Thursday, April 30, 2009

7 habits : นิสัยเจ็ดประการ

ผมต้องขอบอกก่อนว่านี้เป็นข้อความที่ มีการสรุปความมาแล้วแต่ว่า เป็นอาจารย์บุญชัย (ผมเคยเรียนภาษาอังกฤษมาด้วยน่ะครับ) เค้าจะเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ เพื่อสอนคนอื่นอยู่แล้ว แล้วก็มีออกอากาศเพื่อสรุปความหนังสือ แต่สำหรับผมแล้วหนังสือเล่มที่แม้ว่าผมจะไม่เคยอ่านแต่ก็อยากจะได้รู้ ได้คิดตามก็คือ หนังสือเกี่ยวกับ นิสัยเจ็ดประการนี้ครับ เพราะอยากจะบอกเหลือเกินความว่า มันเป็นอย่างงั้นจริงๆครับ ! ข้อมูลทั้งหมดต่อไปนี้มาจาก http://www.drboonchai.com

 

นิสัย 7 ประการสู่ความสำเร็จ

 

The 7 Habits of Highly Effective People ประพันธ์โดย Steven Covey เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมอย่างมากต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 15 ปี และถูกจำหน่ายไปแล้วกว่า 15 ล้านเล่ม ผู้แต่งได้กล่าวถึงนิสัย 7 ประการของผู้ที่ประสบความสำเร็จ แผนที่ในการดำเนินชีวิตเพื่อไปสู่ความสำเร็จ และวิธีการยกระดับคุณภาพจิตใจ เป็นต้น มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้

ก่อนที่จะกล่าวถึงนิสัยทั้ง 7 ประการ ผู้แต่งได้ให้แง่คิดว่ามนุษย์มีสิ่งที่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานอยู่ 3 อย่างคือ มีสามัญสำนึกรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีพลังจิต ดังนั้น การเอาใจใส่และหมั่นฝึกฝนคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้จนกลายเป็นนิสัย จะทำให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างแท้จริง นอกจากนั้น ผู้แต่งได้กล่าวว่า กรอบในการมองโลก (paradigm) หรือนิสัยของคนเรานั้นส่วนใหญ่จะถูกปลูกฝังมาจากการสั่งสอนของคนรอบข้าง การใช้ชีวิตในสังคม และจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และด้วยความเคยชินทำให้คนเรานั้นไม่เคยฉุกคิดว่ามุมมองที่มีอยู่นั้นถูกต้อง หรือเหมาะสมหรือไม่ จึงก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและไม่เข้าใจผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เพราะเอาความคิดของตนเองเป็นตัวตัดสิน ดังนั้น ผู้แต่งจึงแนะนำให้หยุดทบทวนแนวความคิดมุมมองและคติธรรมในใจที่เคยยึดถือ ตลอดมาว่า สิ่งเหล่านั้นถูกต้องแล้วจริงหรือ ให้พิจารณาตามความเป็นจริง สิ่งไหนคิดผิดให้คิดใหม่แก้ไขที่ต้นเหตุ เมื่อเข้าใจตนเองจึงจะเข้าใจผู้อื่นได้ นอกจากนั้นผู้แต่งยังเชื่อว่าผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นส่วนหนึ่งเกิด จากการมีสมองข้างขวาที่ทรงประสิทธิภาพสามารถควบคุมการทำงานของสมองด้านซ้าย ได้ สมองข้างขวามีหน้าที่เตือนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี การมีจินตนาการ และการมีอารมณ์และความรู้สึก ดังนั้น การฝึกใช้จินตนาการและมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นการพัฒนาการทำ งานของสมองด้านขวาได้เป็นอย่างดี

กฎข้อที่ 1. นิสัยรู้และเลือก (Be Proactive)

การรู้และเลือกคือการมีสติตามตัวอยู่ตลอดเวลา รู้ตัวว่าขณะนี้ตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และผลที่เกิดจากการกระทำนี้คืออะไร รู้ว่าขณะนี้ตัวเรากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบใด สถานการณ์ปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรานั้น มีผลอะไรต่อตัวเราบ้าง และเรามีการตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังเผชิญอย่างไร ตอบสนองด้วยกิริยาใดด้วยอารมณ์แบบไหน ปกติแล้วมนุษย์มีอารมณ์หลักอยู่สามอารมณ์คือ สุข ทุกข์ และเฉย ๆ หากเรารู้เท่าทันอารมณ์เราจึงจะรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ เมื่อรู้แล้วเมื่อเห็นแล้วจึงจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ คนเรามีสิทธิ์ที่จะกำหนดชีวิตของตนเองแต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักปล่อยให้ ชีวิตดำเนินไปตามกระแสสังคม ถูกฉุดกระชากไปตามอารมณ์และการกระทำของผู้อื่น เช่นเมื่อได้รับคำชมก็ดีใจ ได้รับคำตำหนิก็เสียใจ หรือคนพูดไม่ได้ดั่งใจก็โกรธ เป็นต้น เราเอาพฤติกรรมของเราไปขึ้นกับการกระทำและความคิดของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา สรุปแล้วชีวิตนี้เป็นของใครกันแน่ ดังนั้น หากเรารู้จักเลือก รู้จักหยุดคิดก่อนที่จะตอบสนอง เราจึงจะมีชีวิตที่เป็นของเราจริง ๆ และจะเลิกโทษผู้อื่น เลิกโทษโชคชะตาเทวดาฟ้าดิน และจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีวุฒิภาวะอย่างแท้จริง เมื่อนั้นจิตจึงจะนิ่งสงบไม่กระเพื่อมไปกับสิ่งภายนอกที่เข้ามากระทบ จิตจึงมีพลังสามารถทำการใหญ่ได้ การจะมีสติตามทันอารมณ์ได้นั้นจิตต้องมีความสงบหรือมีสมาธิในระดับหนึ่ง ซึ่งทำได้โดยการ การสวดมนต์ หรือทำสมาธิ เป็นต้น

กฎข้อที่ 2. สร้างเป้าหมายในชีวิตเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจ (Begin with the End in Mind)

การมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ตอนนี้ อีก 5 ปี 10 ปี หรือในบั้นปลายชีวิตเราอยากจะมีชีวิตแบบใด เมื่อมีเป้าหมายเราจะรู้ว่าตอนนี้ควรทำสิ่งใด ตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงจุดไหน จะต้องไปอีกไกลเท่าไร และไปด้วยวิธีใดบ้างจึงจะบรรลุเป้าหมาย จะทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันมีคุณค่าและไม่น่าเบื่อ เป้าหมายจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมต่าง ๆ ของเรา เป้าหมายที่ดีจะต้องชัดและต้องสร้างเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจตลอดเวลาและการ สร้างเป้าหมายต้องมาจากสิ่งที่เราชอบจริง ๆ ไม่ใช่ทำตามกระแสสังคม และที่สำคัญเป้าหมายนั้นต้องพอที่จะเป็นไปได้ นอกจากนั้นเป้าหมายในที่นี้ผู้แต่งยังหมายถึงภาพพจน์ที่เราต้องการให้คนอื่น จดจำเราได้นั้นเป็นแบบใด เช่นหากเราตายไปตอนนี้เราอยากให้ทุกคนจดจำเราได้ในแบบใด เป็นต้น

กฎข้อที่ 3. ทำสิ่งที่ต้องทำก่อน (Put First Things First)

การทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน จะต้องเลือกทำในสิ่งที่นำพาเราไปสู่เป้าหมายก่อนเป็นอันดับแรก และทำอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลาว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ตรงจุดไหน อีกไกลเท่าไร และเรามาถูกทางหรือไม่ มีเส้นทางใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นหรือเปล่า หรือเรากำลังเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไร้สาระ เป็นต้น ในการประเมินแต่ละครั้งจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง จะต้องซื่อสัตย์ ใช้สติ และไม่เข้าข้างตัวเอง นอกจากนั้นควรเลือกทำสิ่งที่ไม่เร่งด่วนแต่สำคัญในชีวิตก่อน คนส่วนใหญ่มักเลือกทำในสิ่งที่เร่งด่วนก่อนเสมอ โดยลืมนึกไปว่าสิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตหรือไม่ จงอย่าทำตามสิ่งที่สังคมกำหนด แต่ให้เลือกทำในสิ่งที่เรากำหนดเอง และผู้แต่งกล่าวเพิ่มเติมว่า การวางแผนทำสิ่งใดต้องวางแผนในระยะยาวอย่าวางแบบวันต่อวัน เพื่อจะได้งานเป็นกรอบเป็นกำ และต้องหัดมอบหมายงานให้กับคนที่ไว้ใจได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญและตรงตามเป้าหมายในชีวิตได้มากขึ้น

กฎข้อที่ 4. การรู้จักแบ่งผลปันประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วย (Think Win/Win)

ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เช่น คนในครอบครัว เจ้านายลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้า เป็นต้น ทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน การไม่คิดถึงตัวเองแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือเอาความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง นั่นคือการรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน สิ่งเหล่านี้รู้ได้โดยการมองย้อนเข้าหาตัวเองว่าหากเป็นเราเจอแบบนี้จะ รู้สึกอย่างไร และนอกจากการเข้าใจผู้อื่นแล้วผู้แต่งได้กล่าวถึงบุคลิกลักษณะที่น่าคบหาสมา คมและน่าเชื่อถือคือต้องปากกับใจตรงกัน รู้จักรักษาคำพูด มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่มั่นคง สงบนิ่ง ใจกว้าง และมองโลกในแง่ดี และที่สำคัญในฐานะผู้บริหารหากต้องการให้คนในองค์กรได้รับประโยชน์อย่างเท่า เทียมกัน ควรจะจัดระบบขึ้นมารองรับ เช่นคนที่ตั้งใจทำงานก็ควรจะมีรางวัลหรือโบนัส เป็นต้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและทุกฝ่ายในองค์กรได้รับประโยชน์เท่ากันอย่างแท้ จริง

กฎข้อที่ 5. การพยายามเข้าใจผู้อื่นมากกว่าให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา (Seek First to Understand, Then to Be Understood)

ส่วนใหญ่แล้วมนุษย์มักชอบพูดให้ผู้อื่นฟังมากกว่าฟังที่คนอื่นพูด ดังนั้น เมื่อไม่มีใครยอมฟังใครปัญหาจึงเกิดขึ้น การฟังอย่างตั้งใจและพยายามที่จะเข้าใจผู้อื่นแทนที่จะให้ผู้อื่นมาเข้าใจ เรา อีกฝ่ายจะรับรู้ถึงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจจากเรา และเกิดความผ่อนคลายลงในระดับหนึ่งและจะยอมรับฟังความคิดเห็นจากเราด้วยใน ที่สุด การเป็นผู้ฟังที่ดีและพยายามที่จะเข้าใจอีกฝ่าย เช่น ขณะนั้นเขารู้สึกอย่างไร และเขาพูดไปเพื่ออะไร เป็นต้น จะทำให้มองเห็นประเด็นของปัญหาได้อย่างชัดเจนและสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด แต่ผู้แต่งได้ให้ข้อคิดไว้ว่า การฟังนั้นต้องฟังอย่างมีสติ อย่าฟังจนเคลิ้มและต้องมีจุดยืนในตัวเองด้วย ผู้แต่งได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจจะช่วยลดอคติที่มี ต่ออีกฝ่ายได้และจะไม่เกิดการตัดสินคนจากคำพูดเพราะขณะนั้นจิตใจจะมีความ เมตตาไม่ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ นอกจากนั้นหากต้องการพูดแสดงความเห็นอกเห็นใจ ก่อนพูดควรถามความรู้สึกของตนเองก่อนว่าในเวลานี้ควรพูดหรือไม่ ควรพูดแค่ไหน และควรพูดอย่างไรจึงจะเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริง

กฎข้อที่ 6. การสร้างทีมเวิร์ค (Synergize)

การสร้างทีมเวิร์คให้เกิดขึ้นภายในองค์กรเป็นหน้าที่ของผู้บริหารคือการดึง เอาศักยภาพของลูกน้องแต่ละคนมาผสมผสานกันอย่างลงตัว และสามารถเปลี่ยนความขัดแย้งให้กลายเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ได้ ในฐานะผู้บริหารต้องมองปัญหาและการทะเลาะเบาะแว้งให้เป็นเรื่องปกติ แต่ให้คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้กลายเป็นผลงานได้ นอกจากนั้น การบริหารลูกน้องจำนวนมาก ๆ จะใช้วิธีเดียวกันหมดไม่ได้เพราะแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ในฐานะเจ้านายจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะรู้ได้ว่าคนไหนต้องใช้วิธีใดก็ต้องเริ่มจากการรู้จักตนเองก่อนเมื่อ รู้จักตนเองจึงจะรู้จักผู้อื่น และต้องพยายามเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไรด้วย จึงจะสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการได้อย่างทันท่วงที ผู้แต่งได้ให้ข้อคิดในการทำงานเป็นทีมคือ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความถ่อมตน จงคิดว่าทุกคนย่อมมีข้อดีในแต่ละด้าน ไม่มีใครดีกว่าใคร หากคิดเช่นนี้อัตตาตัวตนก็ไม่เกิด การทำงานเป็นทีมจึงจะสมบูรณ์

กฎข้อที่ 7. การเพิ่มพลังชีวิต (Sharpen the Saw)

ว่าด้วยวิธีการพักจิต และเพิ่มพลังเพื่อพร้อมที่จะต่อสู้กับชีวิตต่อไป มีวิธีการ ดังนี้

1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์

2. หัดสร้างมโนภาพอยู่ตลอดเวลา ต้องอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้

3. มีความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

4. เข้าใจและรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ และสร้างความสงบภายใน

จากนิสัยแห่งความสำเร็จทั้ง 7 ประการที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สามารถสรุปเป็นใจความสั้น ๆ ได้ว่า Steven Covey ให้ความสำคัญในเรื่องการใช้สมองข้างขวา การใช้จินตนาการ การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การมีหลักคุณธรรมในการดำรงชีวิต และการสร้างแผนที่ชีวิต

ที่มา : www.drboonchai.com

easy invention : คิดให้ง่ายไว้โยม

เพราะการคิดอะไรใหม่ไม่จำเป็นต้องทำให้ยาก หากว่าเราเจอปัญหาใดๆ ขอให้คิดไว้เสมอว่ามันมีวิีธีง่ายเสมอ อยากจะทำวิธียากก็ทำไป แต่ให้รู้ไว้ว่าถ้าหากว่าเราำทำแล้วมันเริ่มยากแสดงว่า วิธีง่ายกว่านี้มันน่าจะมีแล้ว และถ้าหากว่าทำแล้วรู้สึกว่ามันยากมากๆ แสดงว่าโอกาสที่จะมีวิธีที่ง่ายกว่านั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก ..เพราะว่าที่เราทำงานเอ๋อยากเหลือเกินครับ อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดที่สุด ฟังคนอื่นและยอมรับความคิดเห็นคนอื่นให้มาก นั่นน่ะหละ วิธีการที่งานจะเดินไปได้ไม่ต้องเครียด แล้วมันก้เป็นแนวทางที่ฉลาดสำหรับ นวัฒกรรมใหม่ๆด้วย

ทดสอบความเร็ว internet ผ่าน GPRS

speed testing kapok
อันนี้คือ การทดสอบความเร็วในการ tranfer ข้อมูลตอนที่ผมใช้ GPRS ผ่านมือถือครับ ก็ไม่ได้แย่หรือเลวร้ายอะไร ต่อเล่นกะคอมก็เร็วดีครับ แนะนำใช้ Smart Phone กันครับผม

Monday, April 27, 2009

ผมรุ้ว่าคนเราเกิดมาเพื่อทำอะไรสักอย่าง..

ดู clip นี้เรียกได้ว่า การทำงานแบบเก่าๆให้ผลงานที่ดูโบราณด้วย technology โบราณแล้วด้วยคนโบราณ แต่นั่นมันก็เป็นงานที่ทำด้วยใจของเค้าเหล่านั้นอย่างแท้จริง ผมไม่คิดว่า เค้าอยากจะทำอะไรอย่างอื่น มีประโยคหนึ่งที่บอกเอาไว้ว่า การทำงานนี้เป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิตของเค้า กับการที่เอาตัวหนังสือมาเรียงกัน แล้วก็พิมพ์ด้วยเครื่องที่ทำงานมามากกว่า 25 ปีแล้ว

“this is the job that fulfill me”
นี่หละเป็นงานเติมตัวพวกเค้าเหล่านั้นให้เต็ม..

ศิลปะแบบ .. ไหนกันเนียะ ไม่เข้าใจไม่ใช่คน art (มั้ง)

ดูออกเหรอป่าวครับว่ากำลังจะสื่อถึง "ทุนนิยม" ปั่นโลก นี่มันการแสดงแบบไหนกันเนี่ยะ ดูแล้วงงมากน่ะครับภาษาก็ฟังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเค้าจะพูดว่าอะไรกันน่ะครับ แต่ว่าฟังได้เฉพาะตอนที่พูดเป็นภาษาไทย เข้าใจน่ะครับว่าเป็นศิลปะ อืม ดูแล้วเข้าใจว่าเป็นศิลปะแบบมีกิจกรรมประกอบ ที่เอาคนดูเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพื่อสื่อสารอะไรบางอย่าง สื่อสารความหมายอะไรสักอย่าง ก็เพิ่งเห็นคนนี้ทำเป็นแรกน่ะหละครับ จริงๆแล้วอาจจะมีคนอื่นทำอยู่แล้วก็ได้ถ้าหากว่าคนนี้ทำเป็นแรกก็เรียกได้ว่าสร้างสรรค์ระหว่างงานแสดงกับศิลปะได้อย่างแปลกแหวกแนวดีจริงๆน่ะครับผม

Sunday, April 26, 2009

Bekku ทงคัทสีในตำนาน ร้านใหม่ (ย้ายจากเดิมซอยสุขุมวิท24) : แหม .. มันไม่ได้เป็นแค่หมูทอดนี่เนาะ

ไม่อยากจะบอกว่าวันนี้ไปกิน "Bekku" สุดยอดหมูทอด ทงคัทสึในตำนานมาด้วยล่ะครับ อาหารก็ดูเหมือนกะธรรมดามากแค่ว่า ร้านค้าขายอย่างงี้อย่างเดียวเท่านั้นครับ ผมเดินทางไปตามข้อมูลเดิมๆที่มีอยู่ในหน้า internet blog post ต่างๆปรากฏว่า ไปแล้วเหมือนกับร้านจะร้าง แต่ดีน่ะครับที่ร้านค้าแถวนั้นฉลาดรู้จักจ้างคนๆนึงเอาไว้ เพื่อคอยบอกว่าร้านใหม่อยู่ทึ่ไหน IMAGE_185

ร้าน Bekku จากเดิมก็อยู่ที่สุขุมวิท 24 ก็ยังอยู่ที่เดิมน่ะหละครับแต่ว่ามันจะเข้าไปลึกว่าเดิมอีกเล็กน้อย ไปอยู่ตรงข้ามโรงแรมชูวิทย์ (devis) ครับ ตัวร้านอยู่ที่ President Park Serviced Apatartment แล้วก็มีที่จอดรถที่อาคารของ apt. นั่นน่ะหละ สะดวกดีไม่ต้องคอยลุ้นว่าจะมีที่จอดเหรอป่าวด้วย

เข้าไปร้านจะกว้างกว่าเดิม (เพราะว่าหากดูจากข้อมูลร้านเดิม ที่ไม่มีอีกแล้วนั้นจะเทียบได้ว่า ร้านเก่านั้นแคบกว่ามาก ) เหมือนกับว่าจะจุคนได้ราว 40 คนเห็นจะได้ก็เรียกว่าเป็นเรื่องดีน่ะครับ แต่ว่ามันก็ขาดอัธรสไปนิดหน่อย เพราะ หากว่าของมันแย่งกันจริงจะต้องมีการเข้าคิวเพื่อให้ได้เข้าร้านแม้ว่าจะเป็นตอนที่ไม่ใช่ peak hour ก็ตามครับ  เอาเถอะครับ การเดินทางไปก็ไปถึงนั่นไม่เกินเที่ยง (ไปแค่ประมาณ 11.30 น เห็นจะได้) ทำให้คนยังไม่เยอะเท่าไหร่แต่ก็มีคนมากันแล้วน่ะครับนั่งกินกันอยู่เลยน่ะครับ ไปถึงผมก็ถามเค้าว่า ที่นี่เค้าสั่งอะไรกินกันเหรอครับ พนักงานก็บอกว่า "หมูทอด" แล้วเค้าก็จะมีให้เลือกว่าจะเอ าสันในหรือว่าสันนอก   "แล้วมันต่างกันยังไงเหรอครับ ?" ผมถาม พนักงานก็บอกว่า "มันต่างตรงว่าถ้าหากว่าสันนอกจะมีมันมากกว่า" งั้นไม่เป็นไรเอาเป็นลองหมดแล้วกันนะครับไม่ว่าสันในหรือสันนอกก็แล้วแต่เอามาๆจะลองกินดูว่ามันกินแล้วมันต่างกันยังไง จากภาพจะเห็นได้ว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมาย แต่ว่าสันนอกจะกินสะดวกกว่าเพราะว่าเค้าหั่นมาให้แล้วน่ะครับ นั่นน่ะหละครับเป็นประเด็นเราจะได้ไม่ต้องเอาตะเกียบมาเสียบๆแทงๆเพื่อ แยกหมูออกเป็นชิ้นๆสำหรับคนที่กินแล้วดูเหมือนว่าต้องกินแบบผู้ดี มีตระกูล หรือว่าถ้าไม่คิดอะไรก็เอาทั้งชิ้นน่ะหละครับ ใส่ปากแล้วIMAGE_186กันเอาก็ไม่ได้น่าเกลียดเกินงามอะไรหรอก แหม ว่าเหรอป่าวอ่ะครับ

สั่งแล้วก็รอ แน่นอนว่าระหว่างรอจะมีการให้ปั่นงา ชามน้ำจิ้มจะมีงาใส่เอาไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ปั่นเท่านั้นเอง งายังเป็นเม็ดหอมๆอยู่เหมือนเพิ่งผ่านการคั่วมาใหม่ๆ ดูเหลืองๆน้ำตาลๆไหม้เล็กเพื่อจะได้เวลาปั่นแล้วมันจะมีกลิ่นออกมาเตะจมูก เป็นการยั่วน้ำลาย เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดีทีเดียว ผมไม่เคยปั่นผมก็นั่งมองเฉยๆ พนักงานก็จัดแจงปั่นให้ครับเพราะอยากรู้เหมือนกันว่ามันน่าจะเม็ดประมาณไหนถ้าหากว่าปั่นแล้วละเอียดเกินไปมันก็ดูเหมือนกะว่าเราไม่ได้เป็น pro น่ะครับ แล้วปั่นๆ ได้สักพัก ก็มีการ serve เอาของกินประเภทเครื่องเคียงมาวางเอาไว้ก่อน ดูเหมือนกกะว่าของพวกนี้จะเติมได้เรื่อยๆ เพราะว่าพนักงานเห็นผมกินซุปหมดเค้าก็ถามว่าจะเอาอีกเหรอป่าว เค้าก็จัดแจงเติมให้ใหม่น่ะครับ

เมื่อหมูมาถึงจะเห็นได้ว่าความเหลืองของหมูนั้นจะมีความเหลืองเท่าๆกัน เป็นไปได้ที่ว่าเค้าอาจจะทอดพร้อมๆกันะครับ แต่ก็เครื่องที่มากับจานจะมีสลัดแห้ง เราก็จัดแจงเอาน้ำสลัดบีบใส่เข้าไปซะ แล้วก็ถึงน้ำจิ้มหมูใส่กะงาเข้าไปบนถ้วยน้ำจิ้มครับ เท่านั้นก็เริ่มลงมันกินกันได้เลย !

คำแรกที่กินผมเลือกกิน "สันนอก" เสียก่อนน่ะครับ คีบมาใส่คลุกน้ำจิ้ม แล้วก็ยกใส่ปาก น้ำลายปรี้ดมากครับผม อืม .. เดินทางอย่างมีแผนการณ์ว่าวันนี้จะมากินให้ได้ก็ได้กินแล้วก็ให้รสชาติที่ดีอย่างที่หวังเอาไว้ (เกินหวังไปนิดหน่อยด้วยน่ะครับ เพราะว่าในใจแอบคิดว่า เอ... ร้านย้ายไปแล้วคิดจะไม่ได้กินซะแล้วน่ะครับตอนแรก) นั่นน่ะหละ ... ก็ไม่มีอะไรมากผมก็จัดการกินคำแล้วคำเล่าเข้าปาก แล้วก็นึกในใจว่า นี่หละครับหมูทอดในตำนาน แต่อีกใจก็คิดว่า อืม .. มันก็เป็นแค่หมูทอดนะยังไงกินแล้วก็ต้องออกกำลังกายเอาออกด้วยน่ะครับ กินเยอะๆก็จะเจ็บคอได้เหมือนกับของทอดอื่นๆครับ ยังไงร้านนี้แนะนำก็อย่ากินให้บ่อยก็แล้วกันนะครับ เพราะว่ากินแล้วไม่ดีต่อสุขภาพเหมือนกับอาหารอื่นๆที่ผมแนะนำน่ะหละ
IMAGE_194 IMAGE_193 IMAGE_192 IMAGE_189 IMAGE_188 IMAGE_191

costing : ชุดละ 220 บาท ไม่มีการคิดค่าน้ำเพราะว่าสั่งน้ำชามาคิดราคาง่ายๆตรงๆกันเองแบบนี้น่ะหละครับ แหม จะเอาอะไรกะหมูทอดล่ะครับเนาะว่าปะ . .

แถมนิดหน่อยร้าน iberry ข้างๆก็อยู่ติดๆกันไปนั่งกินรอให้ฝนมันหยุดน่ะครับเท่านั้นหละ บรรยากาศส่วนตัว แล้วก็ยังมาคิดค่าน้ำเราอีก ทั้งหมด iberry ติมสองลูกแล้วก็น้ำขวดนึง 112 บาท (คิดว่าเป็นค่าใช้พื้นที่แล้วกันนะครับ)

IMAGE_199 IMAGE_198

Friday, April 24, 2009

จะออกจากบ้านกินข้าวแต่งตัว(ไม่อาบน้ำ)ให้เร็วๆทำยังไงได้มั่ง ?

สำหรับคนที่ต้อรการความเร็วในตอนเช้า เพือ่ให้พร้อมสำหรับวันใหม่แบบยุ่นๆครับ แต่คิดว่าไม่น่าจะเอาใช้การได้จริงหรอกมั้งครับ เพราะมันดูรกๆเลอะๆยังไงก้ไม่รู้น่ะนะ เฮอะๆ . .ลองดูเอาเองแล้วกันนะครับ

ผมว่าเค้าน่าจะทำได้เร็วกว่าอีกถ้าหากว่าเค้าทำตัวให้เร่งมากกว่านี้ แล้วก็ไม่ต้องอธิบายไปด้วยเหมือนใน clip ครับ

ผมว่าถ้าเป็นห้านาทีผมก็ไปได้เยอะกว่านี้อีกน่ะครับ แต่ว่าผมจะลนๆกว่านี้น่ะครับไม่ได้รู้สึกชิวๆอย่างงั้นน่ะครับ

Sunday, April 19, 2009

สภาพสงกรานต์พระประแดงปี 2009

ผมไม่ได้เล่นสงกรานต์อะไรกะคนอื่นเค้าตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้วล่ะครับ เพราะผมรู้สึกเอาเองว่ามันเป็นเทศกาลที่ทำให้สภาพแวดล้อมดูไม่เรียบร้อยสักเท่าไหร่ คนออกมาเต้นๆฉีดน้ำกันกลางถนนทำให้สภาพการจราจรติดขัดมากเป็นพิเศษ มีการเล่นแป้งเล่นน้ำ แบบเผาทรัพยากรน้ำที่อุตส่าห์รณรงค์กันมาตลอดทั้งปี เหมือนกับว่า ใช้ให้หมดไปในวันเดียวได้ก็น่าจะดี แต่ .. ผมก็ไม่ได้เครียดแค้นอะไรกับเทศกาลนี้หรอกนะครับ เพราะแท้ที่จริงแล้ว มันก็เป็นการเรียกลูกค้าต่างประเทศ ให้มาเป็นนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ทำให้คนต่างชาติเอาเงินเข้ามาหมุนเล่นในประเทศไทยครับ

แต่ว่า ..  ผมเดินทางแล้วรถมันติดนี่หน่า ... !! คนอื่นก็เต้นกันมันส์น่าดูซะขนาดน้าเค้าไม่ได้สนว่ารถมันติดอะไรมั่งเลยเหรอครับ ... T_T

ความสะอาดของน้ำที่กินในแก้วตามร้านอาหาร เท่ากับ min ( ค่าความสะอาดน้ำ , ค่าความสะอาดน้ำแข็ง)

น้ำกรองด้วยระบบ OR แต่ว่าน้ำแข็งไม่ได้เป็นอย่างงั้น เมื่อน้ำกับน้ำแข็งละลายเข้าด้วยกัน ทำให้ความสะอาดลดเหลือเท่ากับ ตัวที่สะอาดน้อยที่สุด นั่นก็คือน้ำแข็งครับ

เมื่อตะกี้กินโคคามาปรากฏว่ามีแมลงวันอยู่ในน้ำแข็ง แม้ว่า โคคาเองจะทำน้ำเปล่าบรรจุขวดด้วยขวดที่ดูดีแค่ไหนก็ตามแต่ว่าน้ำแข็งไม่ได้เป็นไปตามมาตราฐานเดียวกันนั้น มันมีแมลงวันฝังตัวอยู่ในนั้นด้วยหนึ่งตัว เหมือนกับหนังเรื่อง Jurassic Park ที่มียุงอยู่ในยางไม้โบราณยังไงก็อย่างงั้นแต่ผมเห็นซะก่อน (กินน้ำไปแล้วน่ะครับ ไม่ว่ากันเพราะว่าคิดว่าแมลงวันยังไม่ได้ละลายออกมา มันอยู่ในน้ำแข็งแช่เอาไว้สดเหมือนกับมันเพิ่งจะติดเข้าไปยังไงอย่างงั้นเลยล่ะ)

น่ากลัวจริงๆเรื่องความสะอาด แค่คิดก็เสียวที่จะจุ้ดๆอยู่เหมือนกันน่ะครับผม

Crepe ฝรั่งเศส : ทำเหมือนกันๆทั่วโลกน่ะหละครับ

เหมือนกะว่า crepe จะเป็นของกินเล่นทีทำได้ง่ายๆแล้วก็สามารถสร้างรายได้ให้กับคนได้ทั่วโลก (เพราะมันอร่อยนี่เนาะ ) อีกอย่างนะครับ หน้าที่ใส่เข้าไปเนี่ยะมันจะเป็นรสอะไรก็ได้แล้วแต่สภาพอากาศแล้วก็แล้วแต่ว่าที่นั้นจะหาอะไรใสเช้าไปได้เหมือนกะบ้านเราก็ไม่ยากก็ใส่สารพัดอย่างที่เรารู้กันก็คือ ใส่หมูหยอง แฮม น้ำพรัก น้ำปลา (น้ำปลานี่ไม่มีคนใส่เข้าไปมั้งครับ) แล้วก็ basic ที่เป็น international สักกะหน่อยก็คือเป็นพวก banana and chocolate

ผมเห็น youtube video clip อันนี้แล้วดูเหมือนกะว่า ที่ Paris จะมีหน้าน้อยกว่าเรามากเอาการแล้วก็ไม่มีใส่สารพัดผสมพันธ์ของกินได้เหมือนกะที่บ้านเราทำ ที่เห็นใน clip น่าจะเป็น pea nut butter ที่เป็นอาหารโปรดของเด็กอ้วนอเมริกันครับ ผมเคยเห็นคนสั่งเป็นเครปแบบ " พี่ๆขอ chocolate กะหมูหยอง" แหม มันเข้ากันซะอย่างงั้นเลยเหรอครับ กินแล้วเป็น combination ส่วนตัวจริงๆน่ะครับ ดีนะไม่เอาน้ำพริกเผาใส่กะแยมสตอบอรี่เนี่ยะ ..

Saturday, April 18, 2009

blue ocean strategy คิดได้ทำได้เหรอป่าว ?

Blue Ocean Strategy เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ผมอ่านจบไปนานมากแล้ว แล้วก็ยังจำได้ว่ามันยังคงมีอิทธิพลทางความคิดกับตัวผมเองมายังปัจจุบันครับ นอกจากนี้ล่าสุดก็มีการอัดฉีดความคิดซื้ออีกครั้งหลังเข้าสัมนากับทาง ksme วันที่ 18 มีนาที่ผ่านมา แนวคิดหลักจะเป็นเหมือนกับว่า “ทำอย่างไรเพื่อให้ได้สินค้าหรือบริการใหม่ที่แม้กระทั่งลูกค้าเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นสิ่งที่เค้าเหล่านั้นต้องการ”  คิดไปคิดมามันก็ไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้นหรอก เพราะว่า เดี๋ยวนี้ลูกค้ามีความคิดความอ่าน และ แสดงออกถึงความต้องการได้ดีกว่าแต่ก่อนมาก ผ่าน blogging หรือว่า  comment จากกระทู้ต่างๆ หากว่าหาเจอเท่านั้นครับ ความต้องการเหล่านี้มันจะผุดขึ้นมาเมื่อได้มีการทดสอบทดลองใช้สินค้าหรือบริการต่างๆมาแล้ว ความคิดและความต้องการเพิ่มเติมของลูกค้า หรือ คนใช้บริการ คนซื้อ อะไรก็สุดแล้วแต่รจะเรียกจะผุดออกมาเป็นดอกเห็ด และ สำหรับคนที่ฉลาดพอเท่านั้นจะแกะความต้องการเหล่านั้นออกมาได้ สำหรับกรณีของบริการ web application หรือ service ใดๆที่ผ่านกระทำผ่าน website นั้นจะสังเกตเห็นได้ว่ามีลักษณะความเป็น beta ความหมายมีสองนัย คือ ทดสอบให้คนใช้งานได้จริงๆเพื่อดูว่ามันจะเจ๋งหรือเจ้งอะไรตรงไหนบ้าง แต่อีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องการ feedback ความสามารถ ความต้องการ และความคิดเห็นเพิ่มเติมจากคนที่ได้ลองใช้มาแล้วครับ เราไม่รู้หรอกว่าเราต้องการอะไรจนกว่าจะได้เห็นหรือว่าได้ใช้มัน การสร้างอะไรก็ตามที่เป็น beta ออกมาเพื่อให้ได้ลองได้ใช้ แล้วแกะความต้องการนั้นออกมาได้เป็นวิธีแบบประนีประนอม คือ ลูกค้าไม่ได้ถึงกะไม่ได้เคยใช้เลย แต่ว่าลูกค้าเอาก็ไม่ได้คิดจากศูนย์เหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็น ความคิดการได้ สินค้าหรือบริการแบบใหม่แบบกลางๆครับ

เนื้อหาของ Blue Ocean Strategy จะเป็นการกำหนดแนวคิดเพื่อให้ได้สินค้าหรือบริการใหม่อย่างเป็นระบบ เพียงแต่ว่าจะคิดได้จากประเด็นอะไรบ้าง แต่ไม่ได้บอกว่ามันคืออะไร แน่นอนว่าแต่ละคนจะมีประสบการณ์ความคิดที่แตกฉานแตกต่างกันไป ทำให้ผลที่ได้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า จะมีอะไรออกมาใหม่หรือ หรือว่า ถึงแม้ว่ารู้วิธีหรือแนวคิดแล้วจะคิดอะไรออกมาใหม่ แล้ว ทำให้เป็น product หรือ service ที่สร้างประโยชน์ให้แก่ชาวโลกได้อย่างแท้จริงหรือไม่ สุดท้ายก็ต้องใช้ความเชื่อเท่านั้น เพราะอย่างที่รู้กัน มันไม่เคยมีความคิดแบบนั้นมาก่อนนี่หน่า แล้วจะเอาอะไรมาประเมินล่ะ .. การประเมินความเป็นไปได้วามันจะ work หรือไม่ work นั้นมันก็สามารถทำได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้นแต่ก็ยังบอกอย่างชัดแจ้งไม่ได้นั่นเองแต่ว่า ความเชื่อเท่านั้นที่มันจะบอกคนที่ออกแรงดันผลักสินค้าหรือบริการนั้นออกมาให้เป็นตัวตนได้จริงในท้ายที่สุด

แต่เดิมคิดออกมาได้ยังไง?

แต่ไหนแต่ไรมาความคิดสร้างสินค้าหรือบริการใหม่มันก็มีอยู่แล้วครับ แค่ว่ามันไม่ได้คิดอย่างเป็นหลักการเท่านั้นเอง เรียกว่า “มันลอยมา” อยู่ๆก็คิดได้ สำหรับผมเองก็เจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ ว่ามันลอยมา เราออกแรงคิดอย่างมีสติสัมปชัญญะไม่ได้ครับ ในหลายๆเรื่อง เพราะ เราลืมตาอยู่ เรากำลังคิดอยู่ สมองออกแรงด้วยเศษเสี้ยวของสมองอยู่ ที่เหลือมันหลับไม่คิดไม่ได้ใช้ครับ (ผมเชื่ออย่างงั้นอยู่เหมือนกันนะครับ) ลักษณะความคิดสินค้าใหม่มันเป็นแบบ wishful thinking คิดอยากให้มีอยากให้เป็นแบบเวทมนต์เลย แล้วมันก็ลอยมาเองครับ หาเห็นโอกาสได้เองจากประสบการณ์ที่ผ่านมาหรือจากการกระตุ้นใช้งานอยู่บ่อยๆ ทำให้สมองโหลด ความคิด จับเชื่อมข้อมูลต่างๆได้เอง มันไม่ได้เป็นความสามารถของบุคคลหรอก มันเป็นความสามารถของสิ่งที่เรามองไม่เห็นตะหาก ลอยมา เสกมา มาเองก็เยอะแยะครับ

แล้วแนวคิด BOS (Blue Ocean Strategy) มันคิดยังไงกันเนี่ยะ?

เริ่มตินไม่ยากน่ะครับ เราต้องรู้ซะก่อนว่า เรายืนอยู่ที่ไหน ธุรกิจที่เหมือนว่าจะเป็นเป้าหมายเพื่อให้เราเทียบเคียงได้มันน่าจะเป็นอะไร ? ที่ผมต้องบอกแบบนี้เพราะว่า ถ้าอ่านจากหนังสือหรือที่เรียนมา เค้าจะมีการอธิบายถึงแผนภาพผ้าใบ(ก็กราฟดีๆน่ะหละ) ครับ แล้ววก็จะแสดงเส้นให้เห็นอย่างน้อยก็ต้องสองเส้นเหมือนว่าอยากจะเปรียบเทียบกับ่สินค้าหรือบริการที่มีอยู่แล้ว ที่เราจะคิดใหม่ ทำใหม่ (ไม่มีการเมืองนะครับ) อะไรแบบนี้น่ะครับ ผมจริงเลยอาจจะบอกแค่ว่า ต้องโมเมมาเหรอป่าวที่จะเลือก business หรือธุรกิจข้างเคียงมาเทียบเคียง อาจจะพิจารณาจากว่ามันเป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้ หรือ คิดจากคู่แข่งทางอ้อม ก็ได้น่ะครับ คู่แข่งทางอ้อมก็เช่น สมมุติว่า ผมคิด microwave ได้คนแรกของโลก (แอ้ะ ผมก็ยังต้องคิดก่อนหน้านี้ว่า แล้วผมจะคิดทำ microwave ไปทำอะไรกันเนี่ยะ) ลองนึกเองย้อนเองไปว่า ตอนนั้นมีการ cooking แบบไหนบ้างแล้วมันจะดีกว่ามั้ยถ้ามี application ของ microwave ออกมาได้ เพราะงั้นหลังจากที่ผมพิมพ์ไปคิดไปตะกี้นี้จะเห็นได้ว่า หากว่ามันเป็นเรื่องใหม่มากจริงๆ สิ่งที่คิดเทียบจะได้แค่ว่า คิดเทียบกับอะไรที่คล้ายๆเท่านั้น ไม่สามารถหาอะไรตรงๆมาคิดเทียบได้ครับ

ว่าด้วยผืนผ้าใบแกนเอ็กซ์ : พอคิดได้ว่าจะเทียบกับอะไรดีที่คล้ายๆหรือว่าอยากจะแข่งด้วยจังก็ ต้องคิดต่อไปว่า “ของเหล่านั้นลูกค้าซื้อไปเพราะว่าอะไรกันเนี่ยะ?” แสดงออกมาเป็นรายการเลยครับ เอาแบบที่ว่า มันเป็นตัวตัดสินใจจริงๆ ข้อมูลนี้ผมว่า เราคิดเองเออเองก็ได้ไม่ยากน่ะครับเพราะว่าถ้าหากว่าเราก็เป้นส่วนหนึ่งของการเลือกซื้อ หรือว่าเคยเลือกซื้อหรือไม่เลือกซื้อเราก็จะรู้อยู่เหมือนกันว่า เค้าดูอะไรกัน ผมยกตัวอย่างดีกว่า ที่ผมเจอล่าสุด คือ มือถือผมก็มี set ว่าผมจะดูอะไรบ้าง เช่น ราคา ขนาดน้ำหนัก แล้วก็ความสามารถเจ๋งๆของเครื่องต่างๆนาๆ มันเป็นปัจจัยในการเลือกซื้อและไม่เลือกซื้อสินค้ามือถือของผม เป็นต้น แต่ว่าพอผมไปถึงร้านผมสังเกตว่า ผมเอามือถือไป turn (เพื่อที่จะได้ตัวใหม่) แล้วสิ่งที่เค้าตรวจเป็นคนละเรื่องกับที่ผมเลือกที่จะซื้อ (เค้าดูว่ากล้องยังชัดหรือเปล่า เป็นต้น ทำไมผมไม่ดูเรื่องกล้องน่ะเหรอครับ เพราะว่าผมไม่ได้ใช้นี่หน่า แต่ว่าคนอื่นเค้าดูน่ะครับ ทางร้านมีประสบการณ์มากกว่าผมเป็นไหนๆเพราะว่าเค้าเห็นพฤติกรรมการเลือกซื้อทุกวันทุกๆ deal ที่มีการซื้อขาย)  ร้านค้ามีประสบการณ์เยอะกว่าผมมากว่า “คนทั่วไป” เลือกซื้อสินค้าและบริการนั้นด้วยเหตุผลอะไร เพราะงั้นหากว่าคุณไม่ได้เป็นคนที่มี sense ในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการนั้นจริงๆอย่าเอาตัวเองเป็นมาตราฐานหรือบรรทัดฐานว่า คนอื่นเค้าจะเลือกเพราะเหตุผลเดียวกับตัวเองจริงๆครับ ถามเยอะๆ ถามคนให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จะทำให้ แกน x บนผืนผ้าใบมันสะท้อนสิ่งนี้ได้จริงๆ นั่งเทียนเอามันก็เร็วดีแต่ว่าเรามั่นใจได้เหรอป่าวเนี่ยะ  นั่นน่ะหละครับ คำถามที่คุณต้องถามตัวเองด้วย เพราะฉะนั้น คนคิดข้อมูลแกนนี้จะต้องเป้นคนที่กระแทกกับลูกค้าตรงๆจะมี sense เรื่องนี้มากที่สุดครับ มันเป็นวิธีการลัดๆ กว่าที่จะไปถามแต่ละลูกค้า เพราะ คนที่กระแทกลูกค้านั้นจะเห็นลูกค้าไม่ได้แค่คนเดียวครับผม หรือ คุณอาจจะเก็บข้อมูลจากลูกค้าก็ได้ นั่นก็แปลว่าคุณน่ะหละกะลังทำตัวเป็นคนกระแทกลูกค้ายังไงอย่างงั้นก็ได้น่ะครับ แล้วแต่ว่าอยากออกแรงมากน้อยแค่ไหน

ว่าด้วยผินผ้าใบแกนวาย : แกนตั้งสำหรับกราฟนั้นจะบอกแค่ว่าสินค้าหรือบริการนั้นนำเสนอปัจจัยแกนเอ็กซ์ได้มากน้อยแค่ไหน ประเด็นนี้เริ่มนั่งเทียนอีกแล้วว่า แล้วจะเอาอะไรเป็นมาตราฐานว่า แบบนี้เรียกว่า ดี หรือ ว่าแย่ หรือไม่ค่อยเท่าไหร่ high หรือ low หรือ ธรรมดา ผมก็เริ่มคิดต่อไปว่า งั้นเอาแบบนี้ดีกว่า เราคิดเป็นข้อมูลที่แน่นอนไม่ได้แต่ว่าเราสามารถเทียบได้นี่หน่า เทียบเอามันก็ไม่ยากเนาะ เช่น สมมุติว่า เรากำลังคิดเรื่องความเร็วในการเดินทางจาก กทม ไป เชียงใหม่ แอ้ะ ผมยกตัวอย่างนี้ไม่ดีเท่าไหร่เพราะว่ามันประเมินได้ เป็นตัวเลขด้วยซ้ำก็คือ ระยะเวลาในการเดินทางครับ แต่ว่าสิ่งที่สะท้อนในกราฟมันไม่น่าจะเป็นตัวเลขแบบตรงๆครับผม ผมกำลังบอกว่าให้ประเมินเอาว่า เร็วแบบนี้มันดีต่อลูกค้าแค่ไหนมันไม่ได้ตรงๆน่ะครับแบบนี้ เอาเป็นว่าเอาแค่ให้รู้ได้ว่าอันไหนดีกว่าอันไหนเท่านั้นก็พอแล้วครับ

เพราะว่าอะไรน่ะเหรอครับ สิ่งที่เราต้องการจากกราฟไม่ใช่ว่าเอาสินค้าหรือบริการมาแข่งกันครับ แต่ว่าเราเอามาเพื่อที่จะดัดหรือบิดหรือยึดหดขยายทั้งทางแกน y และ แกน x ออกจากกัน ต่างหาก เป้าหมายคือ สินค้าหรือบริการที่จะออกแบบใหม่นั้นมันต้องหน้าตาลวดกราฟนี้ไม่เหมือนเดิม เอามันให้เพี้ยนไปจากเดิม ทุบมันงอมันหักมัน แล้วก็เพิ่มยืดมันออกไปตามแกน x (คือเพิ่ม ตัวแปรแกนเอ็กซ์เพิ่มไปอีก ลูกค้าไมเคยมองก็มามองซะ ยกตัวอย่างเช่น มือถือไม่เคยมีกล้อง กล้องกลับกลายเป็นปัจจัยที่ถูกพิจารณาคุณค่าซะงั้นในปัจจุบันเป็นต้น) ในความคิดผมเองนั้น minimum requirement เพื่อให้ได้สินค้าที่แปลก work ออกไปแค่ดัดแกน Y ก็น่าจะใช้ได้แล้วครับ แต่จะเจ๋งกว่านั้นถ้าผมเพิ่มแกนเอ็กซ์ๆ ให้มัน xxx เพิ่มไปหลายปัจจัยได้ก็จะดีน่ะครับ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับฟ้าประทานน่ะครับ

สำหรับวิธีการเพื่อออกแรงสมองส่วนจิตสำนึก เพื่อให้ได้กราฟที่บิดเบี้ยวออกไป BOS มีแนะนำกระบวนการเอาไว้ด้วยครับ คือ

ลด , สร้าง , เพิ่ม , กำจัด (เหมือนเป็น keyword พวก 5 ส อะไรแบบนี้น่ะครับ)

ลด : ปัจจัยหรือกิจกรรมอะไรที่เราลดให้ต่ำกว่ามาตรานอุตสาหกรรมหรือมาตราฐานสินค้า ที่ผมเข้าใจ เช่นว่า ลดคุณภาพสินค้า ลดบริการ .. แล้วแต่จะลด รวมทั้งลดราคาก็ได้น่ะครับ แต่ว่าต้องเข้าใจ่ด้วยว่าที่เราลดเพราะไม่ได้ลดเพราะการแข่งขันกันอยู่กับตลาดเดิม เราลดเพื่อสร้างตลาดใหม่นะครับ

กำจัด : ปัจจัยอะไรที่จะไม่มีอีกต่อไป ไม่ต้องให้เป็นปัจจัยเพื่อให้ลูกค้าพิจารณาอีกต่อไป เราก็ไม่ต้องมี ลองไม่มีดู (แหมแค่คิดมันลองกันได้นะครับ) เช่นถ้าจากที่เรียนมาก็คือ เช่น wine กำจัดเรื่องของระยะเวลาในการบ่มหมัก ซึ่งปกติคนเราจะดูนะครับ เค้าว่าอย่างงั้นผมไม่ได้เป็นคนกินไวน์ไม่รู้หรอก เอาเป็นว่าอะไรกำจัดออกไปได้(หรือไม่ได้ในใจคุณ) ลองคิดกำจัดมันดูครับ

สองประเด็นข้างต้น คือ ลด และ กำจัด มันขัดความคิดคนปกติที่คิดอะไรแบบเดิมๆเพื่อให้แข่งขันกันในตลาดเดิมๆเอามากๆครับ เพราะเรากำลังบอกว่าเราต้องพัฒนา เราต้องทำให้ดี อะไรที่เป็นปัจจัยอยู่เราต้องทำให้เจ๋ง แล้วจะไปกำจัดมันได้ยังไงล่ะ ผมพูดซ้ำอีกทีดีกว่ามั้ยครับว่า “เรากำลังหาตลาดใหม่ !” คิดแบบเดิมๆมันก็เหมือนเดิมเหมือนกะที่เจออยู่น่ะหละ ปัญหาเดิมที่มันแก้ไม่ได้หรือแก้ไม่ตก มันไม่ได้ใช้ความคิดเดิมจากหัวสมองที่ใส่ข้อมูลเดิมๆประมวลผลแบบเดิมแล้วคิดเหรอว่าจะได้ความคิดอะไรใหม่ออกมา ! ผมตะโกนใส่อีกทีก็ได้น่ะครับ

สร้าง : ปัจจัยอะไรใหม่นี่เราจะสร้างเพื่อเป็นปัจจัยที่ไม่เคยถูกมามาก่อนสำหรับลูกค้าผู้ใช้สินค้าหรือผู้รับบริการครับผม

เพิ่ม : ตรงข้ามกับลดยังไงน่ะครับ อ่านลดอีกครั้งแล้วกัน .. มันก็แค่ขยับกราฟจะเพิ่มหรือจะลดมันก็คิดได้สองทางครับ

วิธีคิดมันไม่ได้คิดมาจาก ลด สร้าง เพิ่ม กำจัด ได้ซะทีเดียวครับ มันต้องผนวกกับการคิดสินค้าหรือบริการแบบยกเมฆด้วยส่วนหนึ่งแล้วเอามาคิดเทียบว่ามันมีอะไรลดเพิ่มสร้างกำจัดอะไรไปจากแนวคิดที่ว่าครับผม หรือ อีกวิธีก็คือ คุณแค่ลองคิด ลด เพิ่ม สร้าง กำจัด มันดูแล้วจินตนาการสินค้าหรือบริการแบบนั้นออกมาให้เป็นรูปเป็นร่างเอาก็ได้ สำหรับวิธีการแล้ว อิสระไร้รูปแบบ และมันก็ พริ้วไหวดั่งสายน้ำครับผม

คิดได้เท่านี้คุณแทบไม่ต้องวาดกราฟลงไปอีกก็ได้แต่ว่าถ้าอยากรู้ว่ามันออกมาหน้าตาเป็นยังไงเหมือนกราฟราคาทองหรือตลาดหุ้นเหรอป่าวก็วาดลงไปก็ได้ไม่มีใครว่าอะไรครับ เราก็จะเห้นได้ว่ามันแตกต่างหน้าตาไปแค่ไหน แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ทึ่ตรงนั้นน่ะซิ ปรากฏว่า สิ่งที่คิดออกมาได้นั้น โดยรวมแล้ว “มันต้องได้จุดขายออกมาเป็นคำพูด อธิบายให้คนอื่นรับรู้ได้” เพราะถ้าหากว่าคุณปรับกราฟแล้ว คุณเองก็ไม่รู้ว่า อะไรเป้นจุดขายของมันแล้วล่ะก็ไปบิดกราฟอีกรอบจะดีกว่าน่ะครับ อย่าคิดต่อให้เปลืองพลังงานและเวลาเลยครับ ไม่มีจุดขายแล้วจะขายอะไรล่ะนั่น โอ้ว . ไปวนกันใหม่น่ะครับ

ภาพรวมกว่านั้นสินค้าหรือบริการที่ออกมามันจะ “สนใจบางอย่างแล้วช่าง..บางอย่างที่เป็นปัจจัยสำหรับในการเลือกซื้อสินค้าและบริการใหม่นั้นเมือเทียบกับสินค้าหรือบริการเก่าๆ” สนบางอย่างไม่สนบางอย่างมันก็คือการบิดกราฟดีๆนี่เองครับ ออกมาแล้วก็ต้องมีจุดขายไม่เหมือนชาวบ้านเค้าว่าง่ายๆ

หนทางในการคิดแค่ลดๆเพิ่มๆสร้างๆกำจัดๆ .. แล้วคิดอะไรไม่ออกอยู่ดี จะคิดแบบไหนได้อีก?

ตะกี้ที่ผมบ่นๆมาทั้งหมดเนี่ยะ ต้นเหตุของการคิดสินค้าหรือบริการใหม่มันก็ยังเป็นแบบ wishful thinking อยู่ดีหรือว่าหากว่ามองเห็นโอกาสธุรกิจอะไรได้แล้วถึงเอามาประเมินว่า มันทำให้กราฟผ้าใบแตกต่างออกไปเหรอป่าวเท่านั้นน่ะครับ แต่ว่าจริงๆแล้ว BOS นั้นมีกำหนดแนวคิดมาให้อีกตะหากว่า คุณจะคิดมันออกมาได้ยังไง ด้วยวิธีการหกประการต่อไปนี้ครับผม ..

- เส้นทางการคิดค้นหาเพื่อให้เปิดทะเลสีครามแบบที่ 1 :
ให้มองไปยังอุตสาหกรรมทางเลือก แล้วอะไรคืออุตสาหกรรมทางเลือกกันล่ะ ไม่ยากน่ะครับ อุตสาหกรรมทางเลือก มันคือ สินค้าหรือบริการใดๆที่ “ทดแทนกันได้” มันจะต่างกันแค่รูปแบบแต่ว่ามันทำหน้าที่เหมือนกัน หรือ “เป็นทางเลือกอื่นๆได้” มันจะต่างกันที่รูปแบบ และ หน้าที่ แต่วัตถุประสงค์เดียวกัน พิมพ์เองยังงงเองเลยแล้วมันยังไงกันล่ะ ? เอาอย่างงี้คึดแบบนี้จะดีกว่าครับ คือ สำหรับกรณีแรก ก็คิดซะว่า “หน้าที่เหมือนกัน” นอกนั้นต่างกันแล้วมันแทนกันได้ เช่น สมมุติผมสุ่มสินค้าออกมาจากอากาศสักอัน เช่น อะไรดีน้า .. แอร์แล้วกัน ยึดหน้าที่มันเอาไว้ในใจ (นั่นก็คือ เป่าลมเย็น ทำให้ห้องเย็น แต่ทำให้โลกร้อนเป็นของแถม) มอะไรทดแทนมันได้ล่ะ .. ก็สมมุติว่าโลกนี้ไม่เคยมีพัดลมมาก่อน ก็คิดว่า หน้าที่เพื่อให้ห้องเย็น … ผมไม่พูดถึงพัดลมแล้วกันเพราะวามันมีอยู่แล้ว ผมลองคิดด้วยกันตรงนี้เลยดีกว่าว่า หน้าที่คือ ทำให้ห้องเย็น . . เหมือนกัน แต่ว่า ..มาในรูปแบบอื่น เช่น อ้อ ..รับออกแบบบ้านให้เย็นจากธรรมชาติ มันก็ทำให้ห้องเย็นได้เหมือนกันนี่เนาะ หรือว่าคิดอย่างอื่นอีกก็กำแพงหล่อเย็นก็ได้ (ผมบัญญัติศัพท์มาเองน่ะครับ คือ กำแพงที่ทำหน้าที่ให้ความเย็นได้ ผมไม่รู้หรอกว่า มันจะออกมาเป็นยังไงแต่ว่าถ้าทำออกมาได้ก็ทดแทนได้แถมไม่ต้องมีแอร์อีก) หรือตั้งคำถามให้เน็นไปที่วัตถุประสงค์ไปเลยก็ได้ แอร์ เพื่อทำให้คนรู้สึกเย็นสบาย (จริงๆเราไม่ได้อยากจะให้ห้องเย็นหรอกครับ เราอยากจะให้ตัวเราเย็นมากกว่า) สิ่งที่คิดออกพร่านออกมาเช่น เสื้อผ้าที่ใส่แล้วเย็นดี หรือเสื้อผ้าใส่แล้วมันก็สบายดีอยู่ที่ไหนๆก็เย็น  คิดเรื่องอุตสาหกรรมทางเลือก มันเน้นแค่ว่า ให้เริ่มคิดจาก หน้าที่ หรือ วัตถุประสงค์ของสินค้าหรือบริการที่มีอยู่แล้ว แล้วก็สร้างสรรค์จินตนาการ คิดฟุ้งซ่านพร่านไปทั่ว เป็นสินค้าหรือบริการใหม่ๆออกมาได้ ตัวอย่างตะกี้ผมว่ามันไม่พร่านมากนัก ผมว่าถ้าคิดให้พร่านกว่านี้ก็น่าจะทำได้ไม่ยากครับ ต้องใส่จินตนาการเด็กๆเพิ่มเข้าไปอีก ให้ความคิดออกมามีอารมณ์สนุกสนานมากๆ มันจะได้ไอเดียอะไรเจ๋งๆอีกเยอะมากน่ะครับผม (work เหรอป่าวอีกเรื่องนึง มันจะมีเงื่อนไขเป็นเรื่องธรรมดาแต่ว่าอย่าเพิ่งไปคิดตอนนี้ครับ)

- เส้นทางการคิดค้นหาเพื่อให้เปิดทะเลสีครามแบบที่ 2 :
ให้มองไปยังกลุ่มกลยุทธ์ภายในอุตสาหกรรม : อ่านแล้วงงๆอีก ผมก็คิดว่า แท้ที่จริงแล้วมันต้องการที่จะสื่อว่า “ให้แหกกฏ” “ให้แหกเงื่อนไข” ของสินค้าและบริการที่มีหรือเป็นอยู่นั้นออกไปครับ ผมยกตัวอย่างที่ผมคิดว่า มันน่าจะคิดอย่างงี้ .. ดูสักตั้งดีกว่าครับ ในหนังสือจะมีบอกว่า ฟิสเนตต้องเป็น member แล้วก็ไปแล้วก็ไม่ค่อยได้คุยกะใคร เครื่องเรียงเป็นตับๆ หันหน้าเหมือนกัน มีผู้ชายเข้าได้ผู้หญิงเข้าได้ปนเปกันไป ลองคิดดูน่ะคับถ้าคุณจะทำฟิตเนสอีก คุณมองเห็นเรื่องพวกนี้เป็น “กฏ” เหรอปาว ความคิดแรกคุณจะเห็นว่า อ้อ.ก็เค้าทำแบบนี้กันแล้ว work นี่หน่า มันก็นาจะเป็นเงื่อนไข หรือ กฏเพื่อที่จะทำให้สินค้าหรือบริการนั้นขายได้ ขายออก ครับนั่นน่ะหละครับ มันเป็นอะไรที่ต้อง “แหก แหวก” แล้วเอาหัวมุดเข้าไปดูว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่นี่หน่า เงื่อนไขธุรกิจเหล่านั้นต่างหากที่จะเป็นตัวท้าทายว่า มันเป็นเงื่อนไขทางจิตใจที่ถูกสร้างขึ้นมาทันทีครับ ผมได้คุยกะคนยาสีฟันนะครับ ผมก็ถามเค้าว่า ทำไมไม่ทำ refill ล่ะมันไม่ต้องเป็นหลอดๆแบบนี้ได้เหรอ่ปาวเนี่ยะ .. เค้าก็บอกผมทันทีว่า มันมีเงื่อนไขเรื่องความสะอาด ดีเลยครับผม ! นั่นหละเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ผมยยกตัวอย่างว่า มันเป็นเงื่อนไขหรือกฏ ที่สร้างขึ้นมาโดยไม่ได้มีใครไปแหกหรือพยายามแหวกมันเป็นต้นครับผม มันมีเรื่องเยอะแยะให้แหวกแล้วมุดเข้าไปครับ คิดเชิงนี้ผมว่ามันต้องมีอะไรเจ๋งๆออกมาสักอันซิน่า..

ตัวอย่างการคิดแหวกแบบคิดให้ดูสดๆ :
ผมยกตัวอย่างที่ผมว่ามันคงมีแล้วน่ะหละ เพราะว่าเรื่องการคิดแหวกแบบนี้มันคิดไม่ยาก ร้านข้าวแกง มีเงื่อนไขขึ้นมาในจิตนการมโนภาพเดิมๆทันทีว่า จะมีหลอดไฟส่องอาหารแสงสีนวลอ่อน ฉาบฉายไปที่ก่ทอดและบรรดาแกงรสต่างๆ อยู่ในตู้กระจกที่มีคนอีกฝั่งที่เป็นพนักงานยืนอยู่ ลูกค้าจะเอาอะไรก็ใช้ดัชนีชี้ไปทีสิ่งนั้น กับข้าวเหล่านั้นก็จะโดนตักโปะไปที่ข้าวแล้วคิดราคาตามจำนวนประเภทกับข้าวนั้น .. บรรณนาโวหารมากมายครับแบบนี้ มีที่ให้แหกเยอะเหลือเกิน ครับ ผมแหกให้ดูให้หัวผมเล่นน่ะครับ ไฟที่ติดเพื่อให้มันดูอร่อยดูสะอาดผมติด black light ได้มั้ยเนี่ยะ (ก็เหมือนกะเรื่องเอ๋อๆที่ลานโบว์ทำไมเอา blacklight ไปติดแล้วตอนคิดไม่คิดเหรอครับว่ามันจะมองเห็นลูกเหรอ่ป่าวน่ะ ) อืม..หรือว่าไม่มีก็ได้เนาะ พนักงานทำไมต้องไปยืนข้างนั้น แล้วมายีนด้วยกันไม่ได้รึไง ไม่มีตู้กระจกได้มั้ยเนี่ยะ พนักงานไม่ต้องตักให้ ผมจะตักเองก็ได้นิ ทำไมต้องเป็นแกงล่ะ เป็นเนื้อหมูของข้าวขาหมู หรือว่าเนื้อไก่ข้าวมันไก่ไม่ได้เหรอ หรือว่าเป็นอาหารอื่นๆต่างๆนาๆ ทำไมต้องเป็นข้าวเปล่าเป็นข้าวสมุนไพรไมได้เหรอ ข้าวกล้องก็ได้อ่ะ .. โม้เรื่อยเปื่อย ไม่มีข้าวไม่ได้เหรอ ทำไมต้องกินข้าวล่ะ กินสเต็กมันเลยดีกว่า หรือเป็นผักล้วนซะงั้นน่าจะดูดีมีสุขภาพนะ ทำไมต้องมาคิดเงินตามจำนวนประเภทล่ะ ผมคิดตามน้ำหนักไม่ได้เหรอ คิดตามทัพพีไม่ได้เหรอ ไม่จ่ายเหมาเอาก็ได้นะ หรือคิดตามจาน หรือไม่คิดเงินแล้วขายอย่างอื่นแทน .. พนักงานตักไม่เป็นป้าไม่ได้เหรอ ถ้าอยากจะมีเน่ยะ เป็นพวกสาวๆ cosplay ก็น่าจะดีน่ะครับ เฮอะๆ. คนเข้าไปกินเนี่ยะอายเค้ามั้ยเนี่ยะ .. (ไม่มั้งเพราะว่ายังไม่คนเข้าอาบอบนวดอยู่เลย เกี่ยวไรกันเนี่ยะ)

จะเห็นได้ว่าแค่ห้านาทีที่คิดมันออกมาได้มากมายเราสามารถที่จะปะติดปะต่อความคิดเพ้อเจ้อบ้าบิ่นและแหกกฏเหล่านั้นออกมาไปเพือสร้างเป็นสินค้าข้าวแกง(หรือมันเป็นอย่างอื่นไปแล้ว) ได้ไม่รู้จบ แล้วก็ย้อนกลับไปดูประเมินปัจจัยบนผ้าได้ไม่ยากครับ แต่ว่าจริงๆมันสนุกตรงที่คิดกระเจิงนี่หละครับ และจริงๆผมว่า การคิดแบบเส้นทางที่สองแบบนี้ น่าจะทำได้ง่ายสุดๆแล้วสำหรับคนที่ทั่วไปที่ยังมีจิตนาการอยู่ครับ (แนะนำให้เล่นเกมส์ต่อไปเพื่อส่งเสริมจินตนการ)

- เส้นทางการคิดค้นหาเพื่อให้เปิดทะเลสีครามแบบที่ 3 :
มองข้ามกลุ่มคนซื้อกันไปเล้ย : แนวคิดนี้เราไปฟุ้งซ่านแถวคนซื้อหรือว่ากลุ่มลูกค้าครับ หากคุณอยู่ในอุตสาหกรรมอะไรอยู่ก็ตามที่มีลูกค้าอยู่ ตบหัวลูกค้า(ในใจ)แล้วก็บอกลากันได้เลยว่า ไม่เอายูแล้วนะ..ไอจะนอกใจ.. คิดอีกว่า คนที่ไม่ได้เป็นลูกค้าเรามันเหลืออะไรมั่ง(โลกทั้งใบ ลบด้วยลูกค้าเรา .. มันก็เหลืออีกเยอะมาก เยอะมากจริงๆ) สินค้านั้นใครเป็นคนซื้อไป ซื้อไปให้ใคร ใครจ่ายเงินนะ แล้วใครเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ ผมไม่ได้บอกว่าลูกค้านั้นทำหน้าที่เหล่านี้ได้ทั้งหมดเองในตัวตนของตัวเองครับ คือง่ายๆ เลิกมองลูกค้าตัวเองไปเล็งความคิดที่ลูกค้าในอุตสาหกรรมอื่นก็ยังดี จะเอาคนที่ไม่เคยซื้ออะไรจากเราเลยมาซื้อของจากเรา (สินค้าหรือบริการอื่นๆ หรือตัวเดิมหากทำได้) มันจะทำได้ยังไง ยกตัวอย่าง คิดๆไปเรื่อยเช่น เสื้อผ้าเด็ก เรารู้ว่าเรา design เพื่อให้เด็กใส่แต่ว่าพ่อแม่ต่างหากเป็นคนตัดสินใจซื้อ และ หนังสือ fashion ผู้ใหญ่ต่างหากที่เป็นแรงอิทธิพลให้ผู้ใหญ่เลือกซื้ออะไรให้กับเด็ก สมมุติว่าผมรู้ว่าลูกค้าผมคือผู้ใหญ่ แล้วเด็กล่ะ .. ผมจะทำยังไงให้เด็กได้เลือกซื้อเองได้โดยไม่มีอิทธิพลผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมย้ายจากผู้ใหญ่เป็นเด็กจริงๆ คุณอาจจะแปลกใจว่า เงื่อนไขในใจได้ผุดออกมาแล้วว่า .. อืม . เด็กไม่มีเงินนี่หน่า แล้วจะซื้อได้ยังไง นั่นมันปัญหาของคุณนิ คิดต่อได้ไม่ยากน่ะครับผมคิดออกแล้วด้วยว่าจะแก้เรื่องนี้ได้ยังไง แต่ว่าผมไม่พิมพ์บอกในนี้หรอกครับ เพราะว่าท่าทางว่าจะอธิบายยาวครับผม เวลาออกแบบสินค้าหรือบริการใหม่ อาจจะตั้งเป้าคนที่เหลือที่อยู่บนโลกนี้ได้เป็นสองแบบจากหนังสือตะกี้ได้เล่าเกริ่นไปแล้ว คือ แยกเป็น
”คนจ่ายเงิน” ”คนใช้” และ “คนที่มีอิทธิพล” ดูว่าสินค้าเรานั้นจะออกแบบไปกระตุ้นเร้าใครได้บ้าง ย้ายตำแหน่งก็ได้เช่น แต่เดิมเราขายให้คนใช้ เราก็ไปขายให้คนมีอิทธิพลแทนก็ได้ สินค้าไม่ต้องเข้าไปติดต่อจัดซือ ไปติดต่อเจ้าของเอาก็ได้เป็นต้น ฟังดูไม่เร้าใจเท่าไหร่ งั้นมองคนที่เหลือของโลก (non-customer) แบบนี้ก็ได้ครับ พวกที่ไม่เคยใช้สินค้าเราเลย .. พวกที่คิดว่าสินค้าเราเป็นทางเลือก.. พวกที่ได้ใช้สินค้าเราบ้าง . .แบ่งออกมาแล้วลองคิดว่า จะสนองความไม่เคยต้องการนั้นได้อย่างไรครับ มันเหมือนเป็นการคิดข้ามกลุ่มอุตสาหกรรม ข้ามทางเลือกเหมือนแนวทางที่หนึ่งแต่ว่าตั้งเป้าความคิดไปเป็นที่คนแทนครับไม่ใช่ที่ service หรือสินค้าอะไร มองไปที่ลูกค้าของสินค้าหรือบริการของอุตสาหกรรมอื่นแทนยังไงอย่างงั้นเลยครับ

ผมคงต้องหยุดพิมพ์เท่านี้ก่อนแล้วกันนะครับ เพราะว่าเนื้อความที่ผมพิมพ์เอาไว้กะว่าจะพิมพ์ต่อก็ไม่ได้เขียนอะไรต่อมาอีก (หาเวลามาพิมพ์ต่อไม่ได้เท่าไหร่นะครับ) ยังไงก็แล้วว่างๆจะคิดอัดต่อให้มันรู้เรื่องมากกว่านี้แล้วกันนะครับ ^_^

แนวคิดออกกำลังกายแล้วใจจ่ออยู่กับที่อื่นที่ชอบๆ

ตอนที่ผมกลับมาจากโรงงานระหว่างที่นั่งรถก็คิดไปเรื่องที่ว่า “คนเราต้องออกกำลังกายมากกว่า 5000 kcal ++ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและไม่อ้วน” คำว่าไม่อ้วนนั้นเป็นประเด็นที่ผมพิจารณาคำนึงมากที่สุดเพราะว่า หากว่าคนไหนที่มีอาการอ้วน จะทำอะไรไม่สะดวกไม่ว่าจะเป็นการเดินเหิรหรือภาพลักษณ์ก็จะไม่ดีอีกด้วย(ประมาณว่าสาวๆจะไม่รักว่าอย่างงั้น) อีกประเด็นก็คือ เมื่ออ้วนแล้วโอกาสเป็นโรคจะสูงมากขึ้น ทั้งหมดนี้มันก็จะมีแต่ข้อเสีย และมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าหากว่าเราอ้วนมันจะตายเอาให้ได้ หรือว่าตายไม่ยากนั้นเอง สิ่งนี้คือสิ่งเดียวที่เราต้องการจะต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตที่ดี(หากว่ามันดี)ของเราเอาไว้ให้ได้ ไม่ว่าด้วยการกระทำอะไรก็ตาม

อีกมุมมองหนึ่งที่สวนทางกันก็คือ การออกกำลังกายถือว่าเป็นเสียเวลาหรือไม่ เพราะหากว่าเราไม่ได้สนุกกับมันหรือมันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาเลย นั่นก็อาจจะพิจารณาได้ว่ามันเป็นการเสียเวลาเพื่อออกกำลังกาย โดยมากแล้วคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำมักจะรู้สึกดีกับตัวเองที่มาออกกำลังกาย เพราะอย่างน้อยที่สุดเค้าก็จะรู้สึกว่ามันหนีข้อเสียที่ผมพิมพ์เอาไว้ที่ด้านบนได้แล้ว แล้วก็รู้สึกว่าอยู่เหนื่อคนอื่นๆ(ที่ไม่ได้ออกกำลังกายหรือสุขภาพไม่ดีอันเนื่องมาจากการไม่ได้ออกกำลังกาย) หรือถ้าหากว่าเป็นคนที่เล่นกล้ามก็จะรู้ว่าตัวตนของตัวเองนั้นมีกล้ามแล้วก็ทำให้คนอื่นคิดว่าเป็นพวกที่จะต้องแข็งแรงแน่ๆ ด้วย อืม .. ผมสังเกตอยู่เหมือนกันนะครับว่า ทุกอย่างอยู่ที่ความรู้สึกทั้งสิ้นเลยครับ อย่างงั้นก็ออกกำลังกายเพื่อให้เรารู้สึกเท่านั้นน่ะหละ รุ้สึกว่าเรารักษาชีวิคและคุณภาพชีวติของเรา อย่างงั้นเหรอ ?

การออกกำลังกายหากเราออกแบบที่มันน่าเบื่อ(สำหรับเรา) แล้วมันก็จะถูกพิจารณาได้ว่าเป็นสิ่งเสียเวลา เพราะฉะนั้นทางแก้หนึ่งที่ทำได้ก็คือ การ combine ผนวกสิ่งที่เราชอบทำแล้วเอาใจจดตั้งไว้กับสิ่งนั้นแล้วก็ให้ร่างกายส่วนที่เหลือทำในสิ่งที่คิดว่าน่าเบื้อเพื่อให้ร่างกายเราได้รับประโยชน์ทางกายภาพ (การถ่ายพลังงานออกจากร่างกายมากกว่า 5000 kcal เพื่อลดน้ำหนัก หรือ ควบคุมน้ำหนัก)

พอคิดได้อย่างงี้แล้วผมก็จะจัดการเอาโต้ะมาตั้งเอาไว้ที่กับเครื่องปั่นจักรยานที่มันอยู่กับที่ แล้วก็เอาคอมวางไปซะ ทีนี้ผมก็จะเล่น computer อาจจะอ่าน blog หรือ อ่าน feed ระหว่างการออกกำลังกายไปด้วยได้ครับ หรือว่า chat ๆ ไปด้วยก็ยังได้เลย มันจะทำให้เราจ่ออยู่กับหน้าจอ กิจกรรมใดๆที่อยู่หลังหน้าจอนั้น (อาจจะเป็นดูหนังก็ได้น่ะครับแต่ว่าสำหรับผมแล้วการดูหนังที่ไม่ได้อยากจะดูมันก็เป็นการเสียชีวิตอยู่ดีน่ะหละ เนาะ คนเราควรทำในสิ่งที่คิดว่า มันคุ้มค่ากับการที่จะต้องเสียชีวิตทำมันน่ะครับ) ว่าแล้วพอผมกลับไปถึงบ้านแล้วผมจะลองทำตามนี้ดูว่ามันเป็นไปได้เหรอป่าวน่ะครับ .. เฮอะๆๆ เพราะว่าอย่างน้อยผมตอนนี้ผมเจ็บขาอยู่(อาจจะวิ่งได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก วิ่งแล้วก็ช้าอัตราการเผา kcal ก็ต่ำ) ก็อาจจะไปปั่นจักรย่านอยู่กับที่แทนก็ยังได้เพราะว่า มันก็เป็นออกกำลังกายเหมือนกัน และมันก็ใช้กล้ามเนื้อที่ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ กับชุดที่ผมมีปัญหาอยู่ครับ แล้วลองแล้วได้ผลว่ายังไงจะพิมพ์เก็บข้อมูลกะความคิดกระฉุดอีกทีน่ะครับ .. เย้

เศรษฐกิจมันจะเพี้ยนไปกว่านี้หรือดีกว่านี้ด้วยเหตุผลอะไรดีน้า .. คิดเล่นๆกัน ..

เศรษฐกิจมันจะเป็นแบบนี้ไปอีกได้นานแค่ไหน?เป็นประเด็นที่เชื่อว่าคนทั้งโลกกำลังคิดตั้งคำถามอยู่ในใจหรือแม้กระทั่งตะโกนและประกาศออกมา(ไม่ใช่ผมคิดอยู่คนเดียวหรอกมั้ง) คนเราก็จะเลือกเชื่ออะไรสักอย่างหนึ่ง สำหรับตัวผมนั้นคิดไว้อยู่หลายแบบอยู่แต่ว่าแนวคิดนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากนักคือ

1. โลกเราก็จะเป็นแบบนี้เศรษฐจกิจแย่ๆ จะเป็นแบบนี้ค้างเอาไว้ไม่มีวันหยุดหรือยุติลงไปได้ เพราะ คนทั้งโลกรู้แล้วว่าสิ่งที่เราใช้เผาบริโภคมันเกินตัวกว่าที่มันควรจะเป็นอยู่มาก คนเราเริ่มเห็นว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ทำให้โลกโลกาภิวัฒน์นั้น มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย ทำออกมาแล้วก็แค่พุแตกหักดับสลายไปได้ เพราะคนเราใช้จ่ายเกินตัวกว่าความพอเพียงที่คนเราต้องการ คนเราไม่ได้ต้องการรถมากกว่าที่เราต้องการจะขับ เพราะ คนเรานั่งรถได้คันเดียว ณ เวลาหนึ่งๆเท่านั้น หรือ คนเราไม่ได้ต้องการบ้านหลังใหญ่ๆ เพราะ เราก็ยืนหรือนั่งหรือนอน ได้ณ ที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น ณ เวลาใดๆ เราไม่สามารถที่จะมีสองร่างแยกออกไปเพื่อจับจองพื้นที่ได้มากกว่านี้อีกแล้ว มันเยอะเกินไปกับการที่เรามีพื้นที่ที่คิดว่าเราเป็นเจ้าของ คนเราไม่ได้ต้องการเสื้อผ้ามากไปกว่า 1 ชุดต่อเวลา ณ ขณะใดๆเพื่อให้ร่างกายเราอบอุ่นสบาย คนเราไม่ได้ต้องการของเล่นประเภท gadget เพื่อให้เราโชว์คนอื่นได้ว่าเรามีอะไร หรือว่าเราใช้อะไรแต่จริงๆแล้วเราต้องการความสะดวกอยู่เบื้องหลังนั้นต่างหาก เราไม่ได้ต้องการอาหารปริมาณที่มากกว่า ที่เราจะเผาออกไป คนเราไม่ต้องกินข้าวชามโตๆ หรือแม้กระทั่งกินให้อิ่มด้วยซ้ำ เราต้องการแค่การกินพออิ่มเท่านั้น แค่ระงับความหิวของเราได้บ้างเพื่อให้จิตใจเราไปคิดเรื่องอันเป็นสาระสำหรับเราต่อไปได้(แต่ก็เพื่อที่จะหาอาหารเท่านั้น) คนเราไม่ได้ต่างไปจากสัตว์เท่าไหร่นัก การทำงานก็เพื่อหาอาหาร ก็เหมือนกับเสือที่ออกล่าเหยื่อมันก็เพื่อหาอาหารทำให้ท้องตัวเองอิ่มหรือไม่อิ่มแค่ผ่านไปได้ไม่เครียดอันเนื่องมาจากร่างกายบังคับหรือปล่อยเคมีทำให้จิตเราคิดว่าเราหิวๆก็เท่านั้น คนเราคิดออกว่า เรากำลังทำลายสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เราดำรงอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขุดเอาน้ำมันออกมาเผา การขุดเอาพลังงานใดๆเพื่อแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า การหายใจออกเพื่อปล่อยอากาศเสียออกจากจมูกเราตอนหายใจออก การกินอาหารเข้าท้อง แค่ทำให้ระบบนิเวศน์หมุนต่อไปได้เท่านั้น สิ่งเหล่านี้เราไม่ได้เป็นผู้ควบคุม เราต้องการสิ่งใดๆน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ .. อ้าว  .. แล้วอย่างงี้จะเกิดมาทำอะไรกันล่ะเนี่ยะ คิดกันอย่างงี้เลยเหรอ การไม่มีตัวตนก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับแนวคิดแบบนี้น่ะครับ เอ .. ย้อนมาดูเบาๆดีกว่าหากว่า สิ่งต่างๆที่ดำเนินมาเป็นสิ่งที่เกินตัว ! แล้วล่ะก็ .. เศรษฐกิจจะต้องแย่กว่านี้เพราะ ณ ตอนนี้ก็ยังเกินตัวไปอยู่ดีครับ แต่สำหรับกรณีนี้คิดว่าโอกาสเป็นไปได้จะยากหน่อย .. เพราะคนเราเห็นแก่ตัวและรักความสบายกว่านั้นมากครับ

2. เศรษฐกิจจะแย่แบบนี้น่ะหละ แล้วก็มันก็ดีขึ้น แต่มันก็จะกลับมาแย่ใหม่ กรณีแบบนี้เป็นไปได้อยู่เพราะคนเราจะคิดว่า อืม.. เพราะว่าตอนนี้มันไม่ดี มันไม่มี อะไรไม่จ่ายได้เราก็ไม่จ่ายไม่ทำอะไร อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ คนเราจะรับรู้ได้มากขึ้นว่าอะไรเรียกว่าจำเป็นและไม่จำเป็นโดยนิยามมันจะทำให้เกิดการผลิตและซื้อสินค้าที่น้อยลงเช่น แต่ก่อนคิดว่า การซื้อรถแบบนี้แล้วก็แบบนั้นก็จำเป็นเพราะว่ามันคนละแบบกัน เหมาะสำหรับการเดินทางที่คนละแบบกัน อาจจะกลับคิดเป็นว่า เราก็มีรถแค่แบบเดียวมันก็ใช้ได้เหมือนกัน (ทำให้การซื้อรถต่อคนลดตำลงอย่างน้อยก็เท่าตัวนึง) รองเท้าที่ซ่อมได้ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่ แทนที่การคิดแบบเดิมว่า มันเสียแล้วจำเป็นต้องซื้อใหม่ คนเราก็เล่นกับความจำเป็นนี่น่ะหละ แต่ว่า ณ เวลาใดๆ ความจำเป็นนั้นกลับยืดหยุ่นได้ไม่ได้จำกัดหรือมีอะไรที่แนนอนว่าอะไรเรียกว่าจำเป็นโดยแท้ แต่ว่าพอทุกคนบนโลกต่างออกมาแก้ไขซึ่งอาจจะแก้ได้ก็ได้ หรือแก้ไม่ได้ก็ได้ แต่ว่าแนวโน้มคือ การหลอกตัวเองว่าแก้ไขได้ก็จะทำให้คความจำเป็นหรือนิยามแห่งวามจำเป็นมันก็จะมีการปรับตัวออกไปเป็นแบบเติมทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโต เหมือนเดิม มันก็ loop ความคิดเดิมและสิ่งที่จะเป็นก็คือเหมือนเดิมเป็นวัฏจักรไม่รู้จบสิ้น แล้วแต่ว่าจะเจอหนักเจอน้อยก็เท่านั้น แต่ว่าต้องเจอแน่ๆกับการล้มลงของเศรษฐกิจโลก

3. เศรษฐกิจจะแย่แบบนี้น่ะหละ แล้วมันก็ดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นก็แล้วแต่ .. แต่มันจะล้มด้วยภัยพิบัติจากธรรมชาติ ซึ่งอย่าว่าแต่เศรษฐกิจเลย ชีวิตก็เอาตัวไม่รอด เนื่องจากการคิดว่า คนเราไม่ต้อง care กับการใช้ทรัพยากรโลกที่มีอยู่กำจัด แน่นอนว่ามวลจะโดนแปลงเป็นพลังงาน แต่ว่า ด้วยความสามารถตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเราทำพลังานให้เป็นมวลได้แล้วหรือยัง แล้วมวลนั้นๆมันมีประโยชน์เหรอป่าวก็ไม่รู้ ทำให้แนวโน้มการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจะดำเนินไปอย่างไร้ขอบเขตและแน่นอนว่า มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับโลกเรา และมันก็จะส่งผลต่อคนที่อาศัยอยู่ดาวดวงนี้ที่เรียกว่า โลก สิ่งต่างๆเหลานี้จะดำเนินไปเพราะ คนเราเห็นแก่ตัวเกินกว่าที่จะคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นๆ ยิ่งถ้าคิดว่ามันจะเกิดกับคนอื่นๆเมื่อเราตายไปแล้วด้วยนี่ยิ่งลำบากเลย (สำหรับกรณีประกันชีวิต มันเป็นแนวคิดตรงข้ามกันเพราะว่าคนที่ตายไปมีห่วงต้องการทำเรื่องราวต่างๆให้ดีแม้ว่าตัวเค้าจะได้ตายไปแล้วก็ตาม .. แต่ว่าสำหรับโลกเราคงไม่มีคนทำประกันชีวิตให้หรอกมั้ง) คนเราตายแล้วก็จบกันไปไม่เห็นต้องคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนรุ่นถัดๆไปมากนัก เพราะ เราไม่เกี่ยวแล้ว เราไม่ได้อยู่ความเดือดร้อนนั้นแล้ว คิดอย่างงี้แน่นอนว่าธรรมชาติจะหันมาเล่นงานมนุษย์อย่างแน่นอน เช่นตอนนี้ทุกคคนพูดถึงโลกร้อนๆ แต่ว่าเราก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าทำตามที่คนอื่นแนะนำว่ามันจะข่วยได้ คำถามคือมันจะข่วยได้จริงๆน่ะเหรอ ? เพราะนอื่นไม่ทำนี่หน่า ตอนให้ทำทั้งโลก แล้วมันจะไม่เป็นอะไรอย่างงั้นเหรอ ? ความคิดแบบนี้มันผุดในใจโดยที่ไม่มีใครออกมาตอบได้ว่ามันไม่รู้ ..

4. เศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่าถาวร ภายใต้เงื่อนไข คือ คุณเป็นผู้สังเกตการณ์ มันก็เป็นได้หรอกว่า การแก้ไขด้วยิวธีการใดๆก็จะทำให้เศรษฐกิจมันดีขึ้นได้ แต่ขั่วอายุที่ผู้สังเกตการณ์มีชีวิตเพื่อสังเกตมันอยู่ (จริงๆมันไม่ได้ตลอดกาลนานเทอญหรอกครับแต่ว่าสำหรับผู้สังเกตแล้วมันรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นตลอดไป) ผมว่า กรณีนี้เป็นกรณีที่คนบนโลกนี้อยากจะเห็นเพราะว่าเราจะกลับไปซื้อของใช้เงินหรือหาความสะดวกจากทรัพยากรได้อย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก และไม่ต้องคำนึงว่าใครจะเป็นยังไงจากรุ่นเราด้วยซ้ำไป

สำหรับผมแล้วแนวคิดที่หนึ่งน่าจะเป็นแนวคิดที่ผมให้น้ำหนักความเป้นไปได้มากที่สุด เพราะ ผมรู้สึกว่า คนเราใช้อะไรเกินตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานหรือการใช้จ่ายหรือแม้กระทั่งการหาเงินก็ตาม เพราะ การตุนทรัพย์สินเอาไว้มันก้ไม่ได้ก่อปรธโยชน์ให้กับเราในชาตินี้ได้

เฮ้อ .. คิดอะไรเพี้ยนๆ งงๆ สับสนๆในสมองแล้วก็พิมพ์ออกมาเผื่อว่าคนอื่นจะหลงมาอ่านหรือว่าอีกห้าปีแล้วผมจะกลับมาอ่านมาผมคิดอะไรตอนนั้นน่ะครับ . .หรือว่ากรณีใดกรณีหนึ่งมันภูกก็ตะได้ดูเท่ห์เท่านั้นเองว่าผมมีคิดเรื่องนี้เอาไว้แล้วตั้งแต่วันนี้น่ะครับ . ผมว่าคนคิดแบบนี้ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวหรอกครับ สักคนบนโลกนั้นก็น่าจะคิดเหมือนผมก็น่าจะมีอยู่หรอกครับ …

แนวคิด : เกิดมาสร้างประโยชน์หรือหาประโยชน์จากโลกนี้กันแน่

วันก่อนตอนกลางคืนระหว่างเดินทางผมนั่งคิดในใจออกมาว่า อืม .. คนเรานี้หนอ ใช้แต่ทรัพยากรโลก แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์สักเท่าไหร่ หรือ ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับใคร หรือ สิ่งใดเลยก็มี ลองคิดแบบนี้ดูนะครับว่า ปีๆหนึ่งเรากินอะไรเข้าไปบ้าง แล้วทั้งหมดถ้าคิดทั้งชีวืตแล้วเราบริโภคอะไรเข้าไปบ้าง แล้วเอาออกมาเป็นอะไรกันบ้าง เริ่มคิดว่า เราอาจจะกินไก่ไปเท่านั้นเท่านี้ตัว เราใช้น้ำมันเพื่อการเดินทางเท่านั้นเท่านี้ลิตร (เป็นตันๆ) หรือว่าเรากินผัก หรือ สัตว์มามากน้อยกี่ชีวิต คงจะเป็นหมื่นแสนล้านเลยก็น่าจะเป็นไปได้หากว่ารับคิดชีวิตเท่าๆกันทั้งหมดไม่ว่าจะมีขนาดแค่ไหนก็ตาม  แล้วเราปล่อยอะไรออกมาบ้างล่ะครับ แค่หายใจเอาออกซิเจนเข้าไป แล้วก็ปล่อยก้าซคาร์บอนอออกมาแล้ว เพื่อให้เรามีชีวิตต่อไป เรากินชีวิตใดๆ เข้าไปแล้วสิ่งที่ออกมาก็เป็นอุจจาระเพื่อให้เป็นอาหารปุ๋ยต่อไป เปนการวน loop ของวงจร ถ้าอย่างงั้นคุณค่าใดๆที่เป็นผลต่างระหว่างทรัพยากรขาเข้า และ ทรัพยากรขาออก(ก๊าซขับถ่ายของเหลว) ทางกายภาพใดๆ ถ้าหากว่าไม่เท่ากันแสดงว่า มันเริ่มมีคุณค่าเป็นลบ หรือ เป็นบวกขึ้นมาแล้วน่ะครับ ผลต่างเหล่านั้น่าจะสะท้อนออกมาเป็นสมการที่ว่า แล้วที่เหลือหรือผลต่างนั้น ออกมาเป็นประโยชน์อะไรบ้าง นั่นก็คือ คิดสั้นๆว่า คนๆนั้นสร้างประโยชน์อะไรให้กับโลกหรือให้กับใครสิ่งใดได้บ้างต่างหาก ออกแรงสร้างสรรค์ปรธโยชน์ซะบ้างอย่างน้อยก็เพื่อให้เจ๊ากับความรู้สึกขอบคุณที่เรามีทรัพยากรอย่างดาษดื่นเพื่อมาใช้เรื่อยเปื่อยให้ชีวิตดำเนินไปได้ครับ

Thursday, April 16, 2009

อากิโยชิ shabu shabu กินไม่อั้นแบบ buffet (แนะนำ)

เมื่อวานนี้เย็นๆไปหาหมอฟันมาที่โรงบาลฟันซอยสุขุมวิท 49 แล้วก็หาอะไรกินกันต่อที่ร้าน shabu shabu ที่เคยกินอยู่ทั้งหมดก็คิดว่าน่าจะเป็นห้าหกครั้งแล้ว เป็น แบบ buffet ครับ ร้านนี้ชื่อว่า “akiyoshi” (อากิโยขิ) ตั้งอยู่ที่อาคารไทยสินสแควร์ หรือ ถ้า BTS ก็ตรง BTS พระโขนงพอดีแป้บหัวบันได้เลยก็ว่าได้

shabu ๆ ที่เห็นนี่ไม่ได้ถือว่าอร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยได้กินมาน่ะครับ แต่ว่าก็คิดว่าน่าจะอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินในประเทศมาแล้วเท่านั้นน่ะครับ (เพราะว่าถ้าจะอร่อยจริงๆต้องหากินทั้งโลกครับ) ปกติแล้วการกิน shabu shabu น่าจะกินหน้าหนาว แต่ว่าอากาศมันต้องหนาวจริงมันถึงจะได้อารมณ์ครับ ไม่เหมาะกับอากาศร้อนๆของบ้านเมืองเราสักเท่าไหร่ แต่แหมที่ร้านเค้าก็เปิดแอร์มันก็ร้อนอยู่ดีน่ะครับ เพราะว่าแต่ละหม้อนี่ก็พ่นก๊าซกระป๋องกันไม่ใช่เบาๆที่ไหน แอร์ไม่มีทางสู้ได้น่ะครับ อีกอย่างเรานั่งอยู่ใกล้เตามากกว่าใกล้แอร์เป็นไหนๆครับ กินไปกินมามายังไงก็ร้อนอยู่ดีครับ

ร้านนี้ ณ เวลานี้เป็น Buffet คิดเป็นหัวหัวละ 390 บาทแล้วครับ เค้าจะมีสองอย่างคือ shabu กับ สุกี้ (sukiyaki) แต่ว่าผมก็กินแต่ shabu น่ะครับเพราะว่าอะไรน่ะเหรอ ถ้าหากว่าโต้ะนั้นมีสองอย่างพร้อมกัน เค้าจะเก็บเงินเพิ่มไปอีก 40 บาทต่อหัวทั้งๆที่คนที่กิน suki ก็มีแค่คนเดียวเท่านั้น (เค้าไม่สนหรอกว่าใครจะกินไม่กินแต่ว่าอยู่โต้ะเดียวกันมันก็คว้ากันกินได้ถูกเหรอป่าวล่ะครับ ) เพราะฉะนั้นแล้วหากว่าจะไปกินแล้วก็ต้องตั้งใจว่าจะกินอะไรอย่างเดียวเท่านั้นน่ะครับ แต่ว่าถ้าสั่ง Sukiyaki ก็จะไม่มีน้ำจิ้ม shabu มาให้ครับถ้าหากว่าจะเอาเพิ่มก็ต้องสั่งอีกคิดเป็นราคาต่อสุด สรุปก็คือว่า ผมไปก็แค่สั่ง shabu แล้วก็บอกว่าทุกคนกินเหมือนกันเท่านั้นถึงว่าจะเป็น optimal solution สำหรับการสั่งอาหารร้านครับผม เลือกแค่อย่างเดียวเพื่อนกินเท่านั้นครับ

เนื้อที่กินผมกินเนื้อวัวน่ะครับ (แต่ว่าที่ร้านเค้าก็จะมีหมูให้ด้วยถ้าอยากจะกิน แหม แต่ว่าถ้าจะกินยังไงๆ ผมก็ว่าต้องกินกะเนื้อน่ะครับมันถึงจะได้ความเป็นของแท้ดั้งเดิเสียหน่อยน่ะครับ ) เนื้อที่ได้มาหากว่าไม่ได้เลือกอะไรเค้าก็จะ random ส่วนที่มีการหั่น slide เอาไว้แล้ว serve มาอย่างสุ่มน่ะครับ จากการสังเกตหากว่าสั่งมามากกว่า 1 จานพร้อมๆกัน ส่วนที่ได้จะเหมือนๆกันเพราะฉะนั้นถ้าอยากินคละส่วนของเนื้อวัวแล้วล่ะก็ไม่ต้องสั่งมาทีเดียวทำการทยอยสั่งจะดีกว่าครับ ผมดูไม่ออกหรอกครับว่าส่วนไหนมันเป็นส่วนไหน แม้แต่พนักงานเองผมก็ว่าเค้าก็ไม่รู้หรอกคนที่รู้จะมีแค่คนเดียวก็คือผู้ที่ทำการ slide น่ะหละเพราะว่าเค้าเห็นสภาพเป็นกอ้นๆอยู่ครับ คนอื่นๆไม่ได้เห็นเป็นก้อนอีกต่อไปครับ กลายเป็นแผ่นๆกันไปหมดแล้วครับ เนื้อที่เห็นในภาพจะมีมันแทรกอยู่ เมื่อทำการจุ่มน้ำร้อนแล้วมันก็จะหดตัวอย่างรวดเร็ว แต่ว่าถ้าคนไม่ชอบกินมันเนี่ยะก็จะกินส่วนพวกนี้ลำบากหน่อยน่ะครับ อย่างว่าล่ะครับ พ่อผมเค้าก็บอกว่า ถ้าหากว่ากินเข้าไปน่ะ มันเข้าง่ายแต่ว่ามันออกยากน่ะครับ ! (จริงๆหละกว่าจะเอาออะไรมาได้เนี่ยะ เหนื่อยไม่น้อยเลย) ส่วนมากแล้วตอนที่ผมสั่งก็บอกเค้าว่า “น้องครับของเนื้อที่หนึ่งแต่ว่าอย่างเอามันมากน่ะครับ” เค้าก็จะไปเอามาส่วนที่เค้าคิดว่ามันไม่มันเท่าไหร่ แต่ว่าเค้าก็ดูไม่ออกจริงๆน่ะหละครับ เพราะอย่างที่เอามามองภายนอกมันไม่เห็นมันเท่าไหร่ เพราะว่าเนื้อและมันมันแทรกตัวระหว่างกันครับ ทำให้สุดท้ายอยากจะแยกมันออกจากเนื้อก็ทำได้ยากและทุลักทะเลพอควรครับ สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องมันอยู่แล้วเรื่องแบบนี้ก็ละไปได้เลยครับเพราะว่า โอกาสที่คุณจะเจอเนื้อแผ่นมันแทรกแบบนี้เยอะกว่าแบบที่มีแต่เนื้อๆอยู่แล้วน่ะครับ เอาเป็นว่าลองไปกินกันดูแล้วกันนะครับเห็นราคาแล้วอาจจะดูเหมือนแพงแต่ว่า ก็หาที่อื่นดีๆที่กินแล้วคุ้มกว่านี้ ณ เวลานี้ยังหาไม่เจอน่ะครับ มีคนแนะนำได้ก็น่าจะดีน่ะครับผมจะได้ตามไปหม่ำครับ  ..

IMAGE_168 IMAGE_169 IMAGE_170

IMAGE_167

IMAGE_164

IMAGE_165

Wednesday, April 15, 2009

lesson learn จากการถ่ายสดควร delay สัญญาณเอาไว้บ้างครับ

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีการหลุดปากออกมาได้ถึงขนาดนี้น่ะครับ ทั้งๆที่จริงๆแล้วถือได้ว่าเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงสำหรับการออกอาการสด เพราะ การออกอากาศนั้นจะมีการบันทึกทันทีครับ ปกติแล้วผมเคยได้ยินมาว่าถ้ามีการออกอากาศสดนั้นอย่างน้อยก็น่าจะมีการ delay สัญญาณออกไปมากกว่า 10 วินาทีเผื่อเกิดการพูดผิดพลาดหรือพูดอะไรไม่ดีออกไป หรือไม่ได้พูดอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ (เกิดอาการหลุเหมือนกับ clip นี้น่ะครับ) ก็ทำการตัดสัญญาณออกอากาศเสียก่อน ก่อนที่จะแพร่ภาพนั้นๆออกได้ทันภายใน 10 วินาทีของการ delay นั้นครับ แค่ 10 วินาทีเพื่อการป้องกันเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องจำเป็นมากจริงๆครับผม ไม่น่าหลุดเลยครับ  ..

Tuesday, April 14, 2009

กิน inaho ร้านอยู่ที่ถนนพระรามสี่แค่นี้เอง (กินวันเสื้อแดงคลั่ง ก็ชั่งเค้าซิไม่เกี่ยวอะไรนี่หน่า รอแค่รัฐบาลมาปราบเท่านั้นเองนิ..)

เมื่อวันหยุดที่ผ่านมาว่างๆก็ได้ไปกิน "อินาโฮะ" มาแล้ว กินทีนึงเหมือนกับกิน สามมื้อได้เลยเพราะว่าอิ่มไปถึงเย็นเลยครับ ร้านนี้ไม่ต้องคิดมากเรื่องบรรยากาศ (แปลว่ามันดีอยู่แล้วครับตกแต่งเหมือนกับร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป) แล้วก็พอผมไปก็ไปคนแรกเหมือนกะว่าไปเปิดร้านก็ว่าเพราะกลัวคนจะเยอะแต่ว่า ความเป็นจริงผมไปตั้งแต่ 11.00 น ก่อนร้านเปิดนิดหน่อย และวันนั้นก็เป็นวันที่แดงเดือด (สถานการณ์บ้านเมืองไม่ดีเท่าไหร่เห็นว่ามีการปิดถนนเยอะจุดน่ะครับ) แต่ก็ยังไปกินกันเพราะว่าทำการ check เส้นทางเดินรถแล้วว่าเราไม่น่าจะผลกระทบอะไรก็ไปกินกันน่ะครับ

ราคาหัวละ 300 บาทถ้าเป็นมื้อกลางวัน และถ้าเป็นค่ำๆจะแพงกว่านั้นอีกห้าสิบบาทครับ ตอนที่กินไปคุยไปทำให้กินได้เรื่อยๆแล้วก็สั่งเรื่อยๆครับ ถืงแม้ว่าเค้าจะให้เวลาเรากินทั้งหมด ไม่เกิน สอง ชัวโมงก็ถือว่ามันมากเกินจำเป็นแล้วน่ะครับ เพราะผมกินไปคุยไปโม้ไปมันก็ยังไม่ได้ถึงชั่วโมงครึ่งเลยเอ้อระเหยออกขนาดนั้นผมก็ดูเวลาอ่อ .. สองชั่วโมงนี่ให้มาเหลือๆมากน่ะครับ

วันที่ไปนั่นผมนั่งริมหน้าต่างออกแนวแดดร้อนไปหน่อยน่ะครับ(แดดไม่ได้เข้ามาที่โต้ะตรงๆหรอกแต่ว่าแสงมันจ้า .. กลัว UVA และ UVB น่ะครับเพราะว่าอยู่ที่ร้านไม่ได้ใส่แว่นกันแดดเดี๋ยวคนจะหาว่าบ้าน่ะครับ) มองออกไปก็จะเห็นพวกบ้าตัวจริงวิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนในสวนลุมครับ โห .. สิบเอ็ดโมงแล้วยังวิ่งกันเลยอะไรกันเนียะ มาราธอนอะไรแบบนั้น แล้วจะวิ่งเยอะๆเพื่ออะไรเนี่ยะบ้าเหรอป่าวนั่น ... โอ้ว ก็คิดไปกินประมาณนี้น่ะครับ

ย้อนกลับมาเรื่องกินหน่อยแล้วกันนะครับผมถ่ายภาพเมนูมาให้ดูด้วยเผื่อว่า คนที่ซูมดูจะเห็นว่ามันอาหารอะไรมั่งอ่ะครับ

ร้านอยู่ตรงถนนพระรามสี่อยู่ประมาณอาคารเฟื่องฟ้า(มั้ง)จำชื่อไม่ได้น่ะครับเฮอะๆ . . น่าเอาเป็นว่าลองหาดูด้วยแล้วกันนะครับว่าร้านมันอยูทีไหนหรือว่าโทรไปถามเค้าก็ได้ครับ

สรุปว่ากินแล้วคุ้มแน่นอนเพราะว่ามันก้แค่สามร้อยเองนิ .. ว่าปะครับ

IMAGE_155 IMAGE_156 IMAGE_157 IMAGE_158

Sunday, April 12, 2009

เล่นกลหน้าคอมกันเลยดีกว่าครับ! หลังจากที่ไม่ได้โชว์ใครมานานแล้วเก็บกด..

วันนี้นึกคึกอยากเล่นกลก็เล่นซะหน่อยภาพที่เห็นถ่ายจาก HTC diamond น่ะครับ ซึ่งเป็นมือถือทำให้ความละเอียดภาพไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ว่านั่นน่ะหละจะได้รู้ว่าทำจริง แสดงจริงแล้วกันเนาะ ยังไงลองเปิด clip ดูเอาเองแล้วกันนะครับผม .. เย้ ..

Wednesday, April 08, 2009

ksme เกียรติบัตรจบกันสักทีแต่มิตรภาพไม่จบครับผม ตาม concept ที่ทางโครงการต้องการเล้ย..

และแล้ว ksme care รุ่นที่ แปดที่ได้เรียนไปก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เนื้อหาโดยรวมถึงว่าจัดได้ดีและลงตัวกับชีวิตสำหรับคนสมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรู้ ความคิดเห็น งาน project ต่างๆที่โดนสั่งให้ทำ ก็เพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างกลุ่มและในกลุ่ม มีทั้งกิจกรรมเพื่อสร้างสัมพันธ์ในทางที่ดีครับ นอกจากนั้นสิ่งที่ได้แน่ๆก็คือถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่ social เยอะก็จะได้ connection เยอะส่วนตัวแล้วผมเป็นพวก social level ไม่เท่าไหร่ทำให้ connection บังเกิดแค่ในส่วนของกลุ่มงานตัวเองซะมาก มีอะไรก็ไม่ได้ไปร่วมแล้วก็ไม่ได้เป็นตัวแทนอะไรอีกเนาะก็อย่างงี้น่ะครับ แต่ว่าผมว่าสำหรับ connection อื่นๆที่จำเป็นก็น่าจะได้ผ่าน mail group ที่สร้างขึ้นมาแล้วก็ website http://www.ksmecare.com ที่เอาไว้ติดต่อกันได้เชิงธุรกิจ (ไม่รู้ว่าจะได้ใช้เหรอเปล่าน่ะครับ ตอนนี้คิดไม่ออก) เพราะคนส่วนมากที่อยู่ทึ่รุ่นจะประกาศถามกันที่ mail group ซะมากกว่าน่ะครับ แล้วอีกส่วนที่คิดว่าเป็น community KSME ที่ http://ksme8.wetpaint.com/ หรือ http://www.ksme8.com ที่ทำหน้าที่เหมือนกับ facebook ย่อยๆเพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มได้อีกด้วย ผมว่าผมจะเป็นเพื่อน online กับเพื่อนๆคนอื่นได้ผ่านระบบแบบนี้น่ะครับ เพราะตัวเป็นๆไม่ค่อยมีคนมา contact สักเท่าไหร่น่ะครับ เฮอะๆ ..

วันที่ไปรับเกียรติบัตร กติกาก็คือจะต้องมีเวลาเรียนเข้าเรียนมากกว่า 80% (บางคนเข้าได้ทั้ง 100%ก็มีน่ะครับ) แต่ว่าสำหรับผมแล้วทั้งหมดก็มีขาดไปแค่สองครั้งเท่านั้นคิดเป็นเวลาก็ไม่เท่าไหร่น่ะครับ ก็ได้รับประกาศมาถามภาพน่ะครับ

ยังไงคิดว่าเพื่อนๆกลุ่มย่อยกลุ่มห้าที่ผมอยู่เค้าอาจจะมี POT LUCK เพื่อสังสรรค์กันต่อไปน่ะครับ (เดี๋ยวนี้เรา pose หากันผ่าน mail Group ของ Google เรียกว่าสะดวกสุดๆ ) ครับ เพื่อนคงได้เจอกันอีก แล้วก็เห็นได้ยินมาว่าจะทำเป็นวง"แชร์" กันเลยเอ้อ..เอาให้ได้อย่างงั้นแล้วกันนะ เฮอะๆ ..

IMAGE_145 IMAGE_146 IMAGE_147 IMAGE_148

Sunday, April 05, 2009

อาหารที่ ร้านมาดาออง ที่มาทุกทีก็สั่งทุกที

มันก็คือ "ลาบปลาตะเพียน" เป็นปลาที่ก้างบางๆเยอะก็เลยต้องเอามาทำแบบลาบเพราะกระดูกจะถูกสับอย่างละเอียดกินได้ทั้งหมด ยกเว้นก้านที่เป็นกระดูกหลักของมันเท่านั้นเอง ที่เห็นมีภาพจะประกอบไปด้วยหลายส่วนต่อไปนี้น่ะครับ IMAGE_139
- ส่วนที่เป็นเนื้อปลาหรือเป็นลาบแท้ๆ ส่วนนี้จะประกอบไปด้วยเนื้อปลาที่โดนหั่นออกมาทั้งสองฝั่งของตัวปลาแล้วเอามาทำการรวนเหมือนกับการทำลาบปกติ
- ส่วนที่เป็นเกล็ดปลา จะแตกต่างจากลาบทั่วไปคือส่วนนี้จะเอาเกล็ดมาทอดให้กรอบแล้วโรยด้านบนเหนื่อเนื้อปลาที่เอามารวนที่เป็นส่วนก่อนหน้า เกล็ดปลาที่ทอดกรอบแบบนี้จะทำให้ "รสสัมผัส" ของเนื้อปลาที่เป็นลาบธรรมดา มีการผสมผสานของความกรอบได้อย่างลงตัว
- ส่วนที่สาม ไข่ปลา เป็นส่วนที่คนบางคนชอบกินเป็นพิเศษและที่แน่ๆทำให้เรารู้ได้ว่าทุกตัวที่เรากินเป็นเพศเมียทั้งหมด ไม่เคยได้กินตัวไหนที่ไม่มีไข่น่ะครับไม่เข้าใจว่าตัวผู้ไปไหนหมดน่ะครับ
- ส่วนที่เป็นตัวปลา ตัวปลาที่เหลือแน่นอนว่าต้องเอามาแสดงเป็น display เพื่อให้รู้ว่านี่คือ ปลาจะเพียนทั้งตัวไม่ได้ไปเอาเนื้ออะไรอย่างอื่นมาทำ ส่วนนี้ทำได้ไม่ยากก็คือการทอดด้วยน้ำมันเดือดทั้งส่วนไม่ว่าจะเป็นหัวกระดูก(ทั้งหมดที่เหลือนั่นเอง) แล้วมันจะอยู่หลังสุดตอนที่เรากินเสร็จแล้ว ถ้าหากว่าไม่อิ่มก็เอาขึ้นมาแทะได้เพราะมันจะมีเนื้อปลา(ทอด)ติดอยู่ เพราะฉะนั้นส่วนนี้เป็นส่วนสำหรับคนชอบแทะอย่างแท้จริง !

โดยรวมแล้วอาหารเมนูนี้ถือได้ว่ามีความซับซ้อนของการสร้างผลงานออกมาเป็นอาหารให้เราได้กินกันอย่างลงตัวที่สุดเลยก็ว่าได้

Saturday, April 04, 2009

กินโคคาสุกี้สาขา 50 ปี : เวอร์ไปเหรอป่าวเนี่ยะแต่ว่าก็น่าจะนานจริงๆแล้วน่ะครับ

มื้อเย็นนี้ได้ไปกินที่โคคาสุกี้สาขาดั้งเดิม ที่เห็นบอกว่าเปิดมาตรงนี้ได้มากกว่า 50 ปีแล้ว (นานอย่างงั้นเลยเหรอ) ผมก็ถามว่า อาม่าตอนที่อากงมาร้านนี้เค้านั่งประจำทีไหนเหรอป่าว อาม่าก็บอกว่าก็ไม่ได้นั่งทีไหนเป็นประจำหรอกเพราะว่าเค้าก็ให้นั่งไปทั่ว  .. ก็น่าจะเป็นอย่างงั้นน่ะครับ เพราะว่าคงไม่มีที่ประจำอะไรหรอกก็ถามอาม่าเค้าไปอย่างงั้นน่ะครับ เผื่อว่าจะมีประเด็นอะไรเจ๋งๆน่ะครับ

วันนี้กินสุกี้ ! เป็นอะไรที่ป่าป๊าเค้าจะชอบเอามากๆ แต่ว่าต้องขอเตือนอย่างนึงน่ะครับว่า อย่าคิดสั่งอะไรที่ร้านนี้โดยไม่ดูราคาน่ะครับ เพราะว่ามีหลายรายการมา ที่ราคาแพงแบบก้าวกระโดด แล้วก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ราคาไม่แพง(ราคาเหมือนกับร้านสุกี้อิ่นๆปกติน่ะครับ)

วิธีการ present สินค้าทำได้อย่างเป็น step ชัดเจนมากกว่าท่องจำกันมาซะอีก คือ เข้ามาที่ร้านให้เมนูอาหาร ระหว่างนั้นก็แนะนำอาหารพิเศษประจำเดือน (ประจำปีอะไรก็แล้วแต่) แล้วก็สั่งๆ สั่งเสร็จ ก็จะมีคุณป้าคนเดิมที่ทำหน้าที่เชียร์อาหารอะไรเพิ่มไปอีกจากที่เราได้สั่งไปตอนแรกน่ะครับ

ถ้าหากว่าเราไปกันเยอะคน วิธีการสั่งเพื่อให้กินแล้วอิ่มเนียะ แนะนำนว่าสั่งเป็นชุดครับ เรารู้ว่าชุดนึงมีราคาที่แน่นอนแล้วก็อะไรที่จะสั่งโดยไม่เห็นราคาขอให้ระวังเอาไว้ เช่น promotion ต่างๆ หากว่าเค้าพูดมาเฉยๆโดยเราไม่ได้เอาราคาขึ้นมาดูก็จะโดนฟันเอาได้ไม่ยากน่ะครับ ผมรู้ว่าของเค้าดีแต่ว่า หลายอย่างที่ดีนั้นราคามันก็เกินไปจริงๆน่ะครับ ประมาณว่าทำออกมาให้เป็นอาหารในตำนานแต่ว่าคนกินไม่อยากจะจ่ายราคาตำนานด้วยนี่หน่า .. โอ้ว..

IMAGE_133 IMAGE_129 IMAGE_130 IMAGE_131 IMAGE_132

การตั้งค่า เพื่อบันทึกทั้เสียงไมล์และลำโพง

การตั้งค่า เพื่อบันทึกทั้เสียงไมล์และลำโพงพร้อมๆกันโดยไม่ต้องใช้ software อะไรเป็นพิเศษ สิ่งที่เราอยู่แล้วทุกเครื่องของ windows xp คือโปรแกรม start>accressories>entertainment>sound recoder แล้วก็กดบันทึกได้เลยครับ

tag : sound record podcast microphone setting

Friday, April 03, 2009

หน้าร้านที่ Metro Fashion Mall เริ่มดำเนินการแล้ว!

วันนี้มีไปที่ร้านที่ Metro Fashion Mall แต่ว่าไปแล้วเหมือนกับว่าร้านค้าต่างๆนานาเค้ายังไม่ได้เปิดกันสักเท่าไหร่ เรียกว่าเปิดกันได้ไม่ถึง 15% ของจำนวนร้านทั้งหมด ทั้งๆที่ร้านก็มีการจองและวางเงินกันเกือบเต็มทั้งหมด เข้าใจว่า พวกที่จองๆเอาไว้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เข้ามาทำการตกแต่งร้านอะไร กับอีกพวกหนึ่งก็คิอ ร้านถูกจองเอาไว้เพื่อหาคนจองต่อเป็นทอดๆ เหมือนกับเป็นการเก็งกำไรราคาพื้นที่หรือที่ดินกันเลยก็ว่าได้น่ะครับ ก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องปกติที่ว่าจะมีกลุ่มคนพวกนี้อยู่น่ะครับ แต่ว่าอย่างไรก็ดี หากว่าร้านเปิดไม่มากก็จะมีผลกระทบที่ไม่ดีให้กับคนที่เปิดร้านอยู่จริงๆ หรือว่ามาเพื่อตั้งใจให้มีคนเข้ามาน่ะครับ มันเกี่ยวกันตรงที่ว่าถ้าหากว่าร้านไม่ค่อยเปิดหรือว่าเปิดบ้างไม่เปิดบ้าง แรงดูดคนมันก็จะน้อยเป็นตัวหารน่ะครับ หรือว่าในทางกลับกันร้านเปิดกันเยอะแยะมากก็จะเป็นที่ดูดคนได้อีกเหมือนกัน นั่นน่ะหละครับเป็นความเสี่ยงของคนเช่าและมันก็เป็นความเสี่ยงของคนทำตึกอีกต่างหากครับ เพราะว่าถ้าทุกคนเห็นภาพลบๆแล้ว ก็จะทำการเลิกเช่าหรือว่าราคาเช่าก็จะตกตามไปด้วย แน่นอนน่ะครับถ้าแบบนั้นไม่ดีแน่ แล้วมันก็ไม่ดีต่อคนทุกคนน่ะครับไม่ว่าจะเป็นผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าก็ตาม ไม่คิดทางนั้นแล้วกันนะครับ คิดเสียว่าถ้าเปิดทั้งหมดแล้วก็น่าจะมีเเรงดูดที่เพียงพอเพือให้คนมาเดิน แล้วก็ราคาเช่าก็จะคุ้มค่ากับผู้เช่า แล้วอีกหน่อย ผู้ให้เช่าก็จะเพิ่มราคาได้อีกน่ะครับ (มันก็เพื่อเป็นการรักษาสมดุลกันเอาไว้ครับ คนอยู่ได้ก็อยู่คนอยู่ไม่ได้ก็ไปครับ) คิดแล้วก็ .. ธรรมดาน่ะครับ การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนลงทุนทุกครั้งครับผม

IMAGE_123 IMAGE_120 IMAGE_121 IMAGE_122

Thursday, April 02, 2009

ทดสอบการ Embed code จาก Drop.io

เป็นเพลงที่ร้องเอาไว้ผ่านไมล์แบบหูฟัง (ที่เหมือนกับพวก call center) ใช้งานแต่ว่าเสียงมันจะไม่เหมือนกับตัวจริงเอามากอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเอาเถอะครับผมมีมีซื้อ microphone ตัวใหม่มา แต่ก็ยังไม่ได้ลองใช้ร้องเพลงดูเลยว่ามันทำให้เราเสียงออกมาดีกว่าตัวจริงหรือว่าอย่างน้อยก็เหมือนกับตัวจริงก็ยังดีน่ะครับ …

Wednesday, April 01, 2009

TED TALK present พลิกโลกภายใน 15 นาที

ผมรู้จัก TED มาได้นานแล้วแต่ว่าก็ไม่ได้ฟังเยอะแยะอะไรเพราะ ผมไม่รู้จักว่าใครเป็นใคร เค้ามีพื้นฐานความคิดหรือว่าทำงาน ประสบความสำเร็จอะไรมาแค่ไหน (แน่นอนว่าจริงแล้วเราก็สามารถที่จะ Google ชื่อคนเหล่านั้นมาได้ถ้าหากว่าอยากรู้จริง แต่ว่าผมไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นนี่หน่า) แต่ว่าวิธีการเลือกดูหรือโหลดเอาไว้ฟังหรือดูนั้นผมจะเลือกแต่หัวเรื่องที่ผมสนใจ อะไรที่ผมไม่สนผมก็ไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำอะไร (อยากรู้รอบเหรอ ไม่หรอกมั้งครับ)

ความคิด ข้อมูลที่อธิบายผ่าน TED TALK ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องที่มาจากหนังสือของคนๆนั้นหรืองานของคนๆนั้นเสียมาก อย่างผมอ่าน "predictable irrational" เนื้อความที่คนแต่งหนังสือเรื่องนี้ก็เอามาพูด(บางส่วน)ภายใน 15 นาที จะก็เข้าใจว่าคนๆนี้คิดและทำงาน ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องอะไร หากว่าอ่านหนังสือของใครมาแล้วบอกให้ได้ว่า เรื่องที่ส่วนใหญ่ที่โดยพูดออกมานั้นไม่ได้หนีออกไปจากหนังสืองานที่เค้าได้เขียนเอาไว้สักเท่าไหร่ หรือไม่มีเลยก็ว่าได้ (ผมจำได้หมดน่ะหละว่าผมอ่านอะไรมา)

ผมเพิ่งได้ link ที่เป็นรายการ (LIST) ว่าใครพูดเรื่องอะไร แล้วก็มีบทสรุปสั้นเพื่อให้เราอ่าน แบบ Google Spreadsheet น่ะครับ ยังไงคนที่ไม่เคยรู้จักลองกด link เข้าไปดูแล้วกันนะครับ เพราะว่า คนที่มาพูดมันเยอะแยะเหลือเกินแต่มันก็จะจับความสนใจคุณได้ไม่กี่ประเด็นหรอก (คนเราไม่ได้สนใจอะไรต่อมิอะไรไปทุกเรื่องนี่เนาะ)

โหลดไปดู link list TED TALK ได้ที่นี่เลยน่ะครับ