Tuesday, January 13, 2009

ไปงาน concert Boyd Love Hope and Hapiness

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้ไปดู concert Boyd ที่ผมได้รับบัตรฟรีๆจาก AIA เหมือนกับว่าเป็นโครงการขอบคุณลูกค้าที่ผมว่าน่าจะประทับใจระดับต้นๆเลยก็ว่าได้ แล้วมันก็ดีกว่าการที่เราได้ไปดูหนังฟรีกว่าเป็นไหนๆ เพราะส่วนมากแล้วลูกค้าประกัน หรือไม่ก็ลูกค้ากองทุนรวมมักจะได้หนังฟรีมาดูกัน (แหม มันก็ราคาไม่เท่ากันแล้วเนาะเพราะว่าถ้าดูหนังก็แค่ 80 บาทอ่ะ .. แต่ว่าถ้าหากว่า ดู concert นี่แบบนี้ก็ พันบาทได้ ) ไม่น่าเชื่อว่าเค้าจะทุ่มทุนได้มากขนาดนี้เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้ายังไงก็จัดอีกแล้วกันนะครับอะไรที่เป็นของฟรีนี่เราก็ต้องชอบเป็นเรื่องธรรมดาน่ะครับ โดยเฉพาะการที่ได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆที่ไม่เคยทำนี่มันก็เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับของฟรีนั้นอยู่แล้วน่ะครับ คิดไปคิดมา ผมก็นั่งแปลกใจว่า ถ้าหากว่า อะไรก็ตามที่เป็นของฟรี มันจะพลังดึงดูดเพื่อที่ทำให้เราต้องออกแรงเพื่อไปหรือทำอะไรเพื่อให้ได้ของฟรีนั้นมา ยกตัวอย่างเช่นเราอาจจะต้องยืนรอคิวนานๆเพื่อให้ได้ไอติมฟรีมากิน หรือว่า ต้องเดินไปแลกที่ร้านค้าที่ระบุเท่านั้น

สำหรับกรณีของบัตรที่ได้จาก AIA ที่ว่าฟรีๆนี้มันก็ไม่ได้ได้มาฟรีๆเท่าไหร่นักหรอกครับ เพราะเริ่มต้น ผมได้รับมาอย่าวแรกจะเป็นจดหมายครับ แล้วในนั้นก็มีรหัสอะไรสักอย่างเพื่อเอาไว้อ้างอิง แล้วก็ต้องโทรไปหา thaiticketmajor ที่เป็น call center มันก็จะมีระบุเอาไว้ในจดหมายนั้น เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น เงื่อนไขทางเวลาถึงแม้ว่าจะกำหนดเป็นช่วงเวลาแต่ก็อีก เพราะว่า ผมรู้ว่า demand จะต้องเยอะแน่ๆ ทำให้ต้องตั้งหน้าตั้งตารอคอยเพื่อที่จะโทรทำการ "ยืนยัน" บัตรที่ตัวเองมีสิทธิ์ที่จะได้มันอยู่แล้ว แต่ว่าแปลกเนาะทำไมต้องยันกันอีกทีด้วยไม่ส่งมาเป้นตั๋วเลยก็หมดเรื่องนะนั่น .. หรือว่าเค้ากลัว่าจะหลุดไปที่อื่น (เป็นไปได้เหรอป่าวน้า ) แล้วตอนที่โทรก็โทรไม่ติด เรียกว่า ระบบของ call center มันก็ล่มจมไปจริงๆเพราะว่าเค้าไม่รู้เหรอครับว่า "Free!" หรือของ ฟรี เนียะมันมีแรงดึงดูดมากแค่ไหน ? ตอนที่โทรไปก็โทรไม่ติด ข้ามวันแล้วก็โทรไม่ติด ผมก็เริ่มออกอาการสงสารว่า ถ้าหากว่าเบอร์นี้เป็น call center เพียงเบอร์เดียว(ซึ่งปกติมันก็ควรจะมีเบอร์เดียวอยู่แล้ว) แล้วคนอื่นเค้าจะโทรไปจองตั๋วอื่นๆได้อย่างไร แสดงว่าคนที่โทรเข้ามาเพื่อยันสิทธิ์ concert นี้มันก็เยอะทำให้กระทบต่อการทำงานปกติของ call center แห่งนี้ แล้วมันก็เป็นอย่างงั้นจริงๆน่ะครับ ที่ผมรู้ก็เพราะว่า ผมออกแรงพิมพ์ email ออกมาอีกฉบับหนึ่งเพื่อร้องขอ สิทธิ์ที่ผมต้องได้อยู่แล้ว ไปกับทาง call center อีกทีพร้อมทั้งแสดงความสงสัยด้วยว่า ทำไมๆ ถึงได้โทรไม่ติดขนาดนี้ .. แล้วเช้าวันถัดไปก็มีโทรศัพท์มาหาผมแล้วก็บอกว่า ผมได้รับตั๋วแล้ว แล้วให้ไปติดต่อที่ Booth อีกครั้งเพื่อเอาบัตร แน่ะๆเห็นปะครับว่ายังไม่จบ เพราะต้องเดินทางเพื่อไปเอาบัตรเท่านั้นเอง ไม่มีการส่งมาให้ที่บ้านอะไรน่ะครับ อืม . การเดินทางเพื่อทำแค่นี้ก็ถือว่าเป็นการออกแรงอีกอย่างหนึ่งน่ะครับ (ออกแรงน้ำมันครับผม) และเมื่อไปถึง Booth ก็ได้รับบัตร ทำให้บัตรนี้เริ่มมีคุณค่าขึ้นมามากกว่าของฟรีที่ได้มาฟรีๆแบบอยู่เฉยๆแล้วซิครับคราวนี้เพราะว่ามันได้มาด้วยความไม่สบายเท่าไหร่นัก หรือเรียกได้อีกอย่างว่า เป็นของฟรีที่เริ่มต้นทุนแล้วยังไงอย่างงั้น

พอถึงเวลา concert เริ่มก็ต้องไปล่วงหน้าเหมือนกับที่มันควรจะเป็นเพราะว่ากลัวคนเยอะ รถเยอะเพราะได้รับคำขู่จากคุณพ่อป่าป๊าว่าถ้าหากว่าจะไปดูต้องระวังรถติด แต่ว่าตอนเดินทางไปรถุไม่ได้ติดเท่าไหร่เลย แม้ว่าเราจะไปถึงที่นั่นก่อนล่วงหน้าแค่ไม่เกินประมาณ 1 ชั่วโมง ทำให้มีเวลากินข้าวกินปลาได้อีก (แต่ว่าผมก็กินอะไรต่อมิอะไรมาแล้วจาก BigC แถวบ้านน่ะครับ) เมื่อถึงเวลาผมก็ต่อคิวเพื่อเดินเข้า Arena ที่ Impact น่ะหละครับ แต่ว่า ผมเดินผ่านระบบคนที่คอยดูว่ามีคนเอากล้องเข้ามาเหรอป่าว แต่ว่าผมไม่ได้พกติดตัวเอาไว้หรอกครับ ผมอ่ะเอากล้องไปฝากน้องสาวผมเอาไว้ ทำไมเค้าเมื่อผ่านระบบตรวจตรงนี้ก็โดน reject ออกมาให้เอา battary กล้องไปฝากไว้ก่อน .. แหม .. ถ้าตอนนั้นคิดออกแต่แรกว่า จริงๆ แค่ว่าบอกเค้าว่าฝากแล้ว แล้วก็ให้แยก battary กล้องออกไปไว้กับอีกคนหรือว่าเอาฝากกะผมก็ได้เพราะว่าผู้ชายไม่มีกระเป๋าเค้าก็ไมได้ตรวจอะไร แต่ว่าถ้าจะให้มิดกว่านั้นผมก็แค่เอาใส่ในกกนก็ได้ไม่เห็นจะแปลกอะไรน่ะครับเนาะ .. (หรือว่าแปลก) นั่นหละครับ ยังไงก็แล้วแต่น้องผมก็เข้าคิวอีกครั้งเพราะว่าเค้าออกจากคิวเพื่อเดินไปฝากของที่ห่างออกไปประมาณ 100 เมตร แล้วก็ถึงจะเข้ามาบริเวณงานconcert ได้ครับ

เข้ามาได้ไม่นานนักก็เริ่มร้องกันเลยไม่มีปี่มีขลุ่ยเริ่มคือ เริ่มดีแล้วน่ะครับ เป็นพวกที่รักษาเวลาดีมาก ไม่ต้องรอนาน ร้องก็ร้องเริ่มก็เริ่มดีมากครับอันนี้ผมชอบน่ะครับ นักร้องที่มาร้องก็จะเป็นพวกที่เรารู้จักกันอยู่แล้ว ก็กลุ่มก้วนคนร้องเพลงเพราะๆที่มาร้องไม่ว่าจะเป็นเบนชรา บอยไต กรูฟไรเด้อ.. โต๋วศักดิ์สิทธิ์แท่งทอง ก็มากันทั้งหมด แต่ว่าสังเกตไม่มีพรูมา เข้าใจว่าไม่เข้ากะพวกนี้สักเท่าไหร่ หรือว่าอาจจะทำตัวไม่ดีก็ได้แต่ว่าไม่อยากคิดอะไรอย่างงู้นอย่างนี้หรอกนะครับไม่มาก็ไม่เป็นไร

ผมก็อัดเสียงสั้นๆมาตอนหนึ่งตอนที่โต๋วเค้าร้องเพลง (กะโขกสับเปียโนอิเล็กโทรนิกส์อย่างสะใจ) พร้อมทั้งบรรยายเก็บเอาไว้ (ไม่แน่ว่าผมจะ post ไว้ที่นี่ได้เหรอ่ปาวน่ะครับถ้าหากว่าไม่มีก็ไม่มีน่ะครับ หาทางลองดูก่อนแล้วกันนะครับเพาะว่าผมไม่เคย post อะไรที่เป็นเสียงมาก่อน) concert นี้เป็น concert ประเภทตรงเวลาเรียกว่าจัดการเรื่องเวลาได้ดีเอามากๆครับ คือ เข้า 7 ครึ่งออก 10 ครึ่งเป้ะ เหมือนตั้งเวลาไว้อย่างไงอย่างงั้น กลับมาบ้านแล้ว สรุปว่า ผมก็ประทับใจกับ project นี้น่ะครับ .. แล้วก็เลยมาจดไว้ซะหน่อยว่าอะไรเป็นอะไร อ้อ .. น้องแนนนี่บอกว่าเค้าชอบเพลงเจงกิสข่าน แต่ว่าต้องเป็น version Korea หรือว่า Japanese ก็จะดีกว่า Thai version เพราะว่าที่งานมันมีร้องเพลงนี้ด้วยน่ะครับ เจ๋งครับผมคงหาดูก่อนว่าจะหามาได้เหรอป่าวถ้าได้แล้ว ก็จะเอาเพลงนี้ให้แนนนี่เค้าเอาไปทำเป็น ringtoneเวลามีคนโทรมาจะได้ร้องเพลงนี้ดังลั่น (น่าจะน่าเกลียดอยู่เหมือนกันนะ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก มันก็แสดงความเป็นตัวตนได้ดี ... ไม่ได้ว่าว่าน่าเกลียดอะไรหรอกนะแต่ว่า เป็นคนสนุกสนานต่างหาก เฮอะๆ )
 
ร้านไอติมที่ impact ก่อนที่จะเข้าไปดูแม้ว่าอากาศจะหนาวแต่อยากกินติมน่ะครับ (คนซื้อเยอะเหมือนกันแต่ว่าจ้าวนี้ไม่มี menu ดว้ยซิ)
 
คนก็เริ่มมากันเยอะและเนียะ
 
อาหารที่กินกันก่อนที่จะเข้าไปที่งาน concert ครับ (น้องปลากินน่ะครับ)
 
ภาพโรงอาหารที่เรามากินก่อนที่จะเข้างานครับ
Posted by Picasa

No comments: