว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จำเป็นต้องเจอ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ผมชอบเรียกสิ่งนี้ว่าการกรุยทาง (ถ้าหากว่ามันเป็นการทำอะไรก็ตามที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วมีเป้าหมายใดๆอยู่ด้านหน้า ) คุณอาจจะไปไม่ถึงเป้าหมายแล้วตกหลุมกับดักระหว่างทาง แม้กระทั่งเจอกับก้อนหินหรืออุปสรรคที่อาจจะทำให้คุณหยุดอยู่ตรงนั้นหรือไม่ก็หันไปมองทางอื่นแทนก็ได้ (ซึ่งมันก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้ผมไม่ได้บอกว่าการมองไปที่อื่นมันไม่ดีนี่หน่า )

แนวคิดหนึ่งที่สำคัญในการจัดการกับปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นนั้น หลักๆแล้วผมเห็นภาพจากการที่ต้องดิวงานกับคนอื่นๆ ออกเป็นได้แค่ไม่กี่ประเด็นเท่านั้น เพื่อให้การมองและแก้ปัญหานั้นกระทำได้อย่างชาญฉลาด จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือว่า จำแนวคิดเหล่านี้ไว้ในหัวอยู่เสมอครับ

- ปัญหานั้นคือปัญหาหรือไม่ : แน่นอนว่าถ้าหากว่าคุณเจอตอเข้าให้ในการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งที่เป็นเป้าหมายปลายทางนั้น อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้แล้วมันจะทำให้คุณคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นปัญหา แต่ผมต้องบอกเอาไว้ก่อนเลยว่า คุณแน่ใจแล้วเหรอครับ ว่าสิ่งนั้นมันคือปัญหา คุณมองมันไม่เป็นปัญหาอะไรได้หรือไม่ หรือว่าคุณเอาอะไรเป็นหลักฐาน หรือแนวในการคิดว่าสิ่งนั้นมันเป็นปัญหา การที่เราเห็นสิ่งที่เป็นตอทางตัน แล้วคุณจะเริ่มตั้งโจทย์ขึ้นมาในใจทันที พึงระลึกไว้เสมอว่า "คุณตั้งโจทย์ที่ถูกต้องแล้วหรือไม่" เพราะหลายต่อหลายครั้งในการแก้ปัญหา ปรากฏว่า เราทำการทดสอบทดลอง หาวิธีการ ออกแรงคิดไปต่างๆนานามากมายก็พบภายหลังว่า "โจทย์ผิด" ทำให้เราเสียแรงและพลังงานไปกับการแก้ปัญหาที่ผิดโจทย์ ซึ่งมันน่าเศร้ามากกว่าการที่คุณไม่ได้ทำอะไรเสียด้วยซ้ำ นอนเฉยๆจะดีกว่า ยิ่งถ้าหากว่าคุณเป็นระดับที่กำหนดให้คนอื่นทำงานให้คุณได้ด้วยแล้วล่ะก็ คุณน่ะหละต้องยิ่งคิดเข้าไปใหญ่ว่า โจทย์ที่คุณกำลังจะใช้คน แรงงาน ความคิดไม่ใช่แค่ของตัวคุณเอง แต่เป็นคนอื่นๆที่ต้องรับเรืองต่อไปจากคุณต้องมาออกแรงด้วยเช่นกัน ถ้าหากว่ามันผิดโจทย์แปลว่า มันผิดพลาดเป็นทวีคุณ หลายเท่าพันทวี ผิดอย่างไม่น่าให้อภัยได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากว่าคุณเป็นผู้ว่าจ้าง (จ่ายเงินเพื่อให้คนอื่นๆทำอะไรก็สุดแล้วแต่) แล้วคุณตั้งโจทย์ที่คุณคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นปัญหาที่จะต้องทลายมันไป แล้วคุณตั้งผิดโจทย์ ก็แปลได้ง่ายกว่านั้นอีกก็คือ คุณเอาเงินไปเผาเล่น แล้วทุกคนก็เหมือนกับมีอะไรทำ ทั้งๆที่ไม่ได้ผลอะไรออกมาทั้งนั้น เหมือนว่าจะแก้ปัญหา แต่ว่าปัญหานั้นไม่ได้ปัญหาตั้งแต่แรกแล้ว project ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งต้องคิดมากเรื่องนี้ครับ  คุณอาจจะสงสัยว่าแล้ว ปัญหานั้นมันเป็นปัญหาจริงเหรอป่าว จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ? วิธีการก็คือ คุณจะต้องเริ่มทำตัวเป็นนักสืบ เสาะหาข้อมูลเพิ่มเติมให้ได้มากที่สุด จากความสามารถที่คุณมีอยู่ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็คิดวนซ้ำไปมา แล้วถามตัวเองว่ามันใช่จริงเหรอ เท่านั้นก็อาจจะเพียงพอแล้วใน case ที่ไม่ได้มีความยุ่งยากมากนัก คุณจำเป็นต้องแยกแยะสมมุติฐานที่มีอยู่ในหัวคุณให้เป็น แนวคิดนี้ เป็นแนวคิดที่พระพุทธเจ้าก็บอกเอาไว้เหมือนกันว่า อย่าไปเชื่ออะไร จนกว่าจะได้พิสูจน์ครับ ไม่เช่น แม้กระทั่งพ่อแม่ ครูอาจารย์และตำรา ที่เค้าเขียนมา (และไม่เชื่ออื่นๆอีกหลายอย่างผมจำไม่ได้แต่ว่าครอบคลุมมากๆ กาลามสูตร ครับอันนี้) เรื่องนี้ผมเคยเล่าเรื่องง่ายให้ฟังเรื่องการตั้งโจทย์ผิดเช่น ผมใส่เข็มขัดแล้วมันไม่มีรูให้ผลเอาหัวมันสอด lock ได้เพราะว่าซื้อมาไม่ได้ไปให้ร้านเค้าเจาะรูเพิ่ม โจทย์ที่คิดออกมาแบบไม่คิดมาก คือ "ทำยังไงให้มันมีรูเพิ่ม" นั่นน่ะซิผมไม่เคยคิดหรอกว่า โจทย์ผิด ทำให้ผลไปหาอุปกรณ์ต่างๆนานาๆมาเพื่อจะไปเจาะรูมัน (คิดว่าหาง่ายเหรอป่าวอ่ะครับ) หรือว่าคิดว่าจะขับรถไปติดต่อกับห้างร้านเพื่อให้เค้าเจาะรูเพิ่ม อืม .. มานั่งคิดอีกที อ้าวโจทย์ผิดจริงๆด้วย เพราะว่าสิ่งที่ผมต้องการคือ ทำยังไงให้ใส่เข็มขัดได้ต่างหาก อืมก็คิด ถ้าหากว่าเราย้ายรูที่มีมาอยู่ในตำแหน่งที่เราใช้ได้ก็จบเหมือนกัน อืม .. งั้นก็ตัดสายเอาก็ได้นี่หน่า ไม่เป็นไรนิเราก็ใส่อยู่คนเดียวไม่ได้ให้คนอื่นใส่สักกะหน่อยไม่ต้องให้เข็มขัดมัน free size ซะขนาดนั้นนี่เนาะ ผมก็เอากรรไกรมา แล้วก็ตัดปลายสาย(ด้านต้นสายน่าจะเรียกถูกกว่าน่ะครับ) ก็ ... จบ problem solved ! เท่านี้เอง ผมยกตัวอย่างเล็กๆให้ฟังเพราะว่ามันอ่านง่าย get ง่ายน่ะครับแต่วาถ้าหากว่าเป็นปัญหาระดับใหญ่ขึ้นคุณก็จะรู้ได้เลยว่า มันจะเดือดร้อนแค่ไหนถ้าหากว่าคุณตั้งโจทย์ผิด!

- มันมีวิธีการแก้แบบที่ง่ายกว่านี้เหรอป่าว : เมื่อคุณคิดว่าปัญหาที่เจอมันใช่แล้วด้วยการคิดวนซ้ำไปๆมาๆหรือว่าหาหลักฐานสั้นๆก่อนว่ามันใช่ปัญหาจริง หรือใช่ปัญหาอย่างแน่นอน แนวคิดที่คุณต้องคิดต่อคือ คุณจะเริ่มหาทางออก แต่อย่างไรก็ดี การหาทางออกคุณจะได้ความคิดวูบแรกออกมาเป็นประจำ รวมทั้งถ้าหากว่าคุณคุยกับคนในทีม หรือ คนอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็เค้าก็จะมีวิธีการแก้ไขให้ได้เช่นเดียวกัน แต่จำไว้เลยว่า ความคิดเหล่านั้นไม่ได้แปลว่า เป็นการแก้ปัญหาที่ชาญฉลาดที่สุด ผมอยากนิยามว่า ฉลาด คืออะไรสักหน่อยน่ะครับ คือ การแก้แบบฉลาดแปลว่า คุณจะใช้แรง กำลัง ความคิด เงิน เวลา ทรัพยากรใดๆที่คุณมีอยู่น้อยที่สุด เพื่อให้ปมปัญหานั้นคลายตัวออกไป ถ้าคุณแค่ดีดนิ้วแล้วปัญหามันหายไปเลย แน่นอนว่าดีกว่าเป็นไหนๆถูกเหรอป่าวล่ะครับ นั้นน่ะหละครับเป็นประเด็นที่ว่า "คุณต้องคิดหาวิธีการที่ง่ายเอาไว้ก่อน" ผมไม่ได้คิดว่าเป็นการแก้ปัญหาแบบลวกๆน่ะครับ มันเป็นการแก้ปัญหาแบบฉลาดตะหาก เพราะถ้าหากว่ามันตอบโจทย์ได้เหมือนกัน ทำไมต้องทำให้มันยากด้วยเล่า เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อคุณคิดว่านี่เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาแล้วล่ะก็ คิดย้ำซ้ำไปอีกทีว่า "มีวีธีที่ฉลาด(คือง่ายกินทรัพยากรน้อย)กว่านี้หรือไม่เท่าที่คุณและที่ปรึกษาหรือทีมงานของคุณจะคิดออก" เรื่องการแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ง่ายกว่านี้ ผมเจอกับตัวเองมาเยอะครั้งมากแล้ว สมมุติว่ากลับมาตัวอย่างเข็มขัดกันดีกว่า เพราะว่าง่ายดี ที่เข็มขัดจะมีห่วงอยู่ แล้วเวลาใส่เข็มขัดจำเป็นต้องให้ปลายสายมันอยู่ lock ในห่วงเข็มขัด ปลายมันจะได้ไม่ยื่นออกมามากนัก แปลว่า ห่วงต้องอยู่ที่เอวหรือค่อนไปทางซ้าย ก็แปลว่าห่วงต้องลอดหูกางเกงไปให้ได้ (แอบมีการตั้งโจทย์ผิด) วิธีการแก้ปัญหาที่จะคิดออกทันทีคือ คุณก็พยายามดันห่วงเข็มขัดลอดหูกางเกง ซึ่งกระทำได้ยากบ้างง่ายบ้างแล้วแต่กางเกงที่ใส่น่ะครับ ผมก็ละเมอคิดไปไกลว่า เอ้ย ทำไมกางเกงมันไม่ออกแบบมาให้หูมันกว้างกว่านี้ ทำไมไม่คิดถึงตอนสอดห่วงเข็มขัดกันล่ะเนี่ยะ แต่ว่าแน่นอนว่าการแก้ปัญหาแบบนี้กระทำเป็นประจำทุกเช้า จนต้องมานั่งคิดว่า "การแก้ปัญหาเรื่องนี้ มันมีวิธีการแก้ที่ง่ายกว่านี้เหรอป่าว?" ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วถ้าหากว่าคุณคิดเพิ่มมัน "มี" ครับ จริงๆแล้วขอแค่คุณถามตัวเองเท่านั้นเองว่า วิธีง่ายเนี่ยะมันมีเหรอป่าว มีเหรอป่าวๆๆ .. แล้วคิดๆมันน่ะครับ มันจะหาเจอครับผม และแล้วก็คิดออกจนได้ วิธีการก็แค่ว่า ก่อนใส่เข็มขัด ก็ถอดเอาห่วงเข็มขัดออกมาแล้วก็แนบไว้กำกางเกงตำแหน่งที่จะให้มันอยู่ไม่ต้องเอาไปลอดหูกางเกงหรอก แล้วก็เอาเข็มขัดสอดเข้าหูกางเกงแล้วก็ผ่านเข้าห่วงก็เสร็จแล้ว เท่านี้เอง .. กลับมาภาพขยาย scale ความเดือดร้อน ถ้าหากว่าคุณเจอปัญหา แล้วแน่ใจว่ามันเป็นปัญหา แล้วคุณคิดวิธีการแก้ปัญหาออก อย่าเพิ่งดีน่ะครับว่า มันเจ๋งแล้วครับ เพราะถ้าหากว่าคุณรู้สึกว่ามันยังยากอยู่ขอให้เริ่มทันทีเลยน่ะครับ ว่ามันมีวิธีการที่ง่ายกว่านั้นหรือไม่ (แน่นอนว่ามันต้องมีแค่ว่ามันจะคิดออกหรือไม่เท่านั้นเอง) ประเด็นคือ คุณต้องจำไว้ว่า ต้องถามตัวเองประโยคนี้เท่านั้นเองครับ ไม่งั้นคุณอาจจะพลาดเสียพลังงานไปเยอะแยะมากมายโดยแก้ปัญหาได้เหมือนกันเมื่อเทียบกับวิธีการที่ฉลาดกว่ายังไงล่ะครับ (โง่ก่อนฉลาดทีหลังออกแนวประมาณนั้นครับ)


- สิ่งทื่คิดอยู่นั้นมันมีสมมุติฐานใดๆซ่อนอยู่หรือไม่ : ระหว่างทางในการคิดว่ามันเป็นปัญหาหรือไม่ รวมทั้งการคิดหาแนวทางแก้ปัญหา ประสบการณ์ของคุณโดนดูดมาเพิ่มประมูลผลในหัว (เหมือนกับ CPU computer ที่มันกระพริบๆที่คอมคุณน่ะหละ) สิ่งที่พึงระวังอย่างที่สุด ! คือ

1.สิ่งที่คุณเชื่อจนคุณคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นจริง
2. Bias จากอารมณ์ (จริงๆแล้วมันจะมีเยอะแยะแยกได้หลายอย่างแต่หลักๆที่กระทบคือ Bias จากอารมณ์ครับ ความคิดไม่นิ่ง มีจริตคิดว่าคุณนู้นดี ความคิดนั้นไม่ดี คนอื่นโง่กว่า ตัวเองฉลาดสุดๆ (ถ้าหากว่าคุณตอบคำถามรายการ mega clever ฉลาดสุดๆถูกทุกข้อคุณค่อยคิดว่าตัวเองฉลาดสุดแล้วกันนะครับ) หงุดหงิดหรือแม้กระทั่งง่วงนอน)
3. ควาทรงจำที่ผิดพลาดจนคุณเหมาเอาว่าเป็นประสบการณ์จริง (เป็นการบิดเบี้ยวจากควาทรงจำ)
4. สิ่งที่คุณไม่เชื่อ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่คุณก็ไม่เชื่อมันจริงๆอยู่ดี

จากข้อ 1 - 4 ที่กล่าวมานี้ คุณจะเห็นได้ว่าคุณแทบไม่รู้ตัวเลยว่าอะไรจริงอะไรเท็จ อะไรเป็นสมมุติฐาน แล้วอะไรเป็นความจริงที่ได้พิสูจน์แล้ว ถ้าหากว่าใครรู้จักผมจริงๆ แล้วมีคนมาถามเรื่องนู้นเรื่องนี้กับผม แล้วผมไม่รู้ผมจะบอกว่าไม่รู้ต้องหาข้อมูลก่อน หรือบอกว่าไม่แน่ใจ เพราะว่าผมรู้ว่าถ้าหากว่าผมพูดมั่วมากเกินไป หรือว่าพูดบอกไปเลยจะทำให้การวิเคราะห์โดย CPU คนอื่นผิดพลาดได้เนื่องจากแหล่งข้อมูลโดยบิดเบียน ซึ่งผมก็โดนเป็นประจำ มันแย่กว่าการคิดโจทย์ผิดซะอีก คุณคิดถูกจากการได้ข้อมูลที่ผิดพลาดมันน่าเจ็บจี้ดเหรอป่าวล่ะครับนั่น

ความสามารถในการแยกแยะความจริง สมมุติฐาน unknown และความเชื่อออกจากกันได้อย่างสมบูรณ์เป็นทักษะที่ต้องฝึกไม่มีใครบอกคุณได้หรอกว่าคุณจะต้องแยกมันยังไง เพราะผมก็ไม่รู้หรอกว่าคุณผ่านอะไรมาบ้าง อยากจะให้ระลึกไว้เสมอว่า สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผลของ CPU ในหัวใบเล็กๆของคุณ แล้วคุณจะแก้ปัญหาของโจทย์ที่ถูกต้องอย่างชาญฉลาดครับผม ฝึกฝนกันต่อไป ...

[ เนื้อความนี้สามารถ copy เผยแพร่หลายราญได้อย่างไม่จำกัด เอาไปปะไว้ได้ทุกที่ทุกเว็ปครับไม่ต้องให้ credit ใดๆ ไม่ใส่ใจแค่อยากให้ระวังกันให้มากเป็นดีครับผม ^_^ จาก คนเขียน blog : http://rackmangerpro.com และ http://rackmanager.blogspot.com ]