Saturday, April 18, 2009

เศรษฐกิจมันจะเพี้ยนไปกว่านี้หรือดีกว่านี้ด้วยเหตุผลอะไรดีน้า .. คิดเล่นๆกัน ..

เศรษฐกิจมันจะเป็นแบบนี้ไปอีกได้นานแค่ไหน?เป็นประเด็นที่เชื่อว่าคนทั้งโลกกำลังคิดตั้งคำถามอยู่ในใจหรือแม้กระทั่งตะโกนและประกาศออกมา(ไม่ใช่ผมคิดอยู่คนเดียวหรอกมั้ง) คนเราก็จะเลือกเชื่ออะไรสักอย่างหนึ่ง สำหรับตัวผมนั้นคิดไว้อยู่หลายแบบอยู่แต่ว่าแนวคิดนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากนักคือ

1. โลกเราก็จะเป็นแบบนี้เศรษฐจกิจแย่ๆ จะเป็นแบบนี้ค้างเอาไว้ไม่มีวันหยุดหรือยุติลงไปได้ เพราะ คนทั้งโลกรู้แล้วว่าสิ่งที่เราใช้เผาบริโภคมันเกินตัวกว่าที่มันควรจะเป็นอยู่มาก คนเราเริ่มเห็นว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ทำให้โลกโลกาภิวัฒน์นั้น มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย ทำออกมาแล้วก็แค่พุแตกหักดับสลายไปได้ เพราะคนเราใช้จ่ายเกินตัวกว่าความพอเพียงที่คนเราต้องการ คนเราไม่ได้ต้องการรถมากกว่าที่เราต้องการจะขับ เพราะ คนเรานั่งรถได้คันเดียว ณ เวลาหนึ่งๆเท่านั้น หรือ คนเราไม่ได้ต้องการบ้านหลังใหญ่ๆ เพราะ เราก็ยืนหรือนั่งหรือนอน ได้ณ ที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น ณ เวลาใดๆ เราไม่สามารถที่จะมีสองร่างแยกออกไปเพื่อจับจองพื้นที่ได้มากกว่านี้อีกแล้ว มันเยอะเกินไปกับการที่เรามีพื้นที่ที่คิดว่าเราเป็นเจ้าของ คนเราไม่ได้ต้องการเสื้อผ้ามากไปกว่า 1 ชุดต่อเวลา ณ ขณะใดๆเพื่อให้ร่างกายเราอบอุ่นสบาย คนเราไม่ได้ต้องการของเล่นประเภท gadget เพื่อให้เราโชว์คนอื่นได้ว่าเรามีอะไร หรือว่าเราใช้อะไรแต่จริงๆแล้วเราต้องการความสะดวกอยู่เบื้องหลังนั้นต่างหาก เราไม่ได้ต้องการอาหารปริมาณที่มากกว่า ที่เราจะเผาออกไป คนเราไม่ต้องกินข้าวชามโตๆ หรือแม้กระทั่งกินให้อิ่มด้วยซ้ำ เราต้องการแค่การกินพออิ่มเท่านั้น แค่ระงับความหิวของเราได้บ้างเพื่อให้จิตใจเราไปคิดเรื่องอันเป็นสาระสำหรับเราต่อไปได้(แต่ก็เพื่อที่จะหาอาหารเท่านั้น) คนเราไม่ได้ต่างไปจากสัตว์เท่าไหร่นัก การทำงานก็เพื่อหาอาหาร ก็เหมือนกับเสือที่ออกล่าเหยื่อมันก็เพื่อหาอาหารทำให้ท้องตัวเองอิ่มหรือไม่อิ่มแค่ผ่านไปได้ไม่เครียดอันเนื่องมาจากร่างกายบังคับหรือปล่อยเคมีทำให้จิตเราคิดว่าเราหิวๆก็เท่านั้น คนเราคิดออกว่า เรากำลังทำลายสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เราดำรงอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขุดเอาน้ำมันออกมาเผา การขุดเอาพลังงานใดๆเพื่อแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า การหายใจออกเพื่อปล่อยอากาศเสียออกจากจมูกเราตอนหายใจออก การกินอาหารเข้าท้อง แค่ทำให้ระบบนิเวศน์หมุนต่อไปได้เท่านั้น สิ่งเหล่านี้เราไม่ได้เป็นผู้ควบคุม เราต้องการสิ่งใดๆน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ .. อ้าว  .. แล้วอย่างงี้จะเกิดมาทำอะไรกันล่ะเนี่ยะ คิดกันอย่างงี้เลยเหรอ การไม่มีตัวตนก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับแนวคิดแบบนี้น่ะครับ เอ .. ย้อนมาดูเบาๆดีกว่าหากว่า สิ่งต่างๆที่ดำเนินมาเป็นสิ่งที่เกินตัว ! แล้วล่ะก็ .. เศรษฐกิจจะต้องแย่กว่านี้เพราะ ณ ตอนนี้ก็ยังเกินตัวไปอยู่ดีครับ แต่สำหรับกรณีนี้คิดว่าโอกาสเป็นไปได้จะยากหน่อย .. เพราะคนเราเห็นแก่ตัวและรักความสบายกว่านั้นมากครับ

2. เศรษฐกิจจะแย่แบบนี้น่ะหละ แล้วก็มันก็ดีขึ้น แต่มันก็จะกลับมาแย่ใหม่ กรณีแบบนี้เป็นไปได้อยู่เพราะคนเราจะคิดว่า อืม.. เพราะว่าตอนนี้มันไม่ดี มันไม่มี อะไรไม่จ่ายได้เราก็ไม่จ่ายไม่ทำอะไร อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ คนเราจะรับรู้ได้มากขึ้นว่าอะไรเรียกว่าจำเป็นและไม่จำเป็นโดยนิยามมันจะทำให้เกิดการผลิตและซื้อสินค้าที่น้อยลงเช่น แต่ก่อนคิดว่า การซื้อรถแบบนี้แล้วก็แบบนั้นก็จำเป็นเพราะว่ามันคนละแบบกัน เหมาะสำหรับการเดินทางที่คนละแบบกัน อาจจะกลับคิดเป็นว่า เราก็มีรถแค่แบบเดียวมันก็ใช้ได้เหมือนกัน (ทำให้การซื้อรถต่อคนลดตำลงอย่างน้อยก็เท่าตัวนึง) รองเท้าที่ซ่อมได้ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่ แทนที่การคิดแบบเดิมว่า มันเสียแล้วจำเป็นต้องซื้อใหม่ คนเราก็เล่นกับความจำเป็นนี่น่ะหละ แต่ว่า ณ เวลาใดๆ ความจำเป็นนั้นกลับยืดหยุ่นได้ไม่ได้จำกัดหรือมีอะไรที่แนนอนว่าอะไรเรียกว่าจำเป็นโดยแท้ แต่ว่าพอทุกคนบนโลกต่างออกมาแก้ไขซึ่งอาจจะแก้ได้ก็ได้ หรือแก้ไม่ได้ก็ได้ แต่ว่าแนวโน้มคือ การหลอกตัวเองว่าแก้ไขได้ก็จะทำให้คความจำเป็นหรือนิยามแห่งวามจำเป็นมันก็จะมีการปรับตัวออกไปเป็นแบบเติมทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโต เหมือนเดิม มันก็ loop ความคิดเดิมและสิ่งที่จะเป็นก็คือเหมือนเดิมเป็นวัฏจักรไม่รู้จบสิ้น แล้วแต่ว่าจะเจอหนักเจอน้อยก็เท่านั้น แต่ว่าต้องเจอแน่ๆกับการล้มลงของเศรษฐกิจโลก

3. เศรษฐกิจจะแย่แบบนี้น่ะหละ แล้วมันก็ดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นก็แล้วแต่ .. แต่มันจะล้มด้วยภัยพิบัติจากธรรมชาติ ซึ่งอย่าว่าแต่เศรษฐกิจเลย ชีวิตก็เอาตัวไม่รอด เนื่องจากการคิดว่า คนเราไม่ต้อง care กับการใช้ทรัพยากรโลกที่มีอยู่กำจัด แน่นอนว่ามวลจะโดนแปลงเป็นพลังงาน แต่ว่า ด้วยความสามารถตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเราทำพลังานให้เป็นมวลได้แล้วหรือยัง แล้วมวลนั้นๆมันมีประโยชน์เหรอป่าวก็ไม่รู้ ทำให้แนวโน้มการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจะดำเนินไปอย่างไร้ขอบเขตและแน่นอนว่า มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับโลกเรา และมันก็จะส่งผลต่อคนที่อาศัยอยู่ดาวดวงนี้ที่เรียกว่า โลก สิ่งต่างๆเหลานี้จะดำเนินไปเพราะ คนเราเห็นแก่ตัวเกินกว่าที่จะคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นๆ ยิ่งถ้าคิดว่ามันจะเกิดกับคนอื่นๆเมื่อเราตายไปแล้วด้วยนี่ยิ่งลำบากเลย (สำหรับกรณีประกันชีวิต มันเป็นแนวคิดตรงข้ามกันเพราะว่าคนที่ตายไปมีห่วงต้องการทำเรื่องราวต่างๆให้ดีแม้ว่าตัวเค้าจะได้ตายไปแล้วก็ตาม .. แต่ว่าสำหรับโลกเราคงไม่มีคนทำประกันชีวิตให้หรอกมั้ง) คนเราตายแล้วก็จบกันไปไม่เห็นต้องคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนรุ่นถัดๆไปมากนัก เพราะ เราไม่เกี่ยวแล้ว เราไม่ได้อยู่ความเดือดร้อนนั้นแล้ว คิดอย่างงี้แน่นอนว่าธรรมชาติจะหันมาเล่นงานมนุษย์อย่างแน่นอน เช่นตอนนี้ทุกคคนพูดถึงโลกร้อนๆ แต่ว่าเราก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าทำตามที่คนอื่นแนะนำว่ามันจะข่วยได้ คำถามคือมันจะข่วยได้จริงๆน่ะเหรอ ? เพราะนอื่นไม่ทำนี่หน่า ตอนให้ทำทั้งโลก แล้วมันจะไม่เป็นอะไรอย่างงั้นเหรอ ? ความคิดแบบนี้มันผุดในใจโดยที่ไม่มีใครออกมาตอบได้ว่ามันไม่รู้ ..

4. เศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่าถาวร ภายใต้เงื่อนไข คือ คุณเป็นผู้สังเกตการณ์ มันก็เป็นได้หรอกว่า การแก้ไขด้วยิวธีการใดๆก็จะทำให้เศรษฐกิจมันดีขึ้นได้ แต่ขั่วอายุที่ผู้สังเกตการณ์มีชีวิตเพื่อสังเกตมันอยู่ (จริงๆมันไม่ได้ตลอดกาลนานเทอญหรอกครับแต่ว่าสำหรับผู้สังเกตแล้วมันรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นตลอดไป) ผมว่า กรณีนี้เป็นกรณีที่คนบนโลกนี้อยากจะเห็นเพราะว่าเราจะกลับไปซื้อของใช้เงินหรือหาความสะดวกจากทรัพยากรได้อย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก และไม่ต้องคำนึงว่าใครจะเป็นยังไงจากรุ่นเราด้วยซ้ำไป

สำหรับผมแล้วแนวคิดที่หนึ่งน่าจะเป็นแนวคิดที่ผมให้น้ำหนักความเป้นไปได้มากที่สุด เพราะ ผมรู้สึกว่า คนเราใช้อะไรเกินตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานหรือการใช้จ่ายหรือแม้กระทั่งการหาเงินก็ตาม เพราะ การตุนทรัพย์สินเอาไว้มันก้ไม่ได้ก่อปรธโยชน์ให้กับเราในชาตินี้ได้

เฮ้อ .. คิดอะไรเพี้ยนๆ งงๆ สับสนๆในสมองแล้วก็พิมพ์ออกมาเผื่อว่าคนอื่นจะหลงมาอ่านหรือว่าอีกห้าปีแล้วผมจะกลับมาอ่านมาผมคิดอะไรตอนนั้นน่ะครับ . .หรือว่ากรณีใดกรณีหนึ่งมันภูกก็ตะได้ดูเท่ห์เท่านั้นเองว่าผมมีคิดเรื่องนี้เอาไว้แล้วตั้งแต่วันนี้น่ะครับ . ผมว่าคนคิดแบบนี้ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวหรอกครับ สักคนบนโลกนั้นก็น่าจะคิดเหมือนผมก็น่าจะมีอยู่หรอกครับ …

No comments: