Thursday, September 24, 2009

สิ่งแวดล้อม : ปัจจัยที่คนขนขวายเพื่อปลดเปลื้องความรู้สึกรับผิดชอบต่อการทำลายโลกของมนุษย์

ผมต้อ่งบอกเอาไว้ก่อนว่าส่วนตัวแล้วถ้าหากว่าคนเราจะอยู่บนโลกนี้ไม่ว่าจะมีปริมาณคนมากหรือน้อยก็แล้วแต่ลุ้นเป็นการให้โลกเราไม่สมดุลไม่มากก็น้อย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนเราเหมือนเกิดมาเพื่อทำลายสิ่งแวดล้อมและใช้เผาทรัพยการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อันเนื่องมาจาก technology ที่มีขีดจำกัด ณ ขั้นตอนของการพัฒนาเพือ่ให้ได้สินค้าหรือบริการที่ทำลายสินค้าได้น้อยลง (Green product ซึ่งก้ไม่ได้แปลว่ามันไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมมันก็แค่ทำลายน้อยหน่อยเท่านั้นเอง) ผมจะไม่สาทยายว่าทำไมคนต้องทำลายโลกถ้าหากว่ายังมีคนอยู่บนโลก เก็บเอาไว้วันไหนอยากเล่าแล้วจะเล่าให้ฟังอีกทีแล้วกัน กลับมาที่ประเด็นว่า "สิ่งแวดล้อม" เป็นเรื่องที่กำลังเป็น Trend ปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ 10 ปีนี้ดีกว่าน่ะครับ

คนเราทำลายสิ่งแวดล้อมกันอย่างเอาเป้นเอาตายทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวและไม่อยากจะรับรู้มัน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่ เราจะเผาผลาญพลังงานของตัวเอง(ที่ได้มาจากการบริโภค)หรือน้ำมัน(ทรัพยากรใดๆ)อย่างใดอย่างหนึ่งทำให้คนเรามีความรู้สึกว่า ฉันน่าจะทำให้สิ่งแวดล้อมมันดีขึ้นกว่าหรือไม่ก็ทำลายมันให้น้อยลงกว่านี้ได้หรือไม่ ถ้าหากว่าทำได้ มันจะเป็น "ความรู้สึกผิดลึกๆ" ที่ฝังอยู่ในตัวเรา เพราะ ภาครัฐและเอกชนก็ทำการ promote เรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เพราเค้าเหล่านั้นอาจจะเห็นว่า ถ้าหากว่าไม่ได้ทำอะไรสักอย่างโลกจะต้องเสียหายขั้นรุนแรงอย่างแน่นอน (แต่ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอยู่ดีในท้ายที่สุด) การที่ให้คนใดๆลดการกระทำใดๆเพื่อให้มีผลต่อกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง คนละนิดละหน่อยจะต้องกระทำกันอย่างจริงจังและทำกันในระดับจิตสำนึกเท่านั้น เพราะทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้นครับ แต่ว่าถ้าหากว่าคนทำได้เยอะคนรวมๆกันมันก็เยอะ ก็เหมือนกับที่ว่าแต่ละคนก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่เป็นปกติแล้วมันก็ทำลายโลกเราได้อย่างที่เป็นอยู่ยังไงอย่างงั้น

เพราะฉะนั้นแล้วความรู้สีกนี้จะโดนแปลงออกมาเป็นความต้องการแบบโหยหา และปลดเปลื้องความรู้สึกผิด เหมือนจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้มากขึ้น สินค้าและบริการเริ่มที่จะจับ Trend นี้ได้แล้ว ณ เวลานี้ และมันจะเป็นอย่างงี้ไปเรื่อยในอนาคต และมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ เท่าที่ผลลัพธ์ของการทำลายสิ่งแวดล้อมมันให้ผลที่เลวร้ายต่อเนื่องไปเรื่อยๆนั่นเอง สินค้าและบริการจะต้องออกแบบมาและสร้างเรื่องราวที่สะท้อนความเป็น eco. มากขึ้น เพราะมันเป็นมูลค่าเพิ่มที่ซ่อนตัวอยู่และคนยอมจ่ายเพื่อลดความรู้สึกผิดนั้นด้วยมูลค่าระดับหนึ่ง (และจะเพิ่มค่าขึ้นเรื่อยๆเมื่อโลกโดนทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ) ยังไงเสีย การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะแก้ไม่ได้ในระยะเวลาสิบปีนี้อย่างแน่นอน เพราะการทำลายนั้นมันง่ายกว่าการทำลายให้น้อยลงอยู่มากโขอยู่ คนเราก็แสดงออกได้ด้วยการใช้สินค้าหรือบริการที่คิดึกเรื่องนี้เท่านั้นเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลว่ามันจะให้ผลได้ 100% อยู่ดีในที่สุด

No comments: