Sunday, May 31, 2009

Detox ไหลเอาของสีออกจากลำไส้ (พูดแต่เรื่องขาเข้ามาเยอะและเอาขาออกบ้างก็ได้)

detox view

 detox bed 1 detox bed2 นางพยาบาล

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ป่าป๊าชวนไปตั้งแต่เมื่อวานก่อน แล้วก็มาบอกเราอีกว่าจองกันไปหมดแล้วก็เลยคิดว่า อืม .. เอาเถอะครับไปลองดูก็ได้ว่าการ Detox เนี่ยะมันหน้าตาเป็นยังไงอย่างน้อยก็จะได้เป็นประสบการณ์เอาไว้ ว่าอย่างงั้น

เค้าเล่าว่า การ detox เป็นการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง ก็คือ ล้างเข้าไปถึงไส้ตือฮวนพะโล้ทอดยังไงอย่างงั้น สภาพของไส้เนียะมันจะงึกๆหงักๆหยักๆทำให้ยังไง้ยังไงก็ต้องมีคราบอะไรเหลืออยู่ไม่มากก็น้อย แล้วถ้าหากว่าคนที่ท้องผูกๆด้วยแล้วความเป็นไปได้ที่จะมีคราบอะไรอุดติดเคลือบเอาไว้ก็มีมากกว่าคนปกติน่ะครับ

สำหรับผมเองไม่ได้มีอาการอะไรเลยครับเรื่องท้องไสก็ขับถ่ายออกมาได้อย่างปกติทุกประการทำให้จริงๆผมว่าผมไม่น่าจะทำอะไรเท่าไหร่แต่อย่างว่าล่ะยังไงก็ลองดูน่ะครับผม เฮอะๆ .. แล้วทีนี้ก็ไปถึงโรงบาลยันฮี (ที่ต้องไปถึงนั่นก็เพราะว่ากะว่าจะได้บัตรลด เพื่อพ่อจะมีคนนึงเค้าได้มาครับ) ไปถึงก็ตกใจเพราะว่าไม่เคยเจอคนและพยายาลและทีมงานผ่านเวชระเบียนใหญ่เท่านี้มาก่อนแต่ว่าผมไมได้ถ่ายภาพเอาไว้ให้ดูน่ะครับ แล้วก็มีแผนกเดินเอกสารหรือคนเดินเอกสารเค้าจะส่วน roller blade ในการทำงานไปอย่างรวดเร็วลดเวลาในการส่งของกันระหว่างแผนกได้เป็นอย่างดี (แหมแต่ว่าจะดีกว่านั้นอีกถ้าหากว่าแผนกแต่ละแผนกที่ต้องติดต่อส่งของกันเนี่ยะมันใกล้กันมากกว่านี้ แต่ว่าก็เข้าใจเค้าเหมือนกันน่ะครับว่าที่ทางเค้าใหญ่โตอย่างงั้น) แล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องไปขึ้นเขียงซะอย่างงั้น

หน้าตาที่มีตามภาพน่ะหละครับ ไปถึงก็มีการสอดเอาสายยางใส่เข้าไปในก้นคิดว่าไม่น่าจะลึกอะไรมาก แล้วก็ไม่ต้องคิดลามกอะไรด้วยน่ะครับเพราะว่ามันไม่ได้มีอารมณ์อย่างว่าอะไรกะใครเค้าหรอกน้า นี่มันกิจกรรมทางการแพทย์น่ะครับผม เค้าก็จะเดินน้ำเกลือ แล้วก็น้ำผสมอะไรที่เกี่ยวกับสารสกัดกาแฟสักอย่างเข้าไปครับ ทั้งหมด ก็น่าจะ 25 ลิตร++ ครับที่ไหลผ่านเข้าไป มันไม่ได้เข้าไปทีเดียวทั้งหมดหรอกนะครับ มันทยอยเข้า พอเราออกอาการปวดท้องหน่อยๆหรือว่าเยอะๆก็ได้น่ะครับแล้วแต่ความอดทนเราก็เบ่งออกมาก็เท่านั้นเอง ทำอย่างงั้นไปเรื่อยๆ total time ประมาณ 60 นาทีเห็นจะได้ครับ

ตอนที่ทำก็จะรู้สึกเหมือนกะว่าเราจะถ่ายน่ะครับ ปวดเหมือนกะปวดอึแล้วก็เบ่งออกมาก็จะมีน้ำไหลให้เราเห็น ที่เราเห็นได้เพราะว่าที่ด้านบนจะมีกระจกสะท้อนให้เราเห็นว่า คุณมีอะไรไหลออกมาบ้างครับ อารมณ์ของที่ไหลออกมาแรกๆก็จะมีตะกอน (ผมคิดว่าเป็นอึแล้วกันนะครับ เพราะว่ามันไม่เหมือนอึหรอก) แล้วก้หลังๆมันก็จะไม่ค่อยจะมีแล้ว อันนี้สำหรับผมนะครับแต่ว่าถ้าหากว่าน้องสาวผมแล้วเค้าก็จะมีอาการไหลออกของสิ่งปฏิกูลนี้ออกมาเรื่อยๆน่ะครับ

ตอนที่อยู่บนเตียงที่ออกแบบพิเศษนี้ จะอยู่ในลักษณะของการนั่งแยกขาแล้วก็เตียงจะมีรูครับผม เมื่อพนักงานพยาบาลทำการสอดสายแล้วเค้าก็จะอยู่กะเราสักพักเพื่ออธิบายว่าจะรู้อะไรต่อมิอะไรแล้วเราก็ต้องทำอย่างไรเองน่ะคัรบไม่ต้องฟังจากผมก็ได้ แล้วก็คนเดินออกไปจากห้อง สักพักก็จะกลับมาแล้วก็มากดๆนวดๆหน้าท้องเราเพื่อให้เกิดการเกลี่ยน้ำในลำไส้(ผมคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นเพราะว่าอย่างงั้นเพราะว่าถ้ากดแล้วมันก็ปวดน้อยลงด้วย)

สรุปง่ายๆก็คือว่าถ้าหากว่าผมไม่ได้มีอาการอะไรแบบนี้ผมก็ว่า ถ้าให้ไปทำอีกก็ไม่อยากจะไปทำอะไรเท่าไหร่ แต่ว่าบางคนที่ทำ เค้าก็ทำเป็นประจำเพราะว่าเค้าเหล่านั้นก็น่าจะรู้สึกดีครับ อาจจะมีอาการถ่ายท้องได้ไม่ดีเป็นเรื่องปกติของเค้าน่ะครับซึ่งนั่นก็คืออาการไม่ปกติก็แนะนำว่าน่าจะทำน่ะครับถ้าท้องผูกบ่อยๆครับ

เอาเป็นว่าวิธีการดูว่าจะทำดีไม่ดีก็คืออาจจะลองทำก่อนแล้วก็ดูว่าเจ้าปฏิกูลที่ออกมาจากร่างกายเราเนี่ยะมันรู้สึกเยอะมากน้อยแค่ไหนถ้าหากว่าเยอะก็แสดงว่าคุ้มค่าน่าจะทำเพราะว่ารูปร่างลำไส้เราหรือว่าการดูดซึมและพฤติกรรมการกินของเราอาจจะไม่เหมาะสมเท่าที่ควร หรือ ถ้าหากว่าไม่มีอะไรออกมามายมากก็อาจจะคิดเหมือนกับผมก็ได้ว่าปีนึงอาจจะทำสักทีก็เท่านั้นเองครับหรือว่านานกว่านั้นก็ได้ครับ ลองศึกษาเพิ่มเติมดูเองแล้วกันครับ

สำหรับค่าเสียหายต่อคนผมเสียไป 855 บาทเพราะที่นี่เค้า charge 800 + 100 ค่าบริการพนักงานพยาบาล แล้วก็ลดไป 5 % เองครับ

Saturday, May 30, 2009

Lucky in Game : คุยกะสาวๆ MC ที่ Chic Club Grand Opening (งานเพื่อนพ่อน่ะครับผมอย่าคิดมากน้า ..)

LIMAGE_139 IMAGE_145 IMAGE_146 IMAGE_147 uCnb02TjG2

ผมไปงานเปิดตัว Chic Club ที่โรงแรม King Park Avenue ทแถวบางนาน่ะครับไกลจากบ้านเอาการน่ะครับ ก็ไม่เป็นไรเพื่อนพ่อเค้าให้ลูกชายเค้าบริหารโรงแรมนี้ทั้งโรงแรมแล้วก็พยายามทำเป็น Club นี้ขึ้นมาก็ออกแนว ร้องคาราโอเกะนั่ง Drink กะสาวๆนั่ง Drink (แต่ว่าผมไม่ได้เป็นคนนิยมเครื่องดื่มอะไรประมาณนี้เท่าไหร่หรอกนะครับ) ก็โยนลูกบอลได้รางวัลมาด้วย ไม่น่าเชื่อว่า ผมเล่นเกมส์อะไรแนวนี้น่ะครับไม่เคยได้รางวัลอะไรกะเค้า แต่ว่างวดนี้แปลกเอามากๆเพราะว่าโยนลูกบอลลงตำแหน่งสามลูกติด (เค้ามีให้ทั้งหมดสี่ลูก) เรียกว่าก็ได้รางวัลใหญ่ประจำวันนั้นไปเลยน่ะครับ แปลกดีเหมือนกัน ดวงล่ะมั้งครับ USB 1 GB เลยไม่แน่ใจว่าหนึ่งกิ้กนี่จะเอาคนไหนเป็นกิ้กดีนะเนี่ยะ (เฮอะๆ)

แต่ว่าอย่าหาว่าผมเป็นประมาณว่าคนเที่ยวอะไรเลยน่ะครับถ้าหากว่าไม่ได้เป็นงานเปิดตัวอะไรแบบนี้ก็ไม่ได้ไปไหนแนวๆนี้หรอกนะครับก็บอกช่วยเค้าโฆษณานิดหน่อยเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนพ่อเค้าทำน่ะครับแล้วก็เพื่อนๆผมก็เป็นกลุ่มตลาดซะด้วยซิครับ เพื่อนๆจากอัสสัมเนียะก็ประมาณนี้กันหมดทุกคนน่ะครับ ก็มีแค่คนนึงเท่านั้นที่ไม่ควรเท่าไหร่เพราะว่าแต่งงานแล้วนอกนั้น ณ เวลานี้เท่าที่รู้ข่าวก็เหมือนกะว่าไม่มีคนแต่งงานเพิ่มเติมน่ะครับ (แหม ใครเค้าจะแต่งเร็วตั้งแต่อายุ 27 - 28 กันล่ะครับนั่น)

ผมก็นั่งแก่วอยู่คนเดียวเพราะว่าพวกผู้ใหญ่เค้าก็จะคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้กันแต่ว่าก็ดี ก็จะมีคนมานั่งคุยด้วย เป็นหน้าที่ของคนที่ทำงานที่นั่นอยู่แล้วน่ะครับแต่งตัวสวยๆแล้วก็มานั่งคุยกะเรา อืม ก็คุยได้หมดอยู่แล้วน่ะครับ ปรากฏว่า น้องคนนี้ที่คุยเป็น MC อยู่เลย (มันก็แปลว่าเป็นพวกที่พูดเยอะๆตามงานหรือว่า event ต่างๆน่ะครับ) มีประสบการณ์ในการขายเสื้อผ้าเป็นเจ้าของกิจการมาแล้วมากกว่า 1 ปี มีเงินหมุนต่อเดือนผ่านมือมากกว่า 1 แสนบาทเป็นยอดขายร้านเสิ้อผ้าของเค้า เค้าบอกว่าแต่ก่อนร้านเสื้อผ้ามันก็ทำได้ดี จ่ายค่าเช่า สองหมื่นแล้วก็ค่าจ้างคนเจ็ดพันก็เป็นต้นทุนต่อเวลาไป เอาเสื้อผ้ามาขายจากประตูน้ำ แล้วเพิ่งหลายเดือนที่ผ่านมาก็ออกอาการไม่ดีเท่าไหร่เพราะว่าคนซื้อน้อยผมก็บอกเค้าไปว่า มันก็น่าจะเป็นเรื่อง seasonal effect มากกว่า (เริ่มวิชาการใส่อีกและอ้าวก็อยากจะบอกนี่หน่า เป็นคนพูดเรื่องแบบนี้อ่านเรื่องแบบนี้ตลอดนี่หน่าทำยังไงได้ล่ะครับ) เพราะว่าธุรกิจเสื้อผ้าจากทีสอบถามคนอื่นๆที่เคยทำก็ออกอาการเดียวกัน แล้วก็ช่วงที่ต่ำๆเนียะแน่นอนว่าอาการขาดทุนมีครับ สำหรับคนที่ไมได้ทำออกมาแล้วมี Brand หรือ Design ที่ดีพอ ถึงแม้ว่าน้องเค้าจะทำมาได้ปีหนึ่งพอดี แน่นอนว่าก็ต้องมีพบเจอเรื่องแบบนี้อยู่กับการที่เสื้อผ้าจะขายได้ไม่มีในบางเดือนน่ะครับ ผมก็โม้ไปนั่นไปนี่ว่าอย่างงั้น ยังไงซะผมก็่เล่าว่าคนที่ได้เริ่มทำอะไรแล้วล้มแล้วได้เริ่มมันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีเพราะคิดเอาเองแล้วบอกเค้าไปอีกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องล้ม 1/10 เท่านั้นที่จะอยู่ได้น่ะครับ เพราะนั้นก็แปลว่าทำ สิบอย่างจะมีดีสักอย่างเท่านั้นเอง (ยกเว้น online Business น่ะครับที่ผมดูมันมากกว่า 30% กะทำขึ้นครับของฝรั่งในยุค 2.0 น่ะครับ)

ถามต่อ่วาถ้าล้มแบบนี้แล้วจะทำอะไรต่อ น้องแกก็บอกทันทีว่าจากประสบการณ์ที่เป็น MC มาก็จะมีความสามารถติดตัวและ connection แนวการจัด event ได้ อืม .. ก็คิดว่าน่าจะทำได้ไม่ยากเพราะว่าตัวแกเองก็สามารถเป็น self-employ ได้เพราะว่าทักษะส่วนใหญ่ก็สะสมอยู่ในตัวอยู่แล้วเรียกว่าเอาเรื่องที่เคยทำจากการถูกว่าจ้างมาเป็น know-how แล้วก็บวกกับ connection ทีสร้างสมเอาไว้ เพราะการจัด event นั้นถึงแม้ว่าจะไม่ใช้คนมากมายและกำไรค่อนข้างดี (ยากเว้นว่ามันจะถึกหน่อยเท่านั้นเองตอนที่จะเริ่มจัด อันนี้รู้จากคนที่คุย msn ด้วยน่ะครับที่ทำงานแบบนี้มาแล้วก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่ทำก็แค่ plan concept แล้วก็ connect outsource ออกไป ) ทำให้ทีมงานเพื่อจัดงาน event นั้นไม่จำเป็นต้องมากเรียกว่าสูงสุดสักห้าหกคนก็ถึงว่าลงตัวน่ะครับ ก็โม้ให้น้องแกฟังอีกน่ะหละครับ ^_^

สรุปเอาเป็นว่าจากการที่ได้คุยกะสาวนั่งดริงค์มาเป็นเหยื่อฟังเราโม้แล้วล่ะก็เหมือนกะว่าได้ share ประสบการณ์ที่ผ่านๆมาจากมุมมองที่ต่างกัน สำหรับคนที่ทำงานหนักได้ลองเยอะอย่างและมีความคิดที่จะลุยงานในสายที่ตัวเองเจอะเจอมีส่วนเกี่ยวข้องมาผมว่าเป็นเรื่องดีทั้งนั้น แต่ว่าก็ดูมาราธอนไปหน่อยจะมีต้องมานั่งเมาส์กะแขกน่ะถึงร้านปิด นอนก็ไม่ได้นอนเท่าไหร่ นั่นน่ะหละครับ ชีวิต! แหมใครจะมีมารู้สึกชิวๆเหมือนกะผมล่ะนั่นโอ้ว . .

ร้านอาหารเกาหลี "เซอราเบิล" (ชื่อเหมือนกะผับยังไงอย่างงั้นเลยน่ะครับ)

IMAGE_122 IMAGE_123 IMAGE_126 IMAGE_127 IMAGE_128 IMAGE_129

ร้านนี้ก็เป็นอีกร้านที่เพื่อนๆทาง KSME แนะนำเข้ามาผ่านทาง facebook อีกทีหนึ่งโดยตอนแรกนึกว่าจะไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นสักร้านเป็นการฉลองวันเกิดน้องสาวสักหน่อยแต่ก็อีก อยู่ๆเค้าก็ไม่ได้ไปด้วย เพราะมีเพื่อนนัดเอาไว้แล้วซะงั้น  .. ไม่เป็นไรน่ะครับ ไม่ว่ากัน ก็.. ก็เลยคิดว่าอย่างงั้นไหนๆก็ตั้งหน้าตั้งตาว่าจะกินข้างนอกแล้วก็ลองไปกินร้านที่อยู่ใน " to-eat-list" ของผมน่ะครับ

ร้านนี้อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่จากบ้านการเดินทางสะดวกมากน่ะครับขึ้นทางด่วนไปไม่นานก็ถึงอยู่สุขุมวิท 24 Location search ใน Google Map คิดว่าไม่น่าจะยากเย็นอะไรน่ะครับ สำหรับคนที่มี Garmin ก็ search ภาษาไทยตามทีว่านี้ได้เลยน่ะครับ ตอนแรกผมหาไม่เจอน่ะครับว่ามันพิมพ์ภาษาไทยว่าอะไรกว่าจะเจอก็เล่นเอาเหนื่อยน่ะครับ

อาหารออกแนวเกาหลีๆปกติแต่ว่าที่ผมชอบก็คือข้าวยำร้อน ปกติผมว่าร้านอื่นๆเค้าทำได้ไม่อร่อยเหมือนกะร้านนี้น่ะครับ เค้าจะเอาน้ำมันงานกะซอสพริกเกาหลีมาให้แล้วก็คลุกเอาเองก็จะใส่อะไรมากน้อยแค่ไหนก็ไม่มีคนว่าอะไรน่ะครับ ตอนแรกในเมนูผมเห็นรายการนี้เป็นไข่ดิบแต่ว่าที่ทำมาจริงๆก็เป็นไข่ดาวไปซะงั้น แหม นึกว่าจะได้กินแบบคลุกไข่ดิบซะแล้วน่ะครับ ถุ้าอย่างงั้นนี่น่าจะได้รสดีกว่าครับผม

บรรยากาศในร้านค่อนข้างส่วนตัวเอามากๆเลยครับ มีห้องหับให้เสร็จ ผมไม่รู้น่ะครับว่าเค้าจะคิดค่าห้องอะไรเหรอป่าวครับ ยังไงก็ถามร้านเค้าดูก่อนก็ได้ครับ

เนื้อที่กินก็สั่งเป็น basic สุดๆไมได้มีอะไรหรูหราเลยน่ะครับก็คือ บุลโกกิ ไปที่ไหนก็กินแต่อันนี้เหมือนกะว่ามันเป็น standard ของการกินเนื้อกะทะเกาหลีจริงๆครับ ก็ใช้ได้น่ะครับแต่ว่าไม่ได้ประทับใจมากนักเพราะว่าเนื้อจะมีน้ำหมักเยอะเกินแล้วก็ลงกระทะปิ้งไปจะออกแนวเหมือนกับต้มซะมากกว่า ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันน่ะครับ หรือว่าอาจจะเป็นเพราะว่ารูปแบบกระทะก็ได้ครับ หรือ ไฟ หรืออะไรก็สุดแล้วแต่แต่ว่าปิ้งออกมาแล้วไม่ได้แห้งเหมือนกับที่อื่นๆ ก็แล้วแต่อีกน่ะหละว่าบางคนอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้แล้วแต่ style ครับ อีกเมนูที่สั่งมาก็จะเป็นหมูชิ้นๆแผ่นน่ะครับผมก็ไม่รู้อีกว่ามันส่วนไหนครับแต่ว่าก็ใช้ได้ครับ ก็ต้องระวังตอนปิ้งกันหน่อยถึงแม้ว่าจะเปิดไฟต่ำแล้ว(มันเป็นถ่านน่ะครับแค่ปรับระดับการเป่าลมเท่านั้นเอง) ก็ยังไหม้ แหม หันหน้ามันคุยกันไม่นานก็เริ่มไหม้แล้วไฟแรงดีจริงๆครับ กินอย่างงี้ก็ต้องระวังครับ คิดว่าถ้าหากว่าจะให้ดีกว่านี้ให้น้องหน้างานเค้าทำการปิ้งๆอยู่โต้ะเราเลยก็น่าจะได้น่ะครับ รู้สึกว่ามันจะปลอดภัยจากมะเร็งกว่าถ้าเราคอยระวังตัวเอาไว้น่ะนะไม่ให้มันไหม้ครับ สำหรับราคาแล้วมันก็แพงประมาณอาหารเกาหลีได้น่ะครับ ไม่ได้แพงไปกว่านี้แต่ว่าถ้าเทียบกับร้านต่างๆที่ sukumwit ซอย 12 แล้วล่ะก็ถือว่าถูกกว่าเล็กน้อยถึงปานกลางครับ ลองมากินดูเองแล้วกันนะครับผม

Sunday, May 24, 2009

แนวคิดเจ๋งๆที่นอนละเมอคิดเพ้อออกมาได้ : "แรงงานกู้ล่วงหน้า"

 
เมื่อคืนมีไปพบปะเพื่อนๆรุ่นพี่ที่ก้วน KSME ฟังคนนู้นคนนี้เล่านั่นเล่านี่ แล้วก็จะกึกอยุ่ที่ประเด็นนึงก็คือว่า ถ้าหากว่าบริษัทที่ให้คำปรึกษา จะพบได้ว่าเป็น asset และ cost คือคนจะเป็นหลัก (แล้วแต่ว่าจะมองคนว่าเป็นสินทรัพย์หรือว่าเป็นต้นทุนก็สุดแล้วแต่ว่าพนักงานหรือคนมดงานคนนั้นจะทำอะไรให้ได้มากแค่ไหนมากกว่าน่ะครับ แต่ว่าผมไม่อยากคุยประเด็นนี้เท่าไหร่น่ะครับผม ข้ามๆ) ลองคิดดูน่ะครับถ้าหากว่าองค์กรนี้ไม่มีสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อการดำเนินการเช่น ว่าทุกคนประชุม online ผ่าน Skype หรือว่า Meeting ผ่าน webminar (เหมือนกะสัมนากันน่ะหละแต่ว่าไม่ได้เจอกันตัวเป็นๆกันหรอก) หรือว่าคุบก็ไม่มีโทรศัพท์หรือว่าผนักค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทางและโทรศัพท์และค่าอื่นๆออกไปจากองค์กรได้ทั้งหมด (สมมุติก่อนแล้วกันน่ะครับ) นั่นก็หมายความว่า องค์กรนี้จะมีแรงงานกู้ล่วงหน้า เสียเป็นส่วนใหญ่ครับ

"แรงงานกู้ล่วงหน้า" เป็นนิยามที่ผมคิดละเมออกมาเองว่า ถ้าหากว่าผมมีคนพนักงานขายทั้งหมด 300 คนแล้วสรุปค่าจ้างต่อเดือนทั้งหมด 30 ล้านบาท (ผมแอบคิดให้ว่าประมาณคนละ 1 หมื่นบาทอ่ะก็แล้วแต่ว่าใครทำหน้าที่อะไรก็ vary ไปตามการใช้คนมนุษย์แรงงานล่วงหน้าครับ แต่ก็แค่เฉลี่ยกันคนละหมื่นเท่านั้นอ่ะครับ) ทีนี้แปลว่า ณ วันที่ 1 ของเดือนแปลว่า เราได้ "แรงงานล่วงหน้า" ที่จะต้องจ่ายอีกสามสิบวันหลังจากนี้มูลค่า 1 ล้านบาทครับ โดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรเลย แรงงานล่วงหน้านี้ไม่เกิดดอกเบี้ยเงินกู้ลองคิดดูน่ะครับถ้าหากว่าคุณต้องให้กู้ 1 ล้านบาทแล้ว ณ วันที่ 1 แล้วจะต้องจ่ายคืน ณ วันที่ 30 นั่นก็คือมูลค่าเดียวกันกับที่ แนวคิดของ "แรงงานล่วงหน้า" นี้นั่นเองครับ

ลองคิดต่อไปอีกว่าถ้าหากว่าการดำเนินการใช้คนทั้ง 300 คนนี้แล้วพบว่าจะให้ผลเป็นเงินสดเข้าระบบทั้งหมดสัก 60 ล้านบาทต่อเดือนทันที วันไหนก็ได้ ณ วันที่ 1 ถึง 30 ของเดือนนั้นๆ เมื่อสิ้นเดือนก็คือ องค์กรหรือเจ้าของธุรกิจสมมุติ(ที่ผมไม่ได้บอกว่ามันคืออะไรแล้วมันมีเหรอป่าวด้วย)ก็จะได้กำไรไปซะงั้น 30 ล้านบาทต่อเดือน

คิดอย่างงี้แล้วทำไมมันฟังดูอลังแบบนี้ล่ะเนี่ยะ คราวนี้ผมลองคิดดูแบบว่าถ้าหากว่าผมเป็น self employ คือ ว่าจ้างตัวเองแบบเดียวกันแป้บเลยอารมณ์จะเป็นยังไงกันนะ .. ก็เริ่มคิดกันเลยครับ สมมุติว่า ผมเป็นคนๆเดียวกับที่เข้าทำงานในบริษัทที่ให้คำปรึกษาตะกี้น่ะครับแล้วก็คิดว่าผมจะมีค่าตัวเพื่อจ่ายตัวเอง 10000 บาทต่อเดือนวันแรกผมก็ทำงานเพื่อตัวเองทันที แต่ว่าผมก็ไม่ได้รู้สึกว่า ตัวผมเองได้แรงงานตัวเองกู้ล่วงหน้า อืม ก็แหงล่ะซิครับเพราะว่าตัวผมเองกรณีก่อนหน้าผมเป็นผู้ให้องค์กรกู้แรงงานผม แต่ว่าถ้าองค์กรนั้นเป็นตัวผมเองก็เจ๊ากันไปน่ะครับ มันจะไม่ได้รู้สึกว่ามีใครได้หรือว่าเสียอะไรน่ะครับ (หมายถึงตัวผมจะไม่รู้สึกอะไรน่ะครับ) แล้วลองคิดต่อน่ะครับ เมื่อเวลาเดินไปถึงวันที่ 30 จะมี income เข้ามาทั้งหมด 2 หมื่นบาท แล้วปลายเดือนผมก็จ่ายเงินให้ตัวเอง 1 หมื่นบาท แล้วที่เหลือก็เป็นกำไรขององค์กรซึ่งก็คือตัวคุณอีกน่ะหละ อีก 1 หมื่นบาท อืม คิดแล้วก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นอะไรมากมายนัก เพราะว่า ตัวผมก็จะเป็นแค่มดงานหนึ่งหน่วยที่แตกออกมาจากองค์กรเมื่อตะกี้  เพราะว่าถ้าตัวผมรู้ว่าทำแบบนี้แล้ว และเห็นผลออกมาเป็นอย่างงี้ต้องหาวิธีการเพื่อขยายตัวคุณตัวผมเองออกไปให้ได้ 300 คนโดยคนที่คนอื่นๆคิดสิ่งที่จะต้องคิดคอนนี้ไม่ออก เพราะไม่อย่างงั้น คนอื่นๆก็จะแตกตัวและออกไปทำเหมือนๆกันยังไงอย่างงั้นน่ะครับ

จากที่เล่ามาทั้งหมดคนที่เสียเปรียบที่สุด ก็คือคนที่อยู่ในสถานะผู้ถูกว่าจ้างที่ต้องให้กู้แรงงานล่วงหน้าแก่องค์กรครับ ถ้าหากว่ากิจกรรมดังกล่าวสามารถทำเงินได้อย่างที่ยกตัวอย่างให้ฟังได้จริงๆครับ แต่ว่าก็อีกน่ะหละ แท้ที่จริงแล้วเราไม่สามารถที่จะประเมินได้ทันทีว่า มันจะเป็นอย่างที่ผมเล่าหรือว่ามันจะดีกว่านั้นหรือว่าแย่กว่านั้นมากๆ ก็ได้เพราะฉะนั้นแล้วถ้าจะเริ่มแนวคิดนี้ให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างแท้จริง มันก็เรียกได้ว่าเป็นความเสี่ยง ยังไงล่ะครับนั่น .. เอาเถอะครับแต่ว่าจากที่ผมฟังแล้วบริษัทที่ปรึกษาทีว่านี้จะต้องเริ่มมาจากการเป็น self-employ มาก่อนแล้วก็เห็นว่าจะต้องทำยังไงแล้วก็เห็นผลกำไรต่อหรือ income ต่อเดือนมาแล้วถึงเห็นแสงสว่างว่า "ถ้าหากว่ามีมดงานเป็นคุณแล้วล่ะก็..ฮึ่มเยี่ยมเลย" ก็เลยมีการขยายตัวออกด้วยรูปแบบของการแพร่เชื่อโรค คือ จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 ... ไปเรื่อยจนถึงปริมาณคนที่ระดับ 40 คน (มันก็ไม่ได้ลงตัวอย่างงั้นหรอกน่ะครับว่าต้อง 1 เป็น 2 2 เป็นสีเนียะ)

หลักที่ผมคิด ณ เนื้อความพิมพ์เก็บความคิดนี้ก็คือ "เรื่องการกู้แรงงานล่วงหน้า" เท่านั้นเองน่ะครับ นอกนั้นก็เป็นประเด็นเติมๆเข้ามาเท่านั้นเองน่ะครับ ผมว่า คราวหน้าผมจะนั่งคิดเรื่อง "Pay per Sale" ว่ามันมีอะไรยังไงกับความคิดการจ่ายเงินแบบนั้นครับ

บทความหน้าหัวเรื่องคิดว่าน่าจะเป็นอย่างงี้น่ะครับ "Pay per Sales : จ่ายเมื่อขายออก (อ้าว.. ทำไมผมแปลแล้วมันรู้สึกแปลกๆล่ะเนี่ยะ)"

Wednesday, May 20, 2009

อยากบอกให้รู้ว่าความสามารถในการสังเกตเราต่ำมากๆเมื่อเรา focus กับอะไรบางอย่าง (บ่อเกิดแห่งการเสียโอกาส?)

กล .. แม้ว่าจะรู้แต่ว่าเราก็ไม่สามารถที่จะแยกแยะความคิดแบบปกติออกมาจากการที่เราเห็นหรือได้ยินได้ง่ายนัก

จริงๆแล้วมนุษย์เรามี focus ได้ดีมาก และ ดีเกินกว่าที่สังเกตเหตุการณ์อะไรต่อมิอะไรที่เราไม่ได้สนใจได้เท่าไหร่เลยครับ business ก็น่าจะคล้ายๆกันนี่เอง เราไม่รู้หรอกครับว่า ถ้าหากว่าเรา focus กับอะไรอย่างหนึ่ง เราไม่ทันได้สังเกตสิ่งอื่นๆที่อยู่รอบๆตัวเรา มันก็จะเป็นโอกาสที่ผ่านเลยไป (เพราะเราไม่เห็นโอกาสนั้นหรอก แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำมาว่ามันผ่านเลยไป เราก็ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นเพราะเราไม่รู้ว่ามันมีแล้วมันก็ผ่านไปแล้ว แล้วก้ไม่มีใครบอกอะไรเราครับ) ความสามารถในการสังเกตพบ เห็น และรู้นั้นต่ำมาก จากการทดสอบด้านล่างครับ

ดูแล้วเศร้าใจจริงๆว่า “เฮ้ย .. เราคงพลาดอะไรไปเยอะแยะเลยในชีวิตนี้” (อ้าวคิดไปนั่น แหม ก็มันก็น่าคิดนี่หน่า แค่นี้ยังไม่รู้กันเล้ย เอ้า ดี เอาเข้าไป)

Monday, May 18, 2009

การกระจายความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบความคิด .. อืม น่าคิดอยู่เหมือนกัน ..

มีเหตุผลปกติอยู่แล้วทำไมลูกค้าจำเป็นที่จะต้องมีมายราย เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงหากว่าลูกค้ารายนั้นๆเกิดเปลี่ยน supplier ก็จะทำให้การผลิตทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด เกิดปัญหาเรื่องการผลิตทันที นั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ไม่สามารถหา royalty กับผลิตภัณฑ์ได้ แต่ถ้าหากว่า เราสามารถที่จะทำให้เกิดการติด และไม่สามารถที่จะหา supplier รายอื่นๆได้นั้น มันก็เป็นแค่ "ความฝัน" สิ่งที่เป็นไปได้มันเพียงแค่ "การครองตลาดอย่างโมโนโปลี่ (รายเดียว) ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เน้นว่าแค่ขั่วระยะเวลาหนึ่ง" ความคิดแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะเราก็เห็นๆกันอยู่ว่า ไม่มีใครที่จะครองตลาดเดิมไว้ได้ตลอดเวลา จะมีคนที่จะเข้ามาเพื่อตีตลาดหรือคิดอะไรที่ใหม่กว่าหรือดีกว่าทั้งด้านต้นทุนหรือเทคนิค เรียกง่ายๆว่า "มันเจ๋งกว่า" ก็ว่าได้

การกระจายความเสี่ยงนั้นอาจจะพิจารณาคิดได้ว่า เราสามารถที่จะเพิ่ม product หรือความแตกต่างของสินค้าในกลุ่มเดิมที่เราทำได้ หรือการทำสินค้าใหม่ๆ ที่เพิ่มหรือขยายขอบเขตของตลาด (อ่านเรื่อง blue ocean ที่เคยพิมพ์เอาไว้ได้เลย) มันแปลว่าอะไร ? มันแปลความแบบเดียวกับที่ทาง WII ทำยังไงอย่างงั้น คือ WII ไม่ได้สร้างเกมส์อะไรที่เน้น graphic ออกมาเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่คนอื่น(ค่ายเกมส์อื่นๆ ) ก็จะทำให้ภาพสวยและมันส์ คนที่ต้องการภาพสวยและมันส์จะเป็นพวกที่เล่นเกมส์มาแล้วแต่ไหนแต่ไร แต่สิ่งที่ WII ทำคืออะไรน่ะหรอครับ ? เค้าทำให้คนที่ไม่เคยเล่นเกมส์หันมาเล่นและอยากจะซื้อเจ้าเครื่อง Wii นี้ซึ่ง xbox360 ไม่ได้มีความดึงดูดอย่างนี้เลยแม้แต่น้อย 

Wii ทำอะไร? Wii ขยายตลาดออกไปที่ xbox และ game console อื่นๆ ทำอะไรไม่ได้หรือไม่เคยคิดจะทำ หรือไม่เคยทำมาก่อนแม้แต่น้อย แปลกที่ว่าฝรั่งทำเรื่องแบบนี้ไม่ทันญี่ปุ่น (แอ้ะหรือว่านี่มันก็พวกฝรั่งคิดทำกันหมดอันนี้ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้ใครเป็น mastermind อยู่เบื้องหลังกันแน่)

ตะกี้ที่พิมพ์ความคิดเก็บเอาไว้ จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของการลดความเสี่ยงโดยการขยายตลาด ในแบบต่างๆ ที่ได้กล่าวเอาไว้ คือ "เพิ่มชนิด product ในตลาดเดิม"  หรือ "เพิ่ม product ในตลาดใหม่ที่มีอยู่เดิม" หรือ "เพิ่ม product ในตลาดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน" (blue ocean)

การเพิ่มตลาด เพื่อลดความเสี่ยง (เสี่ยงอะไรกัน? เสี่ยงที่ว่าจะทำให้องค์กรทำขาดสภาพคล่อง หรือ เสี่ยงเจ้ง หรือปิดไป ว่างงานไม่มีอะไรทำ) แบบนี้ไม่สามารถบอกได้ว่า ทำแบบไหนแล้วจะดีที่สุด หรือ จะให้ผลกำไรได้ดีที่สุด (ลดความเสี่ยงต่อการเข้งขององค์กร) เพราะมันขึ้นอยู่กะว่า เราคิดอะไรแบบไหนออกมากกว่า เพราะถ้าหากคิดออกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเราใช้เวลาเพื่อผลักดันมัน แล้วไม่คิดอะไรอื่นๆ ต่อ (แน่นอนว่าการเลือกกระทำอะไรไปแล้ว มันก็จะ take action time และ กำลังงานทั้งนั้น เกือบจะเหลือความคิด action เพื่อไปทำอย่างอื่นได้น้อยลงยังไงอย่างงั้น)

จากตะกี้จะพิมพ์ไว้จะเห็นได้ว่าผมไม่ได้พูดอย่างหนึ่งคือ การลดความเสี่ยง"ด้วยการทำธุรกิจมากกว่า 1 ประเภท หรือ ที่เกี่ยวข้องกัน" แนวคิดแบบนี้จะส่งผ่านไปหาคนที่คิดว่า ฉันมีความรู้ความสามารถแบบนี้ ฉันก็จะทำแต่เรื่องนี้และ/หรือทำแค่ธุรกิจอันเกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมของตน  ผมไม่บอกว่า การคิดแบบนี้ผิดแต่อย่างใดๆ เพราะ สิ่งเหล่านั้นจะเรียกได้ว่า มันเป็น "core business" มีความรู้ความชำนาญเพื่อผลิตหรือมีทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ แต่เค้าอาจจะไม่คิดว่า model ความคิดที่ทำหลายธุรกิจโดยใช้ resource เดียวกันก็ทำได้เช่นเดียวกัน ส่วนที่ว่าจะทำหรือไม่ทำอย่างไรนั้น .. มันขึ้นกับว่า "คุณเชื่อว่าอย่างไร?"

Sunday, May 17, 2009

embed ปฏิทินส่วนตัวได้ด้วยลองเอามาปะไว้ดูหน่อย

อะไรคือซวย โชคดีแล้วจะควบคุมเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร? (ควบคุมกันได้ด้วยหรือ เป็นอย่างงั้นหรือ?)

roulette แปลกอย่างที่น้องผมเคยถามเอาไว้ว่า "ความซวย" คืออะไร? แต่ว่าผมไม่ได้บอกอะไรเค้าไปตรงๆหรอกว่า มันคืออะไร แต่ผมบอกเค้าไปว่าถ้าหากว่ามันเหตุผลแล้วล่ะก็เหตุผลมันก็น่าจะมีดังต่อไปนี้ ผมก็จัดแจงยกตัวอย่างเรื่องโลกคู่ขนานออกไปเรือ่ยๆ ให้เค้าได้ฟัง เรื่องมันมีอยู่ว่า ..
ถ้าหากว่าเรานั้นทำอะไรที่จะเกิดทางเลือกอันมี ความจะเป็นเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วล่ะก็ สิ่งเหล่านั้นจะต้องเกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งแต่ว่าเราจะรู้ผลของเหตุการณ์เหล่านั้นได้แค่ผลอย่างเดียว เช่น หากว่าเราแทงรูเร็ตเป็นสีดำ (โอกาสเกิดสีดำและสีแดงเท่าๆกันหากว่าไม่พูดถึงเลข 0 ที่มันมีในเกมส์แล้วกันนะครับ) ผลที่ออกมาน่าจะเป็นไปได้ว่า ไม่ออกสีดำก็สีแดง ถ้าหากว่าสีดำตานั้นเราก็ชนะได้เงินไป หรือว่าถ้าหากว่าออกเป็นสีแดงก็แพ้ไปตามเกมส์ แต่เมื่อผลออกมาเป็นสีดำ แปลว่า "เราอยู่ในโลกที่ผลลัพธ์ออกมาเป็นสีดำ" เท่านั้นเองครับ เรารับรู้ผลของเหตุการณ์ได้แค่ผลเดียวของเหตุการณ์หนึ่งๆเท่านั้น และเราไม่สามารถย้อนเวลาเพื่อไปสำเหนียกรู้เพื่อให้เกิดผลลัพธ์เป็นสีแดงได้แต่อย่างใด เราทำไม่ได้จริงๆครับ เราอยู่บนโลกที่ผลล้พธ์ของเกมส์รูเล็ตออกมาเป็นสีดำไปแล้ว นั่นเอง แท้ที่จริงนั้นมันอาจจะมีโลกที่มีผลลัพธ์ออกเป็นสีแดงก็ได้แต่ว่าเราแค่ไม่ไดอยู่ที่โลกนั้นเท่านั้นเอง เรารับรู้ผลจากเหตุการณ์ได้แค่อย่างเดียวหากมีการตัดสินใจโดยธรรมชาติครับ ธรรมชาติไม่ได้เล่นตลกกับเราเพียงแต่ว่าถ้าหากว่าโลกนี้จักรวาลนี้กำหนดให้เราไหลไปอยู่โลกแบบไหนเราก็จะอยู่บนโลกนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากว่าเป็นธุรกิจหรือว่าอะไรก็สุดแล้วแต่เราจะเรียงสิ่งนี้ว่า ตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้ หรือ uncontrolable factor ซึ่งสิ่งที่มนุษย์ ณ เวลาหนึ่งๆคิดต่อเหตุการณ์นั้นจะคิดได้แค่ว่า เรื่องโอกาสและความน่าจะเป็นเท่านั้น เราก็เริ่มนิยามว่า ถ้าอะไรก็ตามที่ความรู้เราประเมินว่า โอกาสเกิดได้มันต่ำ หรือต่ำมาก แล้วผลนั้นเกิดขึ้นจริง เราเรียกสิ่งนั้นว่า "ซวย" เท่านั้นเอง เพราะการที่มีโอกาสเกิดแม้ว่าจะต่ำมากก็ตามมันไม่ได้แปลว่ามันจะไม่เกิด อาจจะมองในทางไม่ดีอย่างว่าเราก็รู้สึกว่ามัน ซวยยังไงล่ะครับ แต่ว่าถ้าหากว่า มันเป็นเรื่องทางดี ได้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งต่อตัวเราเราก็เรียกมันตรงข้ามว่า "โชคดี" (Lucky)  เช่น หากว่าเราประเมินได้ว่าการถูกหวย แบบแทงสองตัว (โอกาส 1ใน 100) แล้วเหตุการที่ถูกหวยเกิดขึ้น เราก็นึกแค่ว่าเราโชคดีมันก็เท่านั้นเองครับนั่น

เหตุการณ์ที่เราจะตกอยู่ในโลกของผลจากเหตุการณ์แบบใดๆนั้น เราไม่ได้เป็นผู้กำหนด แต่ว่ามีอะไรสักอย่างที่กำหนดเอาไว้แล้วต่างหาก เหตุผลนั้นเริ่มจะออกแนวศาสนาแล้วกืคือ กรรม หรือลิขิตฟ้าว่าอย่างงั้น! แต่คนเราก็อีกน่ะหละครับ คิดที่จะควบคุมสิ่งนี้โดยมีการกำหนดกันว่าหากว่าทำดีก็จะดี เพื่อให้ผลลัพธ์ดี การทำอะไรที่ไม่ดีต่อคนอื่นผลลัพธ์ที่ไม่ดีจะเกิดกับตนได้ด้วยเช่นเดียวกัน หรือถ้าหากว่าทำบุญก็จะทำให้ "โชคดี" เป็นต้น ดังนั้นสำหรับองค์กรหรือคนทำธุรกิจมีความจำเป็นอย่างหนึ่งที่จะต้องเป็นคนดีและทำความดีครับ เหมือนเป็นการแบ่งจ่ายอย่างใดอย่างหนึ่งให้กับสิ่งที่ควบคุมตัวเราหรือผลของเหตุการณ์นั้นเองครับ ผมยกตัวอย่างคนที่คิดอย่างนี้อย่างแรงให้เห็นขนาดที่เขียนเอาไว้ในหนังสือเค้าเลยก็คือ โรเบิร์ต คิโยซากิ ที่เขียนเรื่อง Rich Dad Poor Dad ที่คิดว่าการทำความดีเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา เพราะจะมีการแบ่ง 10% ของรายได้ เพื่อทำการกุศล (เหตุผลอื่นเค้าไม่ได้ว่าเพราะอะไรทำไมต้องแบ่งอย่างงั้น แตว่าที่แน่ๆ มีการบอกเอาไว้อยู่ตอนหนึ่งที่ทำให้ผลสะกิดใจว่า เอ .. คิดอย่างงี้เลยหรือ ?) เหมือนประมาณว่า พระเจ้าหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เค้าคิดว่าเป็นคนควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ parter หรือเพื่อนทำธุรกิจ อืม .. แล้วแต่จะคิดน่ะครับ เอาเป็นว่า ใครก็เห็นว่ามีอะไรควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้นี้อยู่ มันก็สุดแล้วแต่ว่าจะอธิบายอย่างไรกันเท่านั้นเอง แต่ที่แน่ๆมันก็มีบางเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องรู้ครับผม !

Thursday, May 14, 2009

Sunk Cost คิดตัดสินใจแบบจมปรัก..

ลดละเลิกการคิด sunk cost หรือต้นทุนที่ผ่านไปแล้ว (ทำอะไรไม่ได้)

sunk cost ถ้าแปลเป้นไทยผมว่ามันก็น่าจะแปลตรงๆว่าต้นทุนจม ที่ไม่ผ่านไปแล้วในอดีต แต่ว่าเรารู้สึกเอาเองว่ามันน่าจะมีผลต่อการตัดสินใจ ต่อทิศทางในอนาคต หรือเพื่อตัดสินใจใดๆ ที่จะเป็นการกระทำต่อไปในปัจจุบันเพื่อหวังผลใดๆ ในอนาคตนั่นเอง (โปรดอ่านอีกครั้ง)

ผมว่านะคนปกติจะเอาต้นทุนจมมาคิดโดยไม่รู้ตัวหรอกว่ามันไม่เหตุผลใดๆที่จะต้องคิดถึงมันหรือว่ามันไม่พึงเป็นปัจจัยอะไรที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจเราครับ มันฟังดูเหมือนจะมีเหตุผล(ทางจิตใจ) แต่ว่ามันไม่มีเหตุผลสำหรับการตัดสินใจที่ rational ครับ (อย่างมีเหตุผล หากว่าการตัดสินใจนั้นไม่เกี่ยวข้องกับจิตใจของคนอื่นใดๆ หรือ ต่อคนเอง) มันจะไม่มีผลได้ก็ต่อเมื่อ คนคิดหรือตัดสินใจนั้นรู้ว่า sunk cost มันมีตัวตนเสียก่อนน่ะครับ ไม่อย่างงั้นเค้าเหล่านั้นไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรแล้วก็คิดว่าตนเองนั้นคิดอย่างเหตุผลแล้ว ..(ทั้งๆที่มันไม่นะ)

เช่น สมมุติว่าเราลงทุนกับอะไรสักอย่างไปแล้วด้วยแรงกายหรือแรงใจ หรือแม้กระทั่งแรงเงินแล้วพบว่า การกระทำนั้นไม่ส่งผลดีต่อตัวเรา ถ้าหากว่าคิดแบบเอา sunk cost มาคิดก็จะคิดได้ว่า ก็เพราะว่าเราลงทุนไปแล้วดีไม่ดียังไงก็ต้องเดินหน้าทำต่อไป หรือ่วาต้องให้ได้ผลออกมาให้ได้ได้ไม่ดีก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรออกมา ยกตัวอย่างให้เห็นกันหน่อยดีกว่าครับ เช่น บริษัทมือถือบอกว่าตอนนี้ลงทุนสร้างระบบดาวเทียมเพื่อเชื่อมสัญญาณโทรศัพท์มือถือทั่วโลก แล้วเสร็จแล้วครึ่งหนึ่งของโครงการ ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งจึงจะใช้การได้สมบูรณ์ แต่แล้ว เรื่องจากระยะเวลาในการดำเนินการนั้นกืนเวลานานอยู่ ทำให้โลกเราพบเทคโนโลยีใหม่ที่ไม่ต้องใช้ดาวเทียมอย่างว่า เพื่อที่จะคุยโทรศัพท์ได้ทั่วโลก สิ่งที่เกิดความโครงการครึ่งแรกเป็นต้นทุนจมไปแล้วครับ หากว่าทำเสร็จทั้งโครงการก็จะประเมินได้ว่าคนใช้บริการก็จะน้อยเอามากๆเพราะว่าต้นทุนของเทคโนโลยีใหม่จากถูกกว่ามากๆทำให้โครงการดาวเทียมนี่มันเป็นหมันได้ คนต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าทำโครงการที่เหลืออยู่อีกครึ่งหรือไม่ นั่นเป็นจุดที่ต้องตัดสินใจ คนที่คิด sunk cost เข้ามาในหัวจะคิดว่า "ก็เพราะว่าเราลงทุนไปแล้วนี่หน่า ทำอีกหน่อย ก็จะได้ผลสำเร็จออกมา (สำเร็จในที่นี้แปลว่ามันใช้การได้เท่านั้นเอง) ก็น่าจะดี แหม ถ้าเลิกตอนนี้ก็น่าเสียดายแล้วไอที่ทำไปแล้วล่ะทำยังไงล่ะนั่นถ้าหากว่าเลิกตอนนี้ จริงหรือเป่าเนาะ .. " คนคิดแบบ sunk cost จะเสียดายเงินแรงงานและเวลากับสิ่งที่ทำไปได้ แล้วแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ให้มันมีผลต่อการคิดตัดสินใจครับ ถ้าคนที่ไม่คิด sunk cost จะคิดแนวว่า "ก็เพราะว่าถ้าเราเดินหน้าต่อตอนนี้จะไม่ทำให้เกิดผลกำไรแต่ประการใด แม้ว่าจะทำให้เสร็จทั้งโครงการก็ถึงว่าโครงการนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดกำไรได้ มันมีคู่แข่งทางเทคโนโลยีที่ดีกว่าแล้ว ณ เวลานี้ เราจะต้องไม่คิดเอาเงินลงทุนที่ลงไปแล้วเข้ามาคิด เพราะมันทำอะไรกับสิ่งทีทำไปแล้วไม่ได้อีกต่อไป (แต่ว่าก็แอบคิดว่าทีทำไปแล้วครึ่งหนึ่งนั้นจะทำประโยชน์อะไรอื่นๆได้มากกว่า มากกว่าที่จะเอาไปทำเพื่อจุดประสงค์เดิม) "

แนวคิดแบบนี้หายขยายผลออกมาไปให้เป็นเชิงกว้างอาจจะคิดได้ว่า ไม่ว่าคุณทำอะไรลงไปแล้วก็ตามมันไม่น่าจะผลต่อการตัดสินใจใดๆกับตัวคุณเองครับ แต่ว่าคุณต้องแยกแยะออกเท่านั้นเองว่าอะไรเป็น sunk cost ครับ การขยายความคิดให้กว้างออกไปก็เช่นว่า สมมุติว่าคุณเรียนอะไรมาก็สุดแล้วแต่ แล้วคุณทำงานในสายอาชีพนั้นแล้วพบว่ามันไม่ได้ดีอย่างที่คิดหรือคุณเห็นว่าสายงานอาชีพอื่นนั้นดีกว่าและคุณก็สนใจมันซะด้วยซิเพราะว่ามันเห็นอนาคตที่ดี คนที่คิดแบบมี sunk cost ฝังหัวก็คิดว่า ก็เพราะว่าเราเสียเวลาเล่าเรียนมาแล้ว ก็เพราะว่าเราใช้เวลากับมันมาแล้ว เมื่อมันไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก ก็ไม่เป็นไรเดินหน้าต่อไปให้ได้ เพราะเสียดายความรู้และเวลาที่ผ่านมา สำหรับคนที่ไม่คิด sunk cost เรื่องเวลา แรงงานและอื่นๆที่ได้กระทำผ่านมาจะไม่มีผลใดๆต่อการตัดสินใจเปลี่ยนสายงานของเค้าเลยแม้แต่น้อยครับ

หรือหากว่าขยายกว้างออกไปอีกกับ concept ประมาณเดียวกันนี้ ก็เช่นว่า ถ้าหากว่าคุณทำอะไรแย่ๆมาแล้วก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะทำอะไรแย่ๆออกไปอีก หรือว่าคุณเคยทำอะไรสำเร็จมาแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะทำอะไรต่อมิอะไรสำเร็จได้อีก เช่นเดียวกัน เพราะต้นทุนประสบการณ์ของคุณนั้น ประสบการณ์จะเป็น sunk cost ได้หรือ ? มันเป็นก็ต่อเมื่อคุณเอาสิ่งเหล่านั้นมาคิดโดยให้น้ำหนักกับเหตุการณ์สถานะการณ์ปัจจุบันหรือการคาดคะเนในอนาคตน้อยกว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณครับ ยังไงก็แล้วแต่ครับ ประสบการณ์จะทำให้คุณรู้จักว่า sunk cost มันคืออะไรอยู่ดีน่ะหละ .. (หรือไม่ก็มีคนมาเล่าเรื่องประมาณนี้ให้คุณได้แอบคิดเล่นอยู่ในใจครับผม)

Tuesday, May 12, 2009

คิดยังไงว่าสังขารไม่ทนอยู่สภาพ (เปลี่ยนแปลงละลายไปอย่างช้าๆ ไม่มีอะไรคงรูปและมันก็หายไป)

สังขารไม่ทนจริงๆนะเนียะ แค่คิดว่าผมกินซอสมะเขือเทศเข้าไป ผมเข้าใจว่าระบบการทำงานของไตจะทำงานเยอะกว่าปกติ ผมสังเกตมาสองครั้งแล้วว่าถ้าหากว่ากินเยอะเป็นมื้อเย็นปุ้บนอนตื่นมาจะมีอาการเหมือนกับปวดเอว (แน่นอนว่าเป็นตำแหน่งของไต แล้วผมก็เคยรู้มาอยู่เหมือนกันว่าไตเอาไว้กรองอะไรที่เค็มเพื่อให้ร่างกายเรามีความสมดุลของเกลือแร่ในเลือด) แสดงว่าการที่ผมกินซอสมะเขือเทศเข้าไปเยอะ(ผมก็คิดว่ามันเยอะครับ)กว่าปกติมากๆ จะทำให้ไตทำงานหนักอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ผมไม่ได้คิดแค่นั้นน่ะซิ ผมยังเพ้อต่อไปอีกด้วยว่า .. สังขารมันทนสภาพอะไรได้ไม่ดีเท่าไหร่เลย ตอนเด็กๆมันก็คงเป็นเหมือนกันแต่ว่าเราไม่ได้คิดอย่างนี้เพราะเราก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรมันน่าจะมีผลกับอะไร หรือว่ากินอะไรเข้าไปแล้วมันจะไม่ดีต่อตัวเราอย่างไรครับ ความเสื่อมสภาพของ body เราต้องระลึกเอาไว้เสมอเพื่อที่จะดูแลมันอย่างน้อยที่สุดก็ถนอมมันไว้ใช้ได้ไปอีก 2 หมื่นกว่าวันครับ โดยไม่ต้องเจ็บปวดจากโรคร้ายแรงอะไร (เป็นไปได้หรือเปล่าก็ไม่รู้) อาหารการกินก็ต้องระวังเอามากๆครับ เริ่มตอนนี้ดีกว่าเริ่มเมื่อสาย หรือ เริ่มเมื่อสายดีกว่าไม่เริ่มเลย หรือคิดว่าช่างมันเถอะเดี๋ยวมันก็สลายไปแล้วอย่างงั้นหรือ ?

ข้อมูลเพิ่มเติมอีกหน่อย ที่ว่าสังขารมันไม่ทนนั้น มันเป็นสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปอีกตะหากครับ ผมยกตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนกันเลยดีกว่า คือ กระเพาะคนเราเนี่ยะหละ reader digest บอกเอาไว้ว่า กระเพาะมันจะเป็นกระเพาะใหม่ทั้งหมดไม่เหมือนกับกระเพาะเดิมเมื่อ 3 -4 วันที่แล้ว แปลว่าอะไรน่ะครับ ก็แปลว่า มันมีการย่อยแล้วสร้างใหม่ แล้วมันก็ใหม่ทั้งหมด แบบทยอยใหม่ อาการแบบนี้มันจะเป็นกับร่างกายเราทุกส่วนตลอดเวลาที่เราดำรงชีวิตอยู่ที่ภูมิโลกนี้น่ะครับ แสดงว่ามันไม่ทนเอาจริงๆ แค่คิดว่าถ้าการสร้างใหม่ช้ากว่าของเก่า หรือว่าการสร้างใหม่เกิดความผิดปกติขึ้นมาเมื่อไหร่ อวัยวะหรือกายเราบริเวณนั้นจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โอ้วคิดแล้วเห็นภาพจริงๆน่ะครับ ก็เหมือนกับทรายที่มันไปซึมเมื่อโดนแรงลมเป่าชะออกไปทุกที ... ๆ ....

Sunday, May 10, 2009

ร้าน Kizahashi แจกจ่ายประสบการณ์การทำพิซซ่าญี่ปุ่นให้กับลูกค้าเพื่อเป็นเพื่อมูลค่าได้อีกทางหนึ่ง

ร้านอาหารร้านนี้ชื่อ “kizahashi” เป็นร้านที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเอาซะเลยหรือว่าเรียกได้ว่า ร้านเล็กกันเลยก็ว่าได้น่ะครับ แต่ร้านนี้ผมคิดว่ามันขายของไม่ธรรมดา คือ เป็นสินค้า ประเภทอาหารที่ต้องเอามาทำเอง (ไม่ทั้งหมด เพราะไม่ได้ผสมเองเท่านั้นเอง )

ร้านนี้ที่เห็นจะมีกระทะแบนๆอยู่ใบหนึ่งประจำโต้ะ แล้วเงื่อนไขก็คือถ้าหากว่าคุณจะใช้มันก็ต้องสั่งไม่สั่งพิซซ่าญี่ปุ่นก็ต้องสั่งเป็นยากิโซบะ แล้วก็อาหารประเภทอื่นๆก็สั่งได้เหมือนกันแต่ก็จะไม่ได้ใช้กระทะที่อยู่บนโต้ะเราแท้ๆน่ะครับ

เพราะฉะนั้นแล้วหากว่ามองทางด้านความแตกต่างก็คือ ร้านนี้เพิ่มมูลค่าของมื้ออาหารด้วยการให้ลูกค้าลงมือทำเอง  (แน่นอนว่าอาจจะคิดไปถึงร้านสุกี้ร้านหมะกระทะแล้วก็ร้าน bar b q ต่างๆที่เราต้องมาปิ้งๆอาหารเอง แต่ก็อีกมันไม่เหมือนกันน่ะครับเพราะว่านั่นเป็นรูปแบบมาตราฐานกันอยู่แล้วเพราะถ้าหากว่าเค้าทำมาให้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะขายอะไรเหมือนกันครับ) แต่ว่าร้านนี้เป็นสินค้าที่เรียกได้ว่าร้านอื่นๆเค้าจะทำมาให้เสร็จแล้ว ทำให้เพิ่มมูลค่าของประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป และแน่นอนว่า มีเยอะคนที่จ่ายเพื่อให้ได้ประสบการณ์นั้นเช่นเดียวกันครับ (ผมก็ไปจ่ายเงินให้เค้ามาเนี่ยะไงล่ะ) 

concept ของความแตกต่าง โดยเน้นให้ลูกค้ามีประสบการณ์มากขึ้นหรือแตกต่างไปจากเดิมแล้วเป็นการเพิ่มมูลค่านั้น ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ในโลกแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าแต่ละคนที่คิดค้นธุรกิจจะทำให้มันแตกต่างได้มาก แล้วลูกค้ารู้สึกว่ามันน่าลองแค่ไหนด้วย นอกจากนี้อาจจะต้องคำนึงถึงว่า เมื่อลูกค้าได้ลองแล้วเค้าจะกลับมาทำประสบการณ์เดิมๆนั้นอีกหรือไม่ หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะทำการแนะนำต่อไปได้ สำหรับการ่ที่คนจะมากินร้านหาซ้ำนั้น อาหารนั้นต้องอร่อย นั่นก็เป็นสาเหตุล่ะมั้งว่าทำไมเค้าต้องคลุกผสมมาให้แล้ว ((อันนี้เดาเอาน่ะครับ)) แล้วก็ทำไมเค้าถึงไม่ให้เราเลือกอะไรมั่วๆมา หรือ ถึงระดับที่ว่าไม่ต้องมาผสมแป้งเอง (มันจะได้ประสบการณ์เยอะไปหน่อยเหรอป่าวน้าถ้าหากว่าต้องมาผสมแป้งเอง ) เพราะสิ่งที่ผมได้ทำก็คือแค่คลุกไข่และเครื่องที่มีการคลุก(มาแล้ว)ให้เข้ากันอีกรอบแล้วก็เทไปที่กระทะแบน หลังจากนั้นก็บี้มันด้วยอุปกรณ์ที่ผมไม่เคยจับมาก่อน (ที่ผัดแบบแบนนั่นเอง) อ้อ ก่อนหน้าเค้าจะมีอุปกรณ์เพื่อการทาน้ำมัน(ทานะครับไม่ใช่เท)นั่นก็ถือว่าเป็นของแปลกสำหรับคนปกติแล้วเช่นเดียวกัน  เมื่อรอด้านหนึ่งให้สุกแล้วก็พลิกกลับด้านไปอีกด้านหนึ่ง แล้วก็รอ ระหว่างนั้นหน้าที่สองนี้เราก็เอาเครื่องที่ปกติคนไทยไม่ได้ใช้กันหรอกครับก็คือ น้ำซอส bbq แบบญี่ปุ่น(ผมเรียกแบบนี้น่ะครับไม่รู้ว่าจริงๆมันชือ่อะไรน่ะครับ มันจะเอาไปใส่ราดหรือจิ้มกะพวกของทอดก็ได้ครับ) แล้วก็โรย “ปลาป่น” ที่มันป่นจริงๆ แล้วก็จะมีการโรยสาหร่าย(มั้งสีเขียวมาก) จะเอาเท่าไหร่ก็เอาครับไม่มีคนว่าอยู่แล้วมันกองอยู่ที่โต้ะอยู่แล้วแน่นอนว่านั่นมันก็เป็นต้นทุนร้านเค้าอยู่ที่จะมี charge คุณๆลูกค้าต่อไปอยู่ดีน่ะหละ ใส่น้อยใส่มากก็จ่ายเท่ากันแต่ว่าใส่เยอะจะอร่อยกว่าน่ะครับ เหมือนกะว่าไม่ต้องอั้นอะไรเลย (ปกติผมเข้าใจว่าปลาป่นพวกนี้จะแพงสักหน่อย) ไม่นานนักก็บีบมายองเนสให้เป็นลวดลายที่ต้องการ เป็นตารางหรือว่าเป็นวงๆก็สุดแล้วแต่ว่าเคยเห็นพวกคนเครปญี่ปุ่นเค้าทำมายังไงก็ทำตามซะงั้นได้ไม่ยากครับ หรือว่าอยากเขียนเป็นสื่อรักความในใจอะไรก็ได้ (สำหรับคนที่เรียนจีนมาหรือว่าญี่ปุ่นมาก็เขียนเป็นภาษาเป็นตัวๆไปเลยแล้วกันน่ะคัรบ)

ผมสังเกตุว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น “ประสบการณ์” เพราะคุณจะรู้สึกว่ามี flash จากกล้องถ่ายอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะมาจากโต้ะนู้นหรือว่ามาจากในห้อง (ใช่ครับร้านนีมีห้องด้วย) ผมเดาเอาว่าเค้าก็ต้องถ่ายอะไรที่เค้าทำหรือว่าถ่ายอะไรที่เค้ากินอยู่ หรืออย่างแรงสุดก็เพื่อที่จะมา blog บอกต่อเหมือนกับผมแบบนี้ (ทั้งๆที่ไม่ได้อะไรมากนึกได้แค่บอกต่อ แล้วก็ได้เอามาคิดแทนที่จะกินไปเฉยๆ) นั่นเองครับ
IMAGE_006 IMAGE_007 IMAGE_008 IMAGE_009 IMAGE_010

IMAGE_014

เครื่องเยอะเลยครับอยากใส่เท่าไหร่ก็ใส่ไปไม่มีคนว่าอยู่แล้น ..

IMAGE_015
ทาน้ำมันซะหน่อย อุปกรณ์ที่ว่านี่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนน่ะครับ . .

IMAGE_019 IMAGE_021 IMAGE_024
IMAGE_036

  วิธีการตัดให้ได้หน้าตาเหมือนกะ pizza ก็ไม่ยากน่ะครับเอาอุปกรณ์ผัดของเค้ามากดตัดมันก็จะออกมาขอบคมอย่างที่เห็นนี่น่ะหละ . .
IMAGE_037
IMAGE_065

note : วันนี้น้องผมเค้ามีการทำ i tim (ไอติมโยเกิร์ตปั่นเอง) หากว่าคิดไปคิดมาแล้วเราสามารถที่จะสร้างร้านที่มีแนวคิดการเพิ่มมูลค่าด้วยประสบการณ์ที่เป็นไอติมหรือว่าโยเกิร์ตปั่นได้เช่นเดียวกัน เพราะก็เหมือนเดิมน่ะหละครับ คนไทยหรือว่าคนปกติทั่วๆไปที่ไม่ได้อยู่กะครัว่ฝรั่งหรือว่าไม่ได้ทำอาหารผ่านการเรียนการสอนอย่างครำหวอดอยู่ในวงการ เค้าก็จะคิดว่าการทำติมเนี่ยะ มันเป็นเรื่องยาก แต่ว่ามันไม่ได้ยากอะไรแม้แต่น้อย อาจจะเอาแนวคิดนี้ทำเป็นร้านที่มีมูลค่าได้มากกว่าเดิมเอามากๆก็ได้ครับ (แหม แค่ว่า ice stone หรือว่าพวก ไอติมผัดก็เป็นการเพิ่มมูลค่าแต่วาลูกค้าได้แต่มองน่ะครับมันไม่ถึงเครื่องเท่าไหร่ ก็ยังกินเงินลูกค้ามาได้แล้วก็ทำเป็น business ที่แตกตัวออกไปได้ครับ แล้วถ้าทำออกมาเองเลยไม่ยุ่งยากมาก แนวคิดแบบอยากใส่เยอะเท่าไหร่ก็ใส่ก็น่าจะทำให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ใหม่ๆได้เช่นเดียวกันน่ะครับผม)

Tuesday, May 05, 2009

อยู่กะหน้าจอมากเกินไปเหรอป่าวเนียะเรา ..

ตะกี้ป่าป๊าบอกว่า เราอยู่หน้าจอมากเกินไปหรือเป่า .. อืมก็อาจจะมากเกินไปอยู่เหมือนกันน่ะครับเพราะว่าก็ไม่ได้ไปไหนมาไหน ก็ไม่ได้ทำอะไรที่ต้องออกจากหน้าจอไปได้ email หรือว่า โทรศัพท์ หรือว่าแม้แต่คุยติดต่อกับคนอืน่ หรือแม้กระทั่ง sms หาคนนู้นคนนี้ หรือแม้กระทั่งการพิมพ์เพื่อ บันทึก note หรือว่า todolist และอื่นๆอีกมากมาย .. แสดงว่า ส่วนใหญ่อยู่กะหน้าจอจริงๆน่ะหละครับ T_T

Friday, May 01, 2009

หมีแพนด้า .. ที่ไหนกันล่ะนั่น โอ้ว

แหมเข้าใจตัดต่อให้เข้ากะจังหวะน่ะครับผม .. คิดได้ยังไงเนี่ยะ ว่าต้องเทเลแท็ปบี้น่าร้ากกไปหน่อยเหรอป่าว .. โอว้

Doorae (อ่านว่า ดูเร ) กินเพิ่มมาอีกร้านที่ Korea Town กรุงเทพ สุขุมวิท 12

มีเพื่อนๆที่ Ksme แนะนำ(ผ่าน facebook มาอีกต่อหนึ่งเพราะว่าตัวเป็นไม่ได้คุยกันน่ะครับผม แต่ว่าผมรู้น่ะครับว่าใครเป็นใครอ่ะ) มาให้ไปกินที่ร้าน Doorae (อ่านว่า ดูเร ) เป็นร้านที่อยู่ที่เวิ้งเกาหลีเหมือนเดิมสุขุมวิท 12 (Korea Town) ร้านนี้กินแล้วก็ถือว่าวิธีการกินมีพิธีรีตองเยอะกว่าร้านที่เคยกิน (ก็ร้านอื่นๆแถวๆนั้นเท่านั้นเองหละครับ ไม่ได้ไปไหนมาไหนไกลสักเท่าไหร่หรอก) เช่น กระเทียมก็ตอ้งเอาไปต้มคลุกคลิกกะน้ำมันงาในเตาปิ้ง หรือว่าน้ำจิ้มเยอะแบบมาก นอกนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นเครื่องเคียงหรือว่า วิธีการบริการจะเหมือนๆกันหมด (แต่ว่าผมรู้สึกเอาเองว่าเฉพาะคนมาบริการผมคนนี้เค้าจะดู soft ๆ นิ่มๆกว่าคนอื่นๆครับ เพราะว่าการเคลื่อนไหวนั้นละเมียดจริงๆ เหมือนกับว่าชิ้นเนื้อนั่นมันมีค่ามาก แล้วก็ต้องบรรทัดปิ้ง และ พลิกฝั่งมัน ) หรือว่า ถ้าหากว่าเนื้อมันเริ่มสุกแล้วเค้าก็จะเอาเนื้อไปวางไว้ที่ผัก เอ .. เรียกว่าเอาผักรองในเตาปิ้งจะถูกกว่าน่ะครับ วิธีการนี้ก็ถือว่าเป็นเทคนิคที่ดีสำหรับการปิ้งเนื้อบนเตาครับ ถ้าหากว่าต้องการให้ร้อนอยู่ให้เคลื่อนเอาชิ้นเนื้อนั้น จับมันรองด้วยแผ่นผักแผ่นใหญ่ๆแล้วางเอาไว้ที่ริมเตา เท่านี้ความกรุ่นของเปลวไฟก็ได้ความร้อนละลาบกับเนื้อผัก แต่ก็ไม่ได้โดนเ นื้อที่สุกแล้วอีกต่อไป ทำให้ไม่เกิดอาการใหม่น่ะครับ (ชอบครับวิธีการเล็กแบบนี้) ผมกินกันทั้งหมด 6 คนทั้งหมด 2300 บาทก็แปลว่า เฉลี่ยต่อคนก็คนละประมาณ 380 บาทเรียกว่า ก็แพงกลางๆน่ะครับ แต่ว่าไม่ได้แพงโอเวอร์น่ะครับ ผมก็เข้าใจว่าอาหารเกาหลีราคาก็ประมาณนี้นะครับ แล้วอีกอย่างผมก็สั่งเนื้อแบบสันนอก (แอ้ะหรือว่าในสักอย่าง ราคา 430 บาทมากินด้วยน่ะครับ) ลองมากินดูเองแล้วกันน่ะครับ สรุปว่าผมไม่ได้บอกว่าร้านอื่นไม่ดีอะไรน่ะครับ เรียกได้ว่าสูสีกันทั้งหมดน่ะหละครับ
IMAGE_222
IMAGE_223
IMAGE_224

ถ้าผมเขียนแบบนี้แสดงว่าผมยังตัดสินคนที่ภายนอกอยู่ดีน่ะครับ

"อย่าคิดที่จะดูหรือตัดสินอะไรบางอย่างจาก look ภายนอกเลยครับ"