Monday, May 18, 2009

การกระจายความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบความคิด .. อืม น่าคิดอยู่เหมือนกัน ..

มีเหตุผลปกติอยู่แล้วทำไมลูกค้าจำเป็นที่จะต้องมีมายราย เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงหากว่าลูกค้ารายนั้นๆเกิดเปลี่ยน supplier ก็จะทำให้การผลิตทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด เกิดปัญหาเรื่องการผลิตทันที นั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ไม่สามารถหา royalty กับผลิตภัณฑ์ได้ แต่ถ้าหากว่า เราสามารถที่จะทำให้เกิดการติด และไม่สามารถที่จะหา supplier รายอื่นๆได้นั้น มันก็เป็นแค่ "ความฝัน" สิ่งที่เป็นไปได้มันเพียงแค่ "การครองตลาดอย่างโมโนโปลี่ (รายเดียว) ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เน้นว่าแค่ขั่วระยะเวลาหนึ่ง" ความคิดแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะเราก็เห็นๆกันอยู่ว่า ไม่มีใครที่จะครองตลาดเดิมไว้ได้ตลอดเวลา จะมีคนที่จะเข้ามาเพื่อตีตลาดหรือคิดอะไรที่ใหม่กว่าหรือดีกว่าทั้งด้านต้นทุนหรือเทคนิค เรียกง่ายๆว่า "มันเจ๋งกว่า" ก็ว่าได้

การกระจายความเสี่ยงนั้นอาจจะพิจารณาคิดได้ว่า เราสามารถที่จะเพิ่ม product หรือความแตกต่างของสินค้าในกลุ่มเดิมที่เราทำได้ หรือการทำสินค้าใหม่ๆ ที่เพิ่มหรือขยายขอบเขตของตลาด (อ่านเรื่อง blue ocean ที่เคยพิมพ์เอาไว้ได้เลย) มันแปลว่าอะไร ? มันแปลความแบบเดียวกับที่ทาง WII ทำยังไงอย่างงั้น คือ WII ไม่ได้สร้างเกมส์อะไรที่เน้น graphic ออกมาเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่คนอื่น(ค่ายเกมส์อื่นๆ ) ก็จะทำให้ภาพสวยและมันส์ คนที่ต้องการภาพสวยและมันส์จะเป็นพวกที่เล่นเกมส์มาแล้วแต่ไหนแต่ไร แต่สิ่งที่ WII ทำคืออะไรน่ะหรอครับ ? เค้าทำให้คนที่ไม่เคยเล่นเกมส์หันมาเล่นและอยากจะซื้อเจ้าเครื่อง Wii นี้ซึ่ง xbox360 ไม่ได้มีความดึงดูดอย่างนี้เลยแม้แต่น้อย 

Wii ทำอะไร? Wii ขยายตลาดออกไปที่ xbox และ game console อื่นๆ ทำอะไรไม่ได้หรือไม่เคยคิดจะทำ หรือไม่เคยทำมาก่อนแม้แต่น้อย แปลกที่ว่าฝรั่งทำเรื่องแบบนี้ไม่ทันญี่ปุ่น (แอ้ะหรือว่านี่มันก็พวกฝรั่งคิดทำกันหมดอันนี้ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้ใครเป็น mastermind อยู่เบื้องหลังกันแน่)

ตะกี้ที่พิมพ์ความคิดเก็บเอาไว้ จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของการลดความเสี่ยงโดยการขยายตลาด ในแบบต่างๆ ที่ได้กล่าวเอาไว้ คือ "เพิ่มชนิด product ในตลาดเดิม"  หรือ "เพิ่ม product ในตลาดใหม่ที่มีอยู่เดิม" หรือ "เพิ่ม product ในตลาดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน" (blue ocean)

การเพิ่มตลาด เพื่อลดความเสี่ยง (เสี่ยงอะไรกัน? เสี่ยงที่ว่าจะทำให้องค์กรทำขาดสภาพคล่อง หรือ เสี่ยงเจ้ง หรือปิดไป ว่างงานไม่มีอะไรทำ) แบบนี้ไม่สามารถบอกได้ว่า ทำแบบไหนแล้วจะดีที่สุด หรือ จะให้ผลกำไรได้ดีที่สุด (ลดความเสี่ยงต่อการเข้งขององค์กร) เพราะมันขึ้นอยู่กะว่า เราคิดอะไรแบบไหนออกมากกว่า เพราะถ้าหากคิดออกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเราใช้เวลาเพื่อผลักดันมัน แล้วไม่คิดอะไรอื่นๆ ต่อ (แน่นอนว่าการเลือกกระทำอะไรไปแล้ว มันก็จะ take action time และ กำลังงานทั้งนั้น เกือบจะเหลือความคิด action เพื่อไปทำอย่างอื่นได้น้อยลงยังไงอย่างงั้น)

จากตะกี้จะพิมพ์ไว้จะเห็นได้ว่าผมไม่ได้พูดอย่างหนึ่งคือ การลดความเสี่ยง"ด้วยการทำธุรกิจมากกว่า 1 ประเภท หรือ ที่เกี่ยวข้องกัน" แนวคิดแบบนี้จะส่งผ่านไปหาคนที่คิดว่า ฉันมีความรู้ความสามารถแบบนี้ ฉันก็จะทำแต่เรื่องนี้และ/หรือทำแค่ธุรกิจอันเกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมของตน  ผมไม่บอกว่า การคิดแบบนี้ผิดแต่อย่างใดๆ เพราะ สิ่งเหล่านั้นจะเรียกได้ว่า มันเป็น "core business" มีความรู้ความชำนาญเพื่อผลิตหรือมีทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ แต่เค้าอาจจะไม่คิดว่า model ความคิดที่ทำหลายธุรกิจโดยใช้ resource เดียวกันก็ทำได้เช่นเดียวกัน ส่วนที่ว่าจะทำหรือไม่ทำอย่างไรนั้น .. มันขึ้นกับว่า "คุณเชื่อว่าอย่างไร?"

No comments: