Sunday, September 20, 2009

Trend โลกมุมมองของผม ตอนนี้ว่ามันน่าจะวิ่งไปทางไหน (ตอนที่หนึ่ง) : สุขภาพ และการดูแลตัวเอง

ผมเป็นคนอ่าน blog เยอะ แล้วก็ดูว่าคนอื่นเค้าพิมพ์เค้าพูดอะไรำกันอย่างไรผ่านสื้อ online เสียมาก แต่ว่าพวกนี้ก็ไม่ได้เชื่อถือได้เสียทีเดียวแต่ว่าภาพที่ได้ออกมาให้หัวจะเป็นภาพแบบรวมๆเสียมากกว่า ผมก็เลยเกิดคำถามขึ้นในใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ตอนนี้คนบนโลกเราสนใจเรื่องอะไรกันเป็นพิเศษ เพื่อว่าจะได้เอาไว้ต่อยอดความคิดออกมาเป็นสินค้าหรือบริการอะไรก็สุดแล้วแต่คนอ่านน่ะหละครับ รวมถึงผมด้วยที่เป็นคนคิดว่าจะเอาไปคิดต่ออะไรได้อีกหรือไม่

คนบนโลกตอนนี้กำลังคิดอะไรกัน อะไรเป็น Trend ในอีก 10 ปีนี้?

ประเด็นแรก : ผมว่าคนเราจะ "ดูแลสุขภาพกันมากขึ้น" ไมว่าจะเป็น fitness หรือว่า spa หรือแม้แต่เรื่องของสวยด้วยแพทย์และสินค้าหรือบริการใดๆที่มีแนวโน้มเพื่อการดูแลตัวเอง จะมีแนวโน้มว่าน่าจะขายได้ง่ายและขายดีขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ได้เป็นแค่ fashion เพราะว่าสื่อต่างๆก็ให้ความรู้ความเข้าใจว่าทำไมต้องดูแลตัวเอง หรือว่าภาครัฐก็มีการออกประ promote เพื่อให้คนหันมาดูแลตัวเอง ทั้งๆที่เหมือนว่ารัฐจำไม่ได้อะไรนอกจากจะไม่ต้องเสียเงินเพื่อดูแลคนป่วยน้อยลงไปเท่านั้น คนที่ได้หรือว่ามีแนวโน้มว่าจะได้ก็จะเป็นผู้ให้บริการต่างๆที่ผมได้เกริ่นเอาไว้ตะกี้ว่าพวกนี้ตะหากที่ได้สตางค์ไป และ ผมคิดว่าแนวโน้มนี้ไม่ได้น่าจะหายไปง่ายๆเพราะว่าเมื่อคนมีความรู้ความเข้าใจแล้วก็จะเข้าใจอยู่ตลอดไป หรือว่า มากไปกว่านั้นก็สอนคนอื่นต่อๆไปด้วยไม่ว่าจะเป็นลูกหลานเหลนโหลนก็สุดแล้วแต่ว่าจะมีพันธ์ต่อเนื่องผลิตกันได้มากน้อยแค่ไหน มีการบอกต่อะเพื่อนๆกันได้สะดวกว่าจะดูแลตัวเองอย่างไร ซึ่ง case นี้เรื่องสุขภาพและการดูแลตัวเอง มันแตกต่างกับเมื่อ 10 กว่าปีก่อนมากๆ เพราะว่าเมื่อก่อนจากการสัมพาทย์คนในวัยนั้นๆจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนเราต้องออกกำลังกาย ! คิดได้อีกแบบกันเลยว่า พวกออกกำลังกายเป็นพวกที่โง่ไม่รู้จะออกไปทำอะไรด้วย ซ้ำ คนที่มีร่างกายกำยำจะเป็นพวกที่ใช้แรงงาน แล้วก็แยกแยะคนระหว่างคนที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ดีกับคนที่ร่างกายหุ่นดีกำยำเหล่านั้น ออกจากกัน ไม่ได้มีคนคิดหรอกว่า คนที่ดูแลสุขภาพดี จะเป็นผู้ดีมีชาติตระกูลแต่ประการใดๆ คนที่ร่ำรวยดูดีจะดูจากองค์ประกอบภายนอกเสียมากกว่าไม่ว่าจะเป็นพุงที่พลุ้ยออกมา หรือว่าเป็นรถหรือว่าโทรศัพท์กระติกน้ำสมัยโบราณที่ใครต่อใครก็บอกว่า "เอาขึ้นมาที่โต้ะแล้วมันดูเท่ห์เสียนี่กระไร" (เครื่อง hotline น่ะครับหนักมากแล้วก็เป็นเครื่องที่ผมเห็นจนติดตาว่า ซื้อมาทำอะไร ? ขนาดผมเป็นเด็กอยู่ตอนนั้นผมยังคิดออกว่าจะพกโทรศัพท์ใหญ่แบบนี้ไปเพื่ออะไรแต่ว่าตอนนั้นก็ฉลาดอยู่เหมือนกันที่ว่าจะเป็นการใช้งานในรถเท่านั้น ไม่ได้ยกเข้ายกออกเสียเท่าไหร่ กลับมาประเด็นกันต่อดีกว่ามั้ยเรา .. ) แล้วตอนนี้เกิดอะไร ? ทำไมทุกคนไม่ว่าจะเป็นพนักงาน office หรือว่าคนที่ทำกิจการของตัวเองขี่ benz sport มาที่ fitness (ที่บ้านไม่ได้ห้อง fitness หรือยังไง) มาที่ fitness center แล้วก็ fitness center เปิดมารองรับคนเหล่านี้อย่างเป็นดอกเห็ดกระจายตัวอยู่ทั่วเมืองล่ะครับ ? เพราะว่าไม่ยากน่ะครับ มันมี demand คนที่ฉลาดหรือไม่ฉลาดมากนักเริ่มรู้แล้วน่ะครับว่า การออกำลังกายเป็นการทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ชีวิตตัวเองดูเป็นปกติไม่ได้ต้องพุงพลุ้ยเข้าออกโรงบาลกันเป็นว่าเล่น  นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นโรงบาลเองก็จะปะ ads ออกมามากมายกับการรักษาเชิงป้องกันไมได้ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพการ detox (ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าดีจริงหรือเปล่าแต่ว่าผมก็ไปดีมาแล้ว) หรือว่าการรักษาสิวผิวพรรณ รวมถึงการสวยด้วยแพทย์ สิ่งที่ผมรู้ยกตัวอย่างได้โรงบาลนึงก็คือ ยันฮี แต่ก่อนเป็นโรงบาลไมได้ใหญ่โตอะไรมากนัก เรียกว่าเล็กเลยก็ว่าได้แต่ว่าระยะเวลาไม่นานที่ผ่านมาที่ cash ไหลผ่านโรงบาลนี่น่าจะเยอะอยู่(จากสายตาคนนอกอย่างเราๆ) เพราะว่าเล่นขยายตึกกันเป็นว่าเล่น คนในองค์กรเยอะเหมือนกับมด รกหูรกตาไปหมด ! แล้วก็คนเข้าโรงบาลกันอย่างยั้วเยี้ยะราวกับว่า เรื่องการมาหาหมอไม่ได้เกิดจากการเจ็บป่วยอีกต่อไป แค่ว่าคุณไม่ป่วยคุณก็มาหาเรื่องทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อให้เป็นการป้องกันได้ หรือว่า เรื่องของการตกแต่งและสวยด้วยแพทย์ทั้งจากภายในและภายนอก

สรุป trend แรกนี้ก็คือ การที่คนดูแลตัวเองมากขึ้น มันจะไม่ได้สั้นๆและจบลงที่นี่หากว่าคุณมีปัญหาเพื่อการ support สินค้าหรือว่าบริการใดๆที่จะทำให้คนดูดีทั้งแบบ make sense และไม่ make sense (ผมปิ๊งเจเล่ไลท์ในหัวผมอีก เออ..เข้าข่ายๆ มีทาเก้น  ... โยเกริ์ต เกิดๆๆ ..รังนกขวด ... เยอะแยะไม่คิดและ ) สินค้าหรือบริการเหล่านี้จะทำตลาดและขายออกไปได้มากขึ้นเรื่อยๆหากไม่มีปัญหาเศรษฐกิจเข้ามารุม มันก็จะเป็นเรื่องแรกๆที่คนจะเลือกที่จะใช้จ่ายเป็นอันดับแรกๆเหมือนกันเพราะว่า "เค้าเหล่านั้นเห็นว่า ตัวเอง นั้นสำคัญ !"

จริงๆแล้วอยากพิมพ์ทีเดียวรวดคิดแหลทะลุไป 3 trends ที่ผมคิดอยู่ในหัวตอนนี้แต่ว่า มีคนบ่นมาเหมือนกันน่ะครับ บทความที่พิมพ์เนี่ยะมันยาวจัง .. ก็แหม .. ทำยังไงได้ยาวก็อ่านสรุปๆหน่อยแล้วกัน แต่ว่าถ้าหากว่ามีเวลาก็อ่านมันทะลุไปเลยก็ได้น่ะครับ สำหรับ Trend ที่เหลืออีกสองเรื่องบอกเอาไว้ก่อน(หรือเรียกว่าจดเอาไว้ก่อนก็ว่าได้น่ะครับ) มันก็คือ "สไตล์การใช้ชีวิตที่เป็นปัจจุบัน ที่ต้องการความสะดวกมากขึ้น" และ "ความคิดฝังหัวในเรื่องสิ่งแวดล้อม" ไว้มีแรงว่างๆแล้วจะมาพิมพ์โม้ต่อ  : entry นี้พิมพ์ทั้งหมด 20.56 นาที (ดูเวลาอยู่น่ะครับเพราะว่าอยากรู้ว่าตัวเองใช้เวลา blog 1 Entry ที่มันยาวๆแบบนี้กินเวลาแค่ไหน ก็ไม่นานเท่าไหร่เนาะสำหรับ 20.56 นาทีที่โม้ไป  .. เฮอะๆ)

No comments: