Wednesday, January 28, 2009

เดินงานเยาวราชประจำปี 2009 เคยไปแล้วครั้งนี้เป็นครั้งที่สองน่ะครับ

งานเยาวราชปีนี้ ที่บ้านก็นึกคึกที่จะไปแจมกะเค้าอีกเหมือนเดิม แต่ว่าผมเคยไปกะที่บ้านจำได้ก็แค่ครั้งเดียว (ไม่รวมครั้งนี้น่ะครับ) งานจัดออกมาเน้นที่ของกินและการขายของแบบจีนๆ ของกิ้กๆก้อกๆ แบบจีนๆน่ะครับ แต่ว่าสำหรับของกินนี่ก็มีทั้งที่มีชื่อและไม่มีชื่อปะปนกันไปครับ เพราะ พวกที่เค้าคิดว่านี่เป็นโอกาสก็จะเอาอะไรก็ได้มาขาย เรียกว่าไม่เคยทำก็ทำกันให้เป็นก่อนหน้าแล้วก็เอามาขายกันที่งานนี้ แล้วก็อีกพวกก็คือพวกที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วก็รวมหัวกันมาขายของกินกันที่นี่ด้วยเช่นเดียวกันน่ะครับ แต่ว่าเราแยกแยะได้ไม่ยากว่า อันไหนเรียกว่า ตัวจริง แล้วก็อันไหนเป็นตัวปลอม พวกตัวจริงจะมีหน้าร้านป้ายร้านประเภทว่า ดูแล้ว เหมือนกับว่ามีอะไรมารับรอง แล้วก็หันถามกันไปๆมาๆว่าพอจะรู้จักเหรอป่าว เหตุผลในการแยกแยะก็เท่านี้เองน่ะครับไม่มีอะไรซับซ้อน สิ่งที่ผมเห็นแล้วแปลกใจอยู่มากอย่างหนึ่งก็คือ ทำไมคนมันถึงได้เยอะแยะมากมายถึงเพียงนี้ คนที่มาที่นี่ยอมแม้กระทั่งการจอดรถแบบให้โดนใบสั่งแบบจงใจ ผมเห็นโดนกันเยอะมากๆ แต่ว่าผมก็เข้าใจเอาเองว่าเค้าคงคิดแค่ว่า .. อืม จอดๆไป วันนี้มีการจัดงานก็น่าจะอนุโลม .. คิดแบบนี้ผิดถนัดน่ะครับผม เพราะว่านี่หละ แหล่งรายได้ที่สำคัญเลยล่ะ เพราะปกติแล้ว ถ้าหากว่าเป็นถนนหลัก ที่ขับคั่งแบบนี้ไม่มีคนทำตัวแปลกๆเอารถมาจอดเท่าไหร่นัก แต่ว่า วันแบบนี้ที่มี event คนก็เริ่มคิดว่าเค้าจะอนุโลมกัน แต่เปล่าหรอกนะครับ

กลับมาเรื่องกิน ผมไปถึงก็กลางวันอยู่แต่ว่าก็ไม่ได้กินอะไรเป็นจริงเป็นจังเริ่มจากการถ่ายภาพทั่วไปซะก่อน แล้วก็เดินหาร้านบะหมี่กินกัน สิ่งที่ได้กินไปก็คือ บะหมี่ปูร้านชื่อโอเด็น มีลูกสาวทำงานอยู่ที่ ESRI (เพราะสังเกตเห็นว่าเค้าใส่เสื้อของ ESRI ซึ่งคนปกติจะไม่ได้มีใส่กันหรอกนะครับ) แต่เนื้อหานี้จะไม่ได้ review ว่ากินแล้วดีไม่ดีอะไรเพียงแต่ว่าอยากเล่าให้ฟังว่า พอร้านพวกนี้มีคนที่เข้าไปมากผิดปกติ จะทำให้คุณภาพอาหารต่ำลงแบบไม่ได้ตั้งใจครับ เพราะอะไรน่ะเหรอ ? เหตุผลก็ตรงตัวน่ะครับ ก็คือ คนมันเยอะมากเกินกว่าที่จะบริการได้ครับ น้ำก็ไม่ร้อนสำหรับบะหมี่ เกี้ยวก็หมด แต่ว่าเราก็ต้องจ่ายเงินเท่าเดิม 50 บาทต่อชาม ไม่ได้มีการลดราคาแต่อย่างใด แล้วผมก็ไม่คิดว่าร้านเค้าจะเพิ่มปูเข้าไปด้วยหรอกครับ มันหล๋อมแหล๋มเหมือนเดิมน่ะหละครับ (แต่ว่าเดาเอาเพราะว่าไม่เคยกินสภาพปกติว่าเป็นอย่างไร แต่ว่าถ้ามันน้อยกว่านี้ก็จะแย่มากน่ะครับ) คนที่เข้ามากินแน่นอนว่าจะเป็นสภาพของขาจรเสียมากเพราะว่าถ้าเป็นขาประจำเค้าก็น่าจะฉลาดพอจะมีหลีกเลี่ยงมันที่มีกิจกรรมขนาดยักษ์แบบนี้เพื่อมากินของที่ได้คุณภาพเป็นปกติครับ
ภายในงานจะเป็นร้านรวงตลอดแนวเต็มพื้นที่ถนน โดยเหลือพื้นที่ให้คนเดินได้ไม่มากนัก เพราะคนเยอะเกินกว่าที่จะเดินกันได้ หรือถ้าหากว่าแถวไหนมีการแสดงอะไรปั้บ จะทำให้การจราจร(คน)ติดขัดอย่างแรงเหมือนเดินไม่ได้เอาซะเลยน่ะครับ ทำให้เมื่อเห็นว่าตรงไหนมีการแสดงต้องเดินเลี่ยงไปเสียหรือไม่ก็ต้องหยุดดูการแสดงจะดีเสียกว่าพยายามที่จะออกแรงเดินหน้าต่อไปครับ
สินค้าที่ผมได้แล้วได้เอามาใช้แน่ๆก็คือ ไฟฉายแบบไม่ได้ใช้ไฟฟ้าอันละ 45 บาท (ซื้อมา 3 อัน) เป็นแบบที่ต้องออกแรงบีบเพื่อ chare พลังไฟฟ้าให้กับตัวเครื่อง แล้วก็เปิดไฟได้ ไฟจะเป็นแบบ xenon หรือแสดงแบบที่ไม่ก่อให้เกิดความร้อนเพราะมันจะได้ไม่กินพลังงานมาก ไฟฉายที่ซื้อมานี้ก็จะเอาไปเก็บไว้ในรถ แล้วก็คิดว่าก็น่าจะมีอันหนึ่งเอาไว้ที่ห้องนอนด้วยเพราะ เวลาไฟฟ้าดับก็น่าจะได้ใช้งานจริง (ไม่เหมือนกับอันที่ใส่ถ่านเพราะว่ามันหมดซะงั้นทุกทีเนียะ) แล้วอีกอย่างที่ได้มาก็คือ เป็นแผ่นพรมเช็ดเท้า รูปลิงน้อยน่ารักน่าชังแต่ว่าต้องโดนผมเหยียบย้ำหลังจากที่ผมเดินเข้าและออกจากห้องน้ำน่ะครับ ผมว่ามันน่ารักดีน่ะครับก็เลยให้แม่ซื้อมา ตอนที่ซื้อก็ต่อกะคนขายได้นิดหน่อย ประมาณว่าได้มา แผ่นละ 80 บาทแต่ต้องซื้อ 3 แผ่น ก็เรียกคนแถวนั้นเค้ามาแชร์กันก็จะได้ราคานี้น่ะครับผม มันก็ดูไม่แพงมากสำหรับความน่ารักของพรมมันแต่ว่ามันก็ออกอาการแพงสักหน่อยสำหรับการเอามาเช็ดเท้าครับ เพราะจริงแล้วผมใช้ผ้าขี้ริ้วเอามาวางไว้ก็ได้ (ซึ่งตอนนี้ก็วางอยู่แต่ว่าอยู่ใต้ลิงน้อยอีกทีนึง)
การแสดงที่ผมได้ดูก็คือการเชิดมังกรแล้วก็มีตัวอะไรมาเล่นลูกไฟ (ดูได้จาก clip ตอนท้ายๆน่ะครับ) แต่ว่าผมดูไม่ออกหรอกว่าเสานั้นมันยึดได้ด้วยอะไรแต่ที่แน่ๆแรงคนไม่น่าจะยึดได้น่ะครับผม ผมพูดแบบนี้ไม่เข้าใจหรอกต้องเปิดดู clip น่ะนะ ..

สรุปแล้วการไปเที่ยวเดินทางดูของร่วม event ที่เยาวราชงวดนี้ก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่ดีทีเดียวสำหรับคนที่อยู่ กทม ก็น่าจะได้มาสักครั้งหนึ่งน่ะครับ อย่าเพิ่งกลัวว่าคนเยอะเลย เพราะว่า ไปไหนคนมันก็เยอะอย่างงี้อยู่แล้วน่ะครับ ถ้าหากว่ากลัวคนเยอะแล้วก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนกันมาพอ มันจะสุขจะทุกข์อะไรก็อยู่ที่คิด ณ เวลานั้นเท่านั้นเองน่ะครับ (เหมือน ads ของ คาราบาวแดงเนาะ )

No comments: