Saturday, January 03, 2009

อาการการติด wine และอาหารหวาน หรือโครงสร้างความคิดการติดอะไรสักอย่าง : แนวคิดของ product เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิดในการบริโภค


แนนนี่ดูเหมือนว่าจะชอบกิน wine หรือว่าทำท่าทำทางเหมือนกับ wine testing แต่ว่าเค้าไม่รู้ตัวหรอกว่าเค้าเริ่มมีอาการติดแล้ว เพราะทุกครั้งที่เค้าไปไหนมาไหนกับ papa แล้วพก wine ไปด้วย เค้าจะเลือกตัดสินใจที่จะขอชิม wine ทุกครั้ง (หลังๆไม่เห็นมีครั้งไหนว่าจะไม่กินน่ะนะ)

อาการแบบนี้สมัย papa เค้าก็รู้ตัวว่า มันเป็นอาการเริ่มต้นของคนที่ติด wine เพราะเค้าเป็นคนบอกผมเองว่า .. การเริ่มต้นมีเงื่อนไขต่อไปนี้  (ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่ได้มาเป็นข้อๆแบบนี้ก็ตาม แต่ว่าอันนี้เอามาแกะดูว่าอาการเริ่มต้นนั้นเป็นอย่างไร)

1 . จะเริ่มกินทีละน้อย
2 . กินแล้วจะเพิ่มความถี่หรือปริมาณทีละน้อย
3 . คนที่เริ่มติดจะบอกว่าตัวเองไม่ติดหรือแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองติดแต่อย่างใด
4 . จะเริ่มหาโอกาสเพิ่มปริมาณในการกินทีละน้อย (เพราะว่าดูเหมือนตัวเองไม่ติดนี่หน่า )

อาการติดแบบนี้น่าจะเหมือนกับอาการติดหวานหรือขนมหวานในเด็ก (หรือโตแล้วก็ติดเหมือนกัน) คือ เมื่อหลังอาหารก็อยากจะกินอะไรหวานๆ หรือเรียกได้ว่าหาของหวานกินหลังอาหาร  ทั้งนี้มันดูเหมือนกับว่า การกินของหวานหลังอาหารเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งนี้ การกินอะไรหวานๆ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันไม่ได้เป็นเรื่องดีต่อสุขภาพแต่อย่างใด รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดีหรือว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ แล้วเอามันใส่มาก มันก็เหลืออยู่แค่เหตุผลเดียวที่สมองสั่งการให้กินก็คือ อยากจะกิน ! หรือเรียกอาการนี้ว่า "ติด" นั่นเอง

ผมมามองดูตัวเองว่าผมติดของหวานเหรอป่าว ? ปรากฏว่า ผมติดของหวานครับ เพราะ ผมมีอาการอย่างที่ผมว่าไปแล้วก็คือ เมื่อถึงหลังอาหารค่ำเมื่อไหร่แล้วอยากจะกินโอวันติน แบบสำเร็จ ผมรู้ว่าในนั้นมันมีน้ำตาลผสม แต่ว่าผมไม่ได้เป็นคนใส่ในรูปน้ำตาลลงในแก้ว มันเป็นแค่ทำให้ผลไม่เห็นเท่านั้นตอนที่ใส่ เจ้าโอวันตินสำเร็จที่ผสมเสร็จมาแล้ว มันเป็นการลดขั้นตอนการรู้สึกผิดได้เป็นอย่างดี นอกจากจะสบายในการเอาของหวานหรือน้ำหวาน(น้ำตาล)เข้าปากแล้วก็ตาม มันยังเป็นการลดความรู้สึผิด (guity) จากการกินอะไรหวานๆได้อีกทางหนึ่งด้วย ก็เพราะมันลดขั้นตอนการกระทำ หรือ ทำให้คนทีคิดจะหลีกเลี่ยงของหวาน ไม่รู้สึกว่าตนเองกระทำผิดต่อร่างกายตนเองด้วยการเอาของหวานหรือน้ำตาลใส่แก้วให้เห็นคาตานั้นเอง

แนวคิดนี้มาจากการที่ว่า คนเราคงไม่กล้าที่จะกินน้ำตาลเพียวๆเป็นสองหรือสามช้อนชาลงคอไปได้ แต่ถ้าหากว่าเอามาละลายหรือปะปนแล้วไม่เหลือรูปแบบของน้ำตาลเอาไว้ คนเรานั้นก็จะเทกลืนกระเดือกลงคอไปได้โดยไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นปริมาณน้ำตาลที่ใส่เข้าสู่ร่างกาย เหมือนกับ การเทหรือกลืนน้ำตาลเข้าคอนั้นเอง ปริมาณไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย

เฮ้อ.. คิดได้แบบนี้แล้วผมว่านะ .. หลีกเลี่ยงอะไรหวานๆ ให้มากที่สุดจะดีกว่า คงต้องคิดแบบสุดโต่งลักษณะหักดิบของคนติดยามาใช้ เพื่อเป็นการลดปริมาณน้ำตาลในชีวิตลงได้บ้างก็น่าจะดี แต่คงต้องหาความหวานในชีวิตรูปแบบอื่นเข้ามาแทนที่จะดีกว่าน่ะครับ เฮอะๆ .. ฝันละเมอไปนั่นแล้ว เอ้อ ..
Blogged with the Flock Browser

No comments: