Sunday, May 24, 2009

แนวคิดเจ๋งๆที่นอนละเมอคิดเพ้อออกมาได้ : "แรงงานกู้ล่วงหน้า"

 
เมื่อคืนมีไปพบปะเพื่อนๆรุ่นพี่ที่ก้วน KSME ฟังคนนู้นคนนี้เล่านั่นเล่านี่ แล้วก็จะกึกอยุ่ที่ประเด็นนึงก็คือว่า ถ้าหากว่าบริษัทที่ให้คำปรึกษา จะพบได้ว่าเป็น asset และ cost คือคนจะเป็นหลัก (แล้วแต่ว่าจะมองคนว่าเป็นสินทรัพย์หรือว่าเป็นต้นทุนก็สุดแล้วแต่ว่าพนักงานหรือคนมดงานคนนั้นจะทำอะไรให้ได้มากแค่ไหนมากกว่าน่ะครับ แต่ว่าผมไม่อยากคุยประเด็นนี้เท่าไหร่น่ะครับผม ข้ามๆ) ลองคิดดูน่ะครับถ้าหากว่าองค์กรนี้ไม่มีสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อการดำเนินการเช่น ว่าทุกคนประชุม online ผ่าน Skype หรือว่า Meeting ผ่าน webminar (เหมือนกะสัมนากันน่ะหละแต่ว่าไม่ได้เจอกันตัวเป็นๆกันหรอก) หรือว่าคุบก็ไม่มีโทรศัพท์หรือว่าผนักค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทางและโทรศัพท์และค่าอื่นๆออกไปจากองค์กรได้ทั้งหมด (สมมุติก่อนแล้วกันน่ะครับ) นั่นก็หมายความว่า องค์กรนี้จะมีแรงงานกู้ล่วงหน้า เสียเป็นส่วนใหญ่ครับ

"แรงงานกู้ล่วงหน้า" เป็นนิยามที่ผมคิดละเมออกมาเองว่า ถ้าหากว่าผมมีคนพนักงานขายทั้งหมด 300 คนแล้วสรุปค่าจ้างต่อเดือนทั้งหมด 30 ล้านบาท (ผมแอบคิดให้ว่าประมาณคนละ 1 หมื่นบาทอ่ะก็แล้วแต่ว่าใครทำหน้าที่อะไรก็ vary ไปตามการใช้คนมนุษย์แรงงานล่วงหน้าครับ แต่ก็แค่เฉลี่ยกันคนละหมื่นเท่านั้นอ่ะครับ) ทีนี้แปลว่า ณ วันที่ 1 ของเดือนแปลว่า เราได้ "แรงงานล่วงหน้า" ที่จะต้องจ่ายอีกสามสิบวันหลังจากนี้มูลค่า 1 ล้านบาทครับ โดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรเลย แรงงานล่วงหน้านี้ไม่เกิดดอกเบี้ยเงินกู้ลองคิดดูน่ะครับถ้าหากว่าคุณต้องให้กู้ 1 ล้านบาทแล้ว ณ วันที่ 1 แล้วจะต้องจ่ายคืน ณ วันที่ 30 นั่นก็คือมูลค่าเดียวกันกับที่ แนวคิดของ "แรงงานล่วงหน้า" นี้นั่นเองครับ

ลองคิดต่อไปอีกว่าถ้าหากว่าการดำเนินการใช้คนทั้ง 300 คนนี้แล้วพบว่าจะให้ผลเป็นเงินสดเข้าระบบทั้งหมดสัก 60 ล้านบาทต่อเดือนทันที วันไหนก็ได้ ณ วันที่ 1 ถึง 30 ของเดือนนั้นๆ เมื่อสิ้นเดือนก็คือ องค์กรหรือเจ้าของธุรกิจสมมุติ(ที่ผมไม่ได้บอกว่ามันคืออะไรแล้วมันมีเหรอป่าวด้วย)ก็จะได้กำไรไปซะงั้น 30 ล้านบาทต่อเดือน

คิดอย่างงี้แล้วทำไมมันฟังดูอลังแบบนี้ล่ะเนี่ยะ คราวนี้ผมลองคิดดูแบบว่าถ้าหากว่าผมเป็น self employ คือ ว่าจ้างตัวเองแบบเดียวกันแป้บเลยอารมณ์จะเป็นยังไงกันนะ .. ก็เริ่มคิดกันเลยครับ สมมุติว่า ผมเป็นคนๆเดียวกับที่เข้าทำงานในบริษัทที่ให้คำปรึกษาตะกี้น่ะครับแล้วก็คิดว่าผมจะมีค่าตัวเพื่อจ่ายตัวเอง 10000 บาทต่อเดือนวันแรกผมก็ทำงานเพื่อตัวเองทันที แต่ว่าผมก็ไม่ได้รู้สึกว่า ตัวผมเองได้แรงงานตัวเองกู้ล่วงหน้า อืม ก็แหงล่ะซิครับเพราะว่าตัวผมเองกรณีก่อนหน้าผมเป็นผู้ให้องค์กรกู้แรงงานผม แต่ว่าถ้าองค์กรนั้นเป็นตัวผมเองก็เจ๊ากันไปน่ะครับ มันจะไม่ได้รู้สึกว่ามีใครได้หรือว่าเสียอะไรน่ะครับ (หมายถึงตัวผมจะไม่รู้สึกอะไรน่ะครับ) แล้วลองคิดต่อน่ะครับ เมื่อเวลาเดินไปถึงวันที่ 30 จะมี income เข้ามาทั้งหมด 2 หมื่นบาท แล้วปลายเดือนผมก็จ่ายเงินให้ตัวเอง 1 หมื่นบาท แล้วที่เหลือก็เป็นกำไรขององค์กรซึ่งก็คือตัวคุณอีกน่ะหละ อีก 1 หมื่นบาท อืม คิดแล้วก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นอะไรมากมายนัก เพราะว่า ตัวผมก็จะเป็นแค่มดงานหนึ่งหน่วยที่แตกออกมาจากองค์กรเมื่อตะกี้  เพราะว่าถ้าตัวผมรู้ว่าทำแบบนี้แล้ว และเห็นผลออกมาเป็นอย่างงี้ต้องหาวิธีการเพื่อขยายตัวคุณตัวผมเองออกไปให้ได้ 300 คนโดยคนที่คนอื่นๆคิดสิ่งที่จะต้องคิดคอนนี้ไม่ออก เพราะไม่อย่างงั้น คนอื่นๆก็จะแตกตัวและออกไปทำเหมือนๆกันยังไงอย่างงั้นน่ะครับ

จากที่เล่ามาทั้งหมดคนที่เสียเปรียบที่สุด ก็คือคนที่อยู่ในสถานะผู้ถูกว่าจ้างที่ต้องให้กู้แรงงานล่วงหน้าแก่องค์กรครับ ถ้าหากว่ากิจกรรมดังกล่าวสามารถทำเงินได้อย่างที่ยกตัวอย่างให้ฟังได้จริงๆครับ แต่ว่าก็อีกน่ะหละ แท้ที่จริงแล้วเราไม่สามารถที่จะประเมินได้ทันทีว่า มันจะเป็นอย่างที่ผมเล่าหรือว่ามันจะดีกว่านั้นหรือว่าแย่กว่านั้นมากๆ ก็ได้เพราะฉะนั้นแล้วถ้าจะเริ่มแนวคิดนี้ให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างแท้จริง มันก็เรียกได้ว่าเป็นความเสี่ยง ยังไงล่ะครับนั่น .. เอาเถอะครับแต่ว่าจากที่ผมฟังแล้วบริษัทที่ปรึกษาทีว่านี้จะต้องเริ่มมาจากการเป็น self-employ มาก่อนแล้วก็เห็นว่าจะต้องทำยังไงแล้วก็เห็นผลกำไรต่อหรือ income ต่อเดือนมาแล้วถึงเห็นแสงสว่างว่า "ถ้าหากว่ามีมดงานเป็นคุณแล้วล่ะก็..ฮึ่มเยี่ยมเลย" ก็เลยมีการขยายตัวออกด้วยรูปแบบของการแพร่เชื่อโรค คือ จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 ... ไปเรื่อยจนถึงปริมาณคนที่ระดับ 40 คน (มันก็ไม่ได้ลงตัวอย่างงั้นหรอกน่ะครับว่าต้อง 1 เป็น 2 2 เป็นสีเนียะ)

หลักที่ผมคิด ณ เนื้อความพิมพ์เก็บความคิดนี้ก็คือ "เรื่องการกู้แรงงานล่วงหน้า" เท่านั้นเองน่ะครับ นอกนั้นก็เป็นประเด็นเติมๆเข้ามาเท่านั้นเองน่ะครับ ผมว่า คราวหน้าผมจะนั่งคิดเรื่อง "Pay per Sale" ว่ามันมีอะไรยังไงกับความคิดการจ่ายเงินแบบนั้นครับ

บทความหน้าหัวเรื่องคิดว่าน่าจะเป็นอย่างงี้น่ะครับ "Pay per Sales : จ่ายเมื่อขายออก (อ้าว.. ทำไมผมแปลแล้วมันรู้สึกแปลกๆล่ะเนี่ยะ)"

No comments: