Sunday, June 14, 2009

จะโกรธไปใย ? คิดยังไงไม่ให้โกรธแม้แต่น้อย…

ไม่คิดว่าเป็นเพราะพันธกรรมน่ะครับเป็นเพราะว่าคุณผ่านประสบการณ์ตอนเด็กที่ทำให้คุณมีความคิดและพฤติกรรมให้เกิดความโกรธหรือโมโหได้ง่ายมาก แล้วก็คุณก็อธิบายต่อมาแล้วว่ามันไมดียังไง เหมือนว่าจะรู้ตัวน่ะครับ ว่ามันเป็นการทำร้ายตัวเองครับ มันไม่ได้ทำร้ายแค่สภาพทางจิตมันเป็นการทำร้ายทำลายทางกายภาพด้วยน่ะครับ

แต่ว่าผมยินดีด้วยน่ะครับที่ว่าคุณรู้ตัวแล้ว คุณรู้ว่าคุณมีอารมณ์โกรธ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากทีเดียวครับ เพราะการสำเหนียงรู้ว่าคุณมีอารมณ์เป็นอย่างไร ทำให้คุณมองภาพสะท้อนตัวเองได้น่ะครับ

แนวคิดที่พึงมีคือ การโกรธไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นแม้แต่น้อย แล้วคนอื่นก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีไปกับคุณด้วย หรือว่าถ้าหากว่าคนอื่นเค้ารู้สึกไม่ดีจริงๆ มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรที่จะทำให้คนอื่นนั้นรู้สึกไม่ดีจริงเหรอป่าวล่ะครับ ทำไมคูณอยากให้คนอื่นเค้าเห็นภาพลักษณ์ของคุณว่าคุณกำลังโกรธหรือควบคุมอารมณ์ไม่ได้เหรอครับ สิ่งที่ต้องคิดคือ "รู้ว่าความโกรธมีแล้วระลึกซะว่ามันไม่ได้มีอะไรดีขึ้น แล้วจะโกรธไปทำไม"

สิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงคือ ความคิด! คุณเคยเป็นคนปกติที่ไม่มีอารมณ์โกรธอยู่ร้อยละ 95% ของเวลานะผมว่า แหม แค่โกรธ 5% ของเวลาเนี่ยะผมว่ามันเยอะมาเกินไปด้วยซ้ำน่ะครับ ยังไงซะก็แล้วแต่ เมื่อคุณโกรธขึ้นมา คุณลองนึกย้อนซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกับที่ผมพิมพ์ซ้ำไปซ้ำมาอยู่นี่เสียว่า แล้วจะโกรธไปทำไม มันโกรธมันทำให้คุณคิดอะไรไม่ออก มันไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาแม้แต่น้อย คุณชอบที่จะอยู่ในอารมณ์อย่างนั้นหรือ? ก็ไม่ สรุปคือ "แล้วจะโกรธไปทำไมกันล่ะนั่น เมื่อมันไม่ได้ทำอะไรให้มันดีต่อตัวคุณเองแม้แต่น้อย" คิดไปซะว่าอยากจะอารมณ์ปกติเท่านั้นเองครับ

ฝึกความคิดต่อเมื่อมีแรงกระทำจากภายนอก เริ่มเห็นความเป็นจริงว่าโลกเรามีแรงกระทบทางจิตเข้ากระทำเราที่จิต สิ่งที่เราต้องทำ คือ สร้างเกราะความคิดป้องกันตัวเราซะ เพื่อไม่ให้จิตเราหวั่นไหว เรียกได้ว่าไม่มีอารมณ์ไปตามกระแสแรงกระแทกทางจิตนั้นครับ ทำไมล่ะ ถ้ามันจะมีแรงกระแทกมา เราคิดซะว่าเอาหาทวนความโกรธ ! (ไม่ได้เอาหูทวนลมนะครับ) เพราะคุณต้องฟัง รับรู้ แล้ว เลือกที่จะไม่โกรธ ปล่อยวาง ฟังเข้าใจ รับรู้ แล้วนิ่งเฉย ฝึกครับฝึกได้แน่นอน

หากคุณโกรธอันเนื่องมาจาก"คน" หรือ "พฤติกรรม" หรือ "ความคิดที่ขัดแย้งของคนอื่น" ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่า คนเรานั้นมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันมาไม่มีการซ้ำกันได้แม้กระทั่งเป็นแฝดที่เกิดมาและอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เรื่องพฤติกรรมหรือความคิดขัดแย้งจะเป็นเรื่องธรรมดาโดยแท้ครับ ไม่มีอะไรที่จะคิดเหมือนกันได้ตลอดเวลา คุณต้องเข้าใจ จนกระทั่งไปถึง แปลงความเข้าใจเป็นความสงสารเค้าเหล่านั้นแทน ครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่า มีคนขับรถปาดหน้าคุณ คุณต้องเข้าใจเค้าว่า เค้านั้นมีโอกาสเกิดอันตรายมากกว่าเราเป็นไหนๆ สงสารเค้าที่ว่าเค้าอาจจะประสบอุบัติให้ไม่ช้า แล้วคิดหวังว่า เค้าคงจะปลอดภัยในการเดินทาง คิดอย่างจริงใจครับ แทนที่คุณจะคิดโกรธเดือดดาน คุณกลับคิดไปทางทำให้คุณรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำกลับกลายเป็นคนหวังดีอย่างแท้จริงที่ออกมาจากใจแท้ๆของคุณให้จงได้ ความสงสาร ความเมตตา อารมณ์อยากช่วยเหลือ คิดหวังภาวนาให้คนอื่นปลอดภัย มีความสุข เป็นเรื่องที่จะทำให้คุณรู้สึกดีต่อตัวคุณเองอย่างบอกไม่ถูก มันตรงข้ามกับความโกรธแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยก็ว่าได้ !

เรื่องแบบนี้ไม่มีใครฝึกให้คุณได้ คุณต้องฝึกฝนด้วยตัวคุณเอง แค่บอกเพื่อเป็น guide นำทาง แนะแนวความคิดที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์แก่ตัวคุณนั้น คนอื่นสามารถบอกคุณได้ เพียงแต่ คุณตัวคนเดียวเท่านั้น ต้องยอมรับฟัง เกิดเวทนา สงสาร แปลงความโกรธ (มันไม่ได้โกรธด้วยซ้ำ) เป็นความคิดที่ดีต่อไป ฝึกและฝึก และ ฝึก เท่านั้นครับผม

หวังว่า แนวคิดของผมจะช่วยได้ ผมสงสารคุณจริงๆที่ยังตกอยู่ในวังวนแห่งความโกรธนี้ ผมขอร้องให้คุณฝึกคิดในทางที่ดี มันเป็นการกำจัด จุดเริ่มต้นแห่งความโกรธกันเลยครับ อย่าให้มันก่ออกมาแม้แต่น้อย จนตัวคุณเองไม่ต้องไประงับความโกรธเมื่อคุณโกรธครับ เพราะคุณจะไม่โกรธอีกต่อไปแล้วครับ

เพิ่มเติมเกร็ดชีวิตกิจกรรมเพื่อการไร้ความโกรธ (just enjoy life)


- ฟังเพลง soft music , classic หรือแนว jazz น่าจะทำให้คนมีความรู้สึกละเมียดในดนตรีขึ้นได้
- ออกกำลังกายให้หนักเข้า Fitness แบบที่มี Trainer บังคับคุณเอาแรงคั้นออกมาให้หมดเอาให้เหนื่อยครับ แล้วออกกำลังกายเป็นประจำ
- นอนให้เร็วไม่เกิน 10 pm ตอนกลางคืนอ่านหนังสือประเภทให้กำลังเชิงจิตวิทยา เช่น "เข็มทิศชีวิต" เป็นต้น
- คุยกับคนอื่นอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะคนรัก และครอบครัวของคุณเองครับ หรือลูกๆ ใช้ชีวิตให้มีความสุข แค่คิดก็มีความสุขแล้วเหรอป่าวล่ะครับ
- อย่าเครียดกับการงานมากนัก สนุกการกิจกรรมในชีวิตทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่อง entertain ใดๆ คิดซะว่ามันมีชีวิตเดียวจะเครียดมากไปใย ไม่จำเป็นหรอกครับทีจะต้องกดดันตัวเองมากนักมันไม่ productive สักเท่าไหร่
- ช่วยเหลือคนอื่นๆต่อไปครับ ผมเป็นคนงกน่ะครับไม่ใช้จ่ายเงินสิ่งที่ผมช่วยได้ก็คือ บอกกล่าวความคิด ความรู้ แจ้งเรื่องดีๆให้คนอื่นได้รู้กัน ปรับแนวคิดให้คนรู้สึกดีขึ้น มีคุณค่าในตัวเองอย่างแท้จริงครับ
- คุยกับคนแปลกหน้า พัฒนา อัธยาศัยตัวเองครับ
(แหม เหมือนกะว่ามีอะไรให้ทำเยอะดีนะครับเนี่ยะ )

No comments: