Thursday, January 22, 2009

Brand แนวคิดที่ทำให้คนแยกความแตกต่างของคนที่มองโลกแตกต่างกันได้

คนที่มองโลกที่แตกต่างกันตามแนวคิดที่ผมว่า "มันน่าจะเป็น" จะโดนแบ่งออกเป็นสองพวก (หรือมากกว่าสำหรับพวกที่ยังคิดไม่ออก) หลักๆ ก็คือ พวกที่เห็นตัวเองผ่านคนอื่น กับพวกที่เห็นตัวเองผ่านตัวเอง แต่ละพวกเป็นยังไง ขอเล่าความคิดนิดนึง คือ พวกที่เห็นตัวเองผ่านคนอื่นก็คือพวกที่คิดว่าสิ่งใดๆที่ตัวเราเป็น อยู่ คือ ( Is am are was were ) อะไรก็แล้วแต่ .. พวกนี้จะเห็นตัวเองผ่านสิ่งที่คนอื่นเห็น ภาพลักษณ์โดนสะท้อนมาจากความคิดคนอื่นครับ ซึ่งพวกนี้เป็นกลุ่มเป้าหมายของการใช้ ตราสัญลักษณ์เข้าไปทำหน้าที่ใ้ห้คนอื่นที่เห็นตัวเค้าแตกต่างกันได้ อ่านแล้วงง ยกตัวอย่างดีกว่า คือ นาย ก. ซื้อกางเกงลีวายหรือแบรนด์อะไรก็แล้วแต่ที่เค้าคิดว่าคนอื่นเห็นว่ามันเท่ห์ หรือดูดีในสายตาคนอื่น โดยทีตัวเองไ่ม่ได้เป็นคนคิดตั้งแต่ต้นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับเขาแล้ว แต่ผมอาจจะโดนแย้งว่าแอ้ะ .. เค้าก็ต้องคิดว่า่เค้าใส่แล้วเท่ห์ซิเค้าถึงได้ซื้อมาใส่ ก็จะคิดแบบนั้นก็ได้น่ะครับ แต่ว่า สิ่งที่ทำให้เค้าคิดแบบนั้นก็คือ ความคิดของคนอื่นต่อสินค้าหรือตราสินค้านั้นต่างหากไ่ม่ได้เป็นที่ตัวเค้าิคิดออกมาตรงๆโดยไม่มีเหตุใดๆทืี่มาจากคนอื่นเลยครับ แล้วอีกพวกก็คือพวกที่เห็นตัวเองผ่านตัวเอง พวกนี้จะซื้อสินค้าที่ไม่มีแบรนด์เพราะไม่มีอะไรมาบอกเค้าหรอกว่ามันดีไม่ดีอะไรมันเหมาะกับเ้ค้าหรือไม่ ถึงแม้วา่ผลการกระทำจะออกมาเหมือนกันแต่ว่า พวกที่สองนี่จะเป็นพวกที่ใส่กางเกงในด้วยแบบหรือสีที่เ้ค้าชอบได้่ครับโดยไม่มีความคิดของคนอื่นมาเป็นประเด็นให้คิดว่าเค้าจะเลือกซื้อหรือใ้ช้สินค้าแบบใด ..

แท้ที่จริงแล้วตราสัญลักษณ์สินค้าใดๆ ก็มีเอาไว้เพื่็ขายความรู้สึกเท่านั้น แล้วมันก็เอาไว้ให้คนจดจำได้เพื่อทำการซื้อซ้ำเพื่อให้เงินเข้ากระเป๋าเดิมให้ถูกคนน่ะครับ มีคนเคยเล่าให้ผมฟังว่า ถ้าหากว่าเอารถบีเอ็ม(รุ่นใหม่มากที่ไม่มีการผลิตมาก่อนไม่ีมีการทำให้ใครๆรับรู้มาก่อนว่านี่มันของ BM ) แกะตรามันออกแล้วปะยี่ห้ออะไรอื่นก็ได้่เช่นพิมพ์ว่า TLC ก็แ้ล้วกัน .. ราคาของรถจะตกลงไปมากกว่าครึ่งเพราะ มวลค่าที่มากับตรานั้นได้โดนเอาออกไปตรงๆ (ก็เพราะว่าเค้าแกะออกไปจริงๆนี่หน่า ) ทั้งๆที่มันก็ของเดิมเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าคุณภาพ หรือความรู้สึกต่อรถคันเดิมนั้นมันได้เปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกนั้นอาจจะประกอบไปด้วย ความรู้สึกว่าเป็นรถมีราคาเพื่อสะท้อนฐานะทางสังคม (มุมมองผ่านคนอื่น) หรือ เรื่องของคุณภาพที่มองไม่เห็น รู้สึกว่าไม่ไว้ใจ TLC นั่นเอง หรือ อาจจะเป็นเพราะว่า ขับไปคนอื่นก็ไม่รู้จัก ก็คิดได้เหมือนกันน่ะครับ ไม่ผิดอะไรหรอกครับ .. .

ประเด็นที่ว่าราคาจะสะท้อนความรู้สึกน่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะ หากว่าเรากินอะไรที่มีราคาแพงกว่า เราก็คาดหวังว่าสินค้านั้นๆใ้ห้คุณค่าต่อจิตใจเราที่ดีขึ้นด้วย เพราะอย่างว่าล่ะครับ ขายความรู้สึกครับผม ยกตัวอย่างอะไรดีล่ะ .. เอาน้ำชาเชียวแล้วกัน เค้าจะโม้ออกมาว่า อืม .. กินแล้วดี ต่อสุขภาพ แต่ว่าคนกินไม่ได้ดูหรอกเหรอว่า กินแล้วมีนำ้ตาลซะมากทำให้เด็กๆติดได้ครับเพราะชากาแฟให้เด็กกินเด็กก็ติดทั้งนั้น ยิ่งหวานๆนี่ก็ติดได้ไม่ยากเลยน่ะครับ กินแล้วหากว่าเป็นผู้ใหญ่ก็จะทำให้ "รู้สึก" สดชื่่นดับกระหาย( ที่ดับกระหายเพราะว่ามันเย็นแล้วก็หวานเท่านั้นเอง ซึ่งถ้ากรณีเย้นจริงๆ กินแค่น้ำเย็นก็ัดับได้เหมือนกันน่ะครับ) แล้วุถ้าหากว่านไม่ได้คิดเรื่องน้ำคาลก็จะ"รู้สีก" อีกและว่า มันกินได้เพราะมันทำให้รู้สึกว่า สุขภาพดี (ก็แค่รู้สึกมันก็ทำให้เรารู้สึกดีกับคัวเราเองได้น่ะครับ) หรือ กรณีของการทดสอบเรื่องไวน์ว่า เมื่อกินเข้าไปแล้วที่ราคาไม่เท่ากัน ทำให้รู้สึกต่อรสชาติ หรือรู้สึกดีเมื่อกินเช้าไปได้มากน้อยเท่ากันหรือไม่ วิธีการทดสอบก็ทำได้โดยเอาไวน์ขวดเดียวกัน เหมือนกัน มา โดยเอาขวดหนึ่งมาถ่ายน้ำมันออกไปใส่ขวดที่ดูดีหรูหรากว่าแล้วก็ปะราคาไว้ว่ามันแพงเรื่อนแสนแล้วก็ให้คนมากินดูว่ารสมันเหมือนกันหรือไม่ ผลก็ไม่น่าจะเป็นอย่างอื่นไปได้หรอกครับก็คือ คนก็จะคิดว่าชวดแพงก็จะกืนแล้วอร่อยกว่า แล้วสมองเีราก็คิดแบบนั้นจริงๆซะด้วยซิครับ ทั้งๆที่น้ำมันเป็นน้ำเดียวกันแท้

เอาเป็นว่าเรื่องนี้หากว่า เราคิดออกว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามเราซื้อเพราะว่าความรู้สึก เราก็จะระวังได้มากขึ้น โดยไม่ซื้อของเพราะว่าความรู้สีก หรือ ให้รู้สึกให้น้อยลง คิดให้มากขึ้นครับ ก็จะทำให้เราไม่ต้องเสียเงินไปโดยใช่เหตุ หรืออีกทางก็คือ ไม่ว่าคุณจะใช้อะไรก็ตามจงรู้สึกดีกับมัน (อย่างเช่นซื้อมือถือที่่คุณใช้แล้วตอนแรกก็รู้สึกดีกับมันก็อย่าไปดูตัวอื่นหรือว่าไปถามรุ่นอื่นๆที่มีโอกาสว่าน่าจะดีกว่าเพราะจะทำให้เราเริ่มออกอาการว่ารู้สึกไม่ดีกับมือถือที่เราีีมีอยู่น่ะครับ) แล้วการรู้สึกดีกับมันนี้เราก็ต้องควบคุมให้มันแสดงออกให้ได้จริงๆครับผม หรือ อีกวิธีก็คือ ใช้แนวทางละมันให้หมดคือ พอใจสุดๆกับสิ่งที่เป็นอยู่มีอยู่คืออยู่ โดยรู้ตัวว่าอะไรก็ตาม เราก็ทำให้ตัวเรารู้สึกพอใจกับมันได้ แค่นี้ก็ไม่ต้องไปไขว่ตกเป็นเหยื่อการคลาดและการแปะตราสินค้าแล้วน่ะครับ

สำหรับพวกที่ทำหน้าที่ตรงข้ามคือ พวกที่ต้องคอยบอกผู้คนว่า สิ่งที่คุณมีอยู่เป็นอยู่คืออยู่มันเป็นสภาพที่ทำให้คุณต้องรู้สึกไ่ม่ดี แย่แล้วก็ต้อง.ซื้อสินค้าหรือบริการใดผมก็ไม่ได้ว่าเป็นพวกที่เลวร้ายอะไรหรอกนะครับ มันเป็นหน้าที่เค้าเหล่านั้นเพื่อให้โลกนี้มีคนที่คิดแตกต่างกัน รู้แตกต่างกัน แล้วก็เหมือนว่า ทำให้โลกนี้มีอะไรทำ ไม่อย่างงั้นทุกคนก็จะอยู่ว่างๆ ไม่ทำลา่ยสิ่งแวดล้อมแล้วก็ย่อยสลายตัวเองไป กินอยู่เรียบง่าย ซึ่งไม่ว่ามันจะเป็นกรณีไหนก็แล้วแต่ ผมก็รู้ว่าโลกเราต้องนี้เป็นอะไรอยู่แล้วก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก เพราะมันก็ทำให้ผู้รู้สึกดีอยู่แล้วนี่หน่า เนาะ ..ว่ามะ เฮอะๆๆ

(ข้อความนี้ถูกเชียนตอนนั่งรถกลับบ้านจากโรงงานทำให้พิมพ์แล้วไม่อยากอ่านมาก คิดอะไรไม่เป็นลำดับสักเท่าไหร่ก็.. ไ่ม่มีคนมาว่าอะไรผมหรอกเนาะ พิมพ์ในรถมันก็เพลินดีน่ะครับ ..ก็แค่อยากจะเล่าเท่านั้นเอง ชะเอิงเงิงเงย)

No comments: